ปมขัดแย้งสมาชิกกลุ่มโอเปกกดราคาน้ำมันดิบร่วง...

ปมขัดแย้งสมาชิกกลุ่มโอเปกกดราคาน้ำมันดิบร่วง
จับตาประชุมโอเปก 5  ธ.ค. ชี้เสี่ยงเจรจาลดการผลิตไม่สำเร็จ หลังประเทศสมาชิกส่อแววขัดแย้งสูง - เศรษฐกิจภายในแย่จากผลกระทบเทรดวอร์ คาดน้ำมันดิบ WTI  ร่วงราคาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์หรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี63
อาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น.

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้  เปิดเผยว่า การค้นพบการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัวในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา และทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิอาระเบีย และรัสเซียไปในปีที่แล้ว ซึ่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Shale Oil จากสหรัฐฯ ส่งผลกดดันให้กลุ่มประเทศโอเปก (OPEC) ร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อื่นๆ เช่น รัสเซีย และเม็กซิโก ซึ่งรวมตัวกันในนามโอเปคพลัส (OPEC+) ต้องตัดสินใจร่วมกันลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบรวม 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะอุปทานล้นตลาด และประคองราคาน้ำมัน (WTI) ให้กลับมายืนเหนือระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลได้ในปีนี้

ทั้งนี้แม้ว่าโอเปก จะประสบความสำเร็จในการประคองราคาน้ำมันในช่วงปีที่ผ่านมา แต่การเติบโตของ Shale Oil ในสหรัฐฯ ก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุดลง โดยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ณ ต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และโอเปก ยังคาดว่าการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 63 

นอกจากนี้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่นอกกลุ่มโอเปกมีแผนเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันจากแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่เพิ่งค้นพบ เช่น แหล่ง Buzios และแหล่ง Lula ในบราซิล และแหล่ง Johan Sverdrup ในนอร์เวย์ ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของทั้งสองประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกรวม 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และเมื่อรวมกับการเติบโตของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า

“ขณะที่อุปสงค์กลับชะลอตัวลงตามแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากสงครามการค้าที่กดดันภาคการผลิตให้หดตัวทั่วโลก โดยคาดการณ์ของ โอเปกชี้ว่าความต้องการน้ำมันดิบของโลกจะเติบโตเพียง 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า  ซึ่งปริมาณการผลิตที่เติบโตเร็วกว่าความต้องการใช้น้ำมันดิบถึงหนึ่งเท่าตัว นั้นทำให้กลุ่มโอเปกไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องลดปริมาณการผลิตลงเพิ่มอีก เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะอุปทานล้นตลาด”

อย่างไรก็ตามความขัดแย้งภายในกลุ่มโอเปก ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  อาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุข้อตกลงลดปริมาณการผลิต โดยสมาชิกที่มีอิทธิพลมากที่สุดอย่างซาอุดิอาระเบีย ต้องการลดการผลิตลงอีกเพื่อพยุงราคาน้ำมันให้สูง และดันราคาหุ้นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Saudi Aramco ซึ่งจะขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในช่วงปลายปีนี้ ในขณะที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ  ที่ประสบปัญหาฐานะการคลังย่ำแย่ เนื่องจากรายได้จากการขายน้ำมันลดลง บางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะลดปริมาณการผลิตลงมากกว่านี้  เช่น เอกวาดอร์ เตรียมประกาศถอนตัวจากการเป็นสมาชิกโอเปก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 นี้ เนื่องจากต้องการที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมันเพื่อหารายได้เข้าประเทศ

"ท่ามกลางความขัดแย้งในกลุ่มโอเปก ที่เริ่มมีสัญญาณรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบฐานะการเงินที่ย่ำแย่ของประเทศสมาชิก ทำให้การประชุมโอเปกครั้งถัดไปในวันที่ 5 ธ.ค. นี้มีความเสี่ยงสูงที่สมาชิกจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงลดปริมาณการผลิตได้สำเร็จ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ตลาดน้ำมันโลกก็จะเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupplied) ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI อาจกลับไปเคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลอีกครั้งในปี63" 
... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/economic/743211

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่