กระแสเหยียดการศึกษาที่เปลี่ยนไป

สิ่งที่เราจะพบกันบ่อยๆคือ การที่คนที่มีความรู้มากกว่าจะเหยียดคนที่มีความรู้น้อยกว่าโดยเฉพาะหากใครที่ไปเรียนจบเมืองนอกมาคือจะเหยียดหนักเป็นพิเศษ ดีหน่อยที่ไม่เจอกับญาติตัวเองที่เรียนต่อเมืองนอกเพราะขานั้นคืออาชีพที่ทำไม่เหมาะกับการเรียนต่อในประเทศเลยไปเรียนและทำงานที่ต่างประเทศ กรณีผมนี้เรียนต่อในประเทศได้เพราะว่าอาชีพผมมีปริญญาโทมารองรับแต่เรียนเอาเพื่อเร่งการเลื่อนขั้นเท่านั้น ไม่ได้ไปต่อในหน้าที่การงานเท่าไหร่

แต่สิ่งที่เริ่มเจอคือ ตอนที่ผมเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยที่อินเตอร์เน็ทบ้านเริ่มมีและแน่นอนคือไปสิงที่ห้องคอมที่หอในของมหาวิทยาลับ(ตอนปี4ตั้งคอมตัวเองในหอเลย)คือสายอาชีพเริ่มมีการโพสว่าเรียนสายอาชีพดีกว่าสายสามัญ โดยที่ยกมาก็คือบอกว่าเรียนจบสายอาชรพเพื่อนๆที่เรียนสามัญยังเรียนไม่จบ ตอนแรกก็งงๆเลยไปค้นมาคือ สาอาชีพจะมีปวช.3ปีที่เทียบเท่ากับเรียนม.ปลายซึ่งจบมาทำงานช่างได้เลยกับยกระดับอย่างปวส.อีก2ปี และแน่นอนว่าสายอาชีพนั้นเหมือนการเรียนมหาวิทยาลัยคือสามารถเลือกวิชาเรียนได้เหมือนกันรวมถึงเลือกเวลาเรียนได้ ส่วนตัวนิดๆผมจะเรียนช่วงเช้าเป็นหลักเพราะส่วนหนึ่งคือไม่ต้องไปแย่งคนเรียนและช่วงบ่ายจะได้มีเวลาไปเที่ยวมากกว่า และแน่นอนกรณีของพวกเรียนจบปวช.หรือปวส.นั้นใช้เวลาน้อยกว่าสายสามัญที่เรียน3ปี คือม.4-6และมหาวิทยาลัยอีก4ปี บางคนที่ไม่เข้าใจก็อาจจะสบประมาทว่าพวกสายอาชีพเรียนจบแต่พวกสายสามัญที่เรียนมหาวิทยาลัยยังเรียนไม่จบ ก็ไม่แปลกหรอกครับเพราะว่าสายสามัญใช้เวลามากกว่า เร็วสุดก็3ปีครึ่ง(ผม5ปีเพราะเรียน4ปีฝึกสอน1ปีแถมเก็บหน่วยกิจเกินด้วย) และหนักข้อช่วงที่เริ่มทำงานใหม่ๆก็มีพวกที่เบ่งว่าจบมหาวิทยาลัยเป็นได้แค่ลูกจ้างแต่เรียนช่างสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้และมีคนมาสรรเสริญแนวคิดนี้กันตรึมและยกตัวอย่างคนที่เรียนจบสายนี้บ้างซึ่งก็บางคนละนะ

แต่เริ่มหนักข้อมามากขึ้นคือช่วงหลังๆนี้คือบางคนเล่นหนักแบบเรียนสูงแต่ได้15,000แต่ทำงานได้50,000คือเรื่องจริงที่เคยแชร์มาน่าจะว่อนเฟสแต่ผมเห็นในทวิตนะครับที่แคปรวมๆโดยที่มีข้อความต่างกันบ้างตามแต่คนพูดว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ใจความสำคัญเป็นแบบนี้จริงๆ รวมถึงพวกเพจของคนบางพวกที่แซะว่าเป็นนักซิ่งแล้วเป็นช่างซ่อมรถหรือเป็นเน็ทไอดอลแล้วเรียนจบปริญญาตรีตกงาน2หมืนคนรวมถึงบอกว่าเรียนจบปริญญาตรีก้ได้แค่15,000แต่ทำ.....ได้เงินแถมสบาย

ในฐานะที่ผมเป็นครู ถ้าคิดแบบนี้คือล้มเหลวครับเพราะการมองคนโดยเอาจุดสูงสุดมาเทียบกับคนที่เริ่มต้น ถ้าตัดสินแบบนั้นก็คือคนที่ไม่คิดจะพัฒนาตัวเองเท่านั้นแหละที่จะเป็น เพราะถ้าไม่พัฒนาตัวเองก็จะจมอยู่ในฐานล่างตลอดไปถ้าไม่รู้จักการพัฒนาตนเอง อย่างผมจากสอนโดยใช้ชอล์คก็หันมาใช้Canvaแทนหรือใช้เกมที่เกี่ยวกับการศึกษาให้นักเรียนร่วมกันเล่นจนได้เงินสูงพอควรเพราะเรารู้จักการพัฒนาไม่ได้จมปลักอยู่ที่เดิมหรือติดอยู่กับภาพมายาคติอะไรก็ตามที่มันเป็นไปได้ยาก

พูดกันท่าหน่อย ใครที่เอาสามคนนี้คือ สตีฟ จ๊อบ บิลเกตต์ หรือมาร์ค ที่ทั้งสามออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันผมบอกเลยว่าพวกเขาเห็นหนทางอื่นที่สามารถทำเงินได้โดยดรอปเรียนแล้วมาทำ แล้วมหาวิทยาลัยที่เรียนก็ระดับโลกนะครับไม่ใช่แถวบ้านหรือจบแค่ป.4 แต่ในไทยเองก็มีเหมือนกันนะแต่พวกเขาล้มลุกคลุกคลานจนสามารถที่จะทำมาหากินแบบสุจริต บางคนเรียนการทำป้ายก่อนจะคิดค้นนวัตกรรมเพื่อขายเป็นเจ้าของกิจการหรือทำขนมหรืออาหารจนมีชื่อเสียงดังๆได้ ไม่ใช่ออกมาแล้วรวย

อีกตรรกะที่เคยมีคือถ้าใครเคยฟังเพลงของบุดดาเบสจะมีเพลงหนึ่งบอกว่าอย่าหากินแนวนอน ผมเห็นด้วยส่วนหนึ่งเพราะถึงบางอาชีพจะรวยเร็วแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยั่งยืนถึงจะมีเงินซื้อบ้านได้เร็วแต่ว่าจะยั่งยืนไหมก็อีกเรื่องถ้ามีความสามารถพอที่สานต่อได้เองเพราะมันเดี๋ยวมาก็เดี๋ยวไปและแน่นอนว่าหากไม่มีความรู้ในการบริหารก็ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ และต่อให้เกิดมามีทรัพย์สินแค่ไหนถ้าบริหารไม่เป็นก็ล่มได้ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถพอ ถ้าหลักสูตรเนื้อหาไม่เปลี่ยนไปใครที่เรียนม.ต้นอาจจะเรียนพระบรมราโชวาท จดหมายของร.5ที่เขียนถึงพระโอรสแต่ละคนที่เรียนต่างแดนมีใจความตอนหนึ่งที่บอกว่าโอรสแต่ละคนหากรับราชการต้องอยู่ในตำแหน่งสูงต้องมีความรู้ความสามารถพอด้วยเพื่อพัฒนาบ้านเมือง

ช่วงนี้จะเป็นประสบการณ์ตรงของผมที่เจอกับนักเรียนที่เคยสอนมาทั้งโดยตรงและโดยอ้อมหรือเจอตอนฝึกสอนและสอนเอง

คนแรกที่อยากพูดถึงคือครอบครัวมีปัญหาเลยต้องมารับจ้างและต่อยมวย ตอนที่เจอครั้งแรกคืออายุ16แล้วเพราะเขาเรียนช้าเลยอยู่ม.1แต่ลายออกตอนอยู่ม.2เพราะผมเป็นครูประจำชั้น และแน่นอนว่าผมพยายามแสดงถึงความสำคัญของการเรียนเพราะว่าการมีอาชีพชกมวยนั้นไม่ได้ดังแบบบัวขาวหรือรถถังและเกาะแก้วทุกคนแต่โดนคนดังกล่าวที่เหมือนหัวหน้าแก๊งชกมวยโดยขอเรียกแบบนี้เพราะมีนักเรียนราวๆ5คนที่ชกมวยบอกว่า "กูชกมวยครั้งหนึ่งได้เงินมากกว่าเงินเดือนหนึ่งเดือนอีก" ผมเลยถามว่า "แล้วปีหนึ่งๆได้ต่อยกี่ครั้ง" และบางคนยังใช้ตรรกะมองจากมุมบนจนบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสำเร็จแต่นักเรียนก็เอาแต่ยกตัวอย่างพวกนี้จนผมต้องบอกว่าจะรอดูละกันว่าเมื่อไหร่จะออกทีวี เมื่อนั้นค่อยมาบอกครู แต่ไม่ทันไรผมย้ายมาและแน่นอนว่าผมไม่ได้ทิ้งการติดต่ออะไรให้แต่ได้ยินจากเพื่อนครูว่าหัวโจกนั้นกลับไปเรียนต่อม.ปลายเพราะเขารู้ตัวว่าเขาไปต่อไม่รอดเลยต้องเรียนต่อและคนอื่นๆก็หันมาตั้งใจเรียนและเขารู้สึกผิดที่ด่าผมตอนสอนแล้วเขาไม่รับฟัง

คนที่สองก็คืออดีตนักเรียนเช่นกันแต่ผมสอนนางระยะสั้นๆช่วงที่เพิ่งเริ่มสอน นางเคยเพ้อสมัยเรียนว่าเป็นดาราทำนองนั้น ผมเจอนางอีกครั้งคือช่วงที่นางลงมาเรียนในเมืองและผมนั้นชอบถ่ายภาพเลยถ่ายตามอีเวนท์ต่างๆ และเกิดหลงนางและนางขอเงินบ่อบๆเข้าจนผมไม่ได้หมดตัวเพราะมีเงินสำรองไว้แต่ผมไม่ชอบเอามาใช้เพราะเป็นเงินเก็บพอนางเห็นว่าผมไม่มีเงินแล้วเลยบอกปัดและแทงข้างหลังด้วยการใส่ความโดยหลอกใช้เพื่อนนางใส่ความว่าผมไปปล่อยข่าวด้านลบ เพื่อนนางเลยพูดอัดในMassagerรัวๆพยายามให้ผมรับผิดให้ได้ พอไม่รับเลยประจารมั่ว ดีที่พี่ผมไล่บี้พยานปลอมซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ผมเองโดยให้เหตุผลว่าผมไม่ทันเหลี่ยมหรอกจนนางแบบยอมซ่อนโพสและอดีตลูกศิษย์มาอาละวาดใส่ ตอนหลังคือไปทำงานที่พัทยา ครั้งสุดท้ายคือพยายามใช้เฟสสำรองเปลี่ยนชื่อเข้าหาโดยการพยายามขายคลิปตัวเอง ผมบอกไม่เอาพร้อมแคปไว้แล้วบลอคนางทันที ส่วนนางแบบชอบดราม่าจนตกงานไป

คนสุดท้ายแสบสุดเพราะเจอตอนสมัยฝึกสอน ตอนเรียนช่างเหมือนจะเรียนไม่จบเพราะลงวิชาน้อยและชอบหาแสงโดยการเป็นนายแบบนั่นนี่ และเขารู้ว่าผมชอบถ่ายรูปและมีบางครั้งเขาถึงขั้นอยากให้ผมถ่ายแนวเรทแต่ผมใจไม่แข็งพอเลยทำไม่ได้ และมีครั้งหนึ่งคือทำหน้าเศร้าบอกว่าโดนนกต่อของตำรวจจับและชื่อผมก็โดนไปด้วย ด้วยความที่ผมไม่ได้ศึกษากฎหมายมาจึงหลงติดกับเลยพยายามช่วยคดีและเขามีทักษะการปลอมแปลงเสียงจนหลงคิดว่าเป็นอัยการโทรมาเรื่องคดีที่ไม่มีจริงจนหมดเป็นแสนแต่มีช่วงหนึ่งที่ผมไม่มีเงินจริงๆเขาเลยเสนอให้กู้มา ตอรแรกกะจะกู้มาส่วนหนึ่งแต่อยู่ๆบอกให้เพิ่มมาเป็นเท่าตัวผมเลยจำเป็นต้องบอกกับทางบ้าน แน่นอนว่าเป็นการกระตุกหนวดเสือของแท้และสืบจนพบว่ามันเองเงินไปซื้อของนั่นนี่ สุดท้ายเลยสั่งตำรวจจับลากเข้าคุก เสียดายที่รายการโหนกระแสยังไม่มาไม่งั้นโดนยับแน่ แต่พ่อมันยังโทรมาหาผมแล้วบอกว่าเห็นแก่ลูกของมันผมสวนกลับเลยว่าตอนผมแสดงความดีใจยังบอกเลยเลยว่าไม่อยากมีลูก และตอนนี้กระแดะอ้างลูกอ้างหลาน

ที่ผมยกมาคือคนแรกนั้นต้องการให้เห็นว่าเขายังเห็นความสำคัญของการเรียนแต่สองคนหลังคือพยายามหากินในทางที่ผิด แต่สุดท้ายผลคือย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ถ้าถามผมว่าการเรียนสำคัญไหม ผมบอกว่าสำคัญเพราถ้าไม่สามารถที่จะหางานสุจริตจนรวยได้ก็ตั้งใจเรียนเพื่อที่จะพัฒนาตนได้ ถึงบางทีจะย้อยแย้งบ้างเพราะอย่างการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยคือเป็นอาชีพเฉพาะเช่นศึกษาศาสตร์(5ปี)เป็นครู แพทย์ศาสตร์(6ปีมั้งไม่แน่ใจ)เป็นหมอ ถ้าคิดว่าออกกลางคันได้คือต้องเก่งเกินเรียนอย่างสามคนที่ชอบอ้างไม่งั้นไม่รอด และถ้าคิดว่าไม่ต้องเรียนก้ได้ถ้าคิดแบบนี้สัก20ปีก็จะขาดหมอหรือวิศวกรแล้วใครจะรักษาหรือออกแบบสร้างบ้านได้ การสร้างบ้านเองไม่ใช่อยู่ๆนึกจะก่อปูนได้แบบสบายๆเพราะต้องมีนักออกแบบอย่างสถาปนิกหรือวิศวกรมาดูงานด้วย และผมมักจะบอกกับนักเรียนเสมอไม่ว่าสายสามัญหรือสายอาชีพทุกอาชีพนั้นมีคุณค่าหมดตราบใดที่ไม่ได้จะทำร้ายใครทั้งทางตรงและทางอ้อม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่