จากกระทู้ที่เพื่อนพันทิปถาม BEV เทียบ PHEV เทียบ REEV
(Range Extended EV)
เช่น https://pantip.com/topic/43340770
ผมพอตอบได้จากการใช้ PHEV อย่างนี้ครับ
1. ช่วงความเร็วต่ำ 0-80 หรือ 90 (แล้วแต่ถนน*) ผมใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก à กม.ละกลม ๆ 1 บาท / ปล่อย CO2 กม.ละตีกลม ๆ 100 ก. (บางครั้งรถติดสุขุมวิทบางวันศุกร์ที่เข้าเมือง อย่างนั้น แบตต้องเสียไฟให้แอร์ระหว่างรถอยู่นิ่งอย่างมาก)
2. ช่วงความเร็ว 80 (หรือ 90 แล้วแต่ถนน)-120 ผมใช้น้ำมันเป็นหลัก à กม.ละ 2.5 บาท / ปล่อย CO2 กม.ละ 134 ก. (เท่า BEV)
3. เมื่อแบตหมด แล้ววิ่งน้ำมันช่วงความเร็ว 95-120 ผมกดชาร์จแบตด้วยน้ำมันไปในตัว à กม. ละ 3.14 บาท / ปล่อย CO2 กม.ละ 168 ก.
4. อย่าลืมว่า น้ำมันที่จ่ายแพงไป / มลพิษที่ปล่อยมากขึ้น จากข้อ 3. ไม่ได้เสียเปล่า / ทำลายสิ่งแวดล้อม จะถูกนำมาใช้วิ่งโหมดไฟฟ้าตอนความเร็ว 0-90
* แล้วแต่ถนนคือ ถ้าวิ่งแถวกทม. ผมไม่รู้ว่าช่วง 80-90 จะตัดไฟฟ้าไปใช้น้ำมันให้วุ่นวายไปทำไม เด๋วมันก็รถติดอีกข้างหน้า ก็ใช้โหมด BEV ตลอดทั้งการขับในกทม.
ดังนั้น ผมพบว่า จากการตรวจสอบจุดชาร์จและราคาชาร์จ จะตอบหัวกระทู้ได้ดังนี้ PHEV ปั่นไฟเองจากน้ำมันตัวเอง
1) จ่ายส่วนต่างน้ำมันข้อ 2. และ 3. ด้านบน กม.น้ำมันละ 3.14-2.5 = 0.64 บาท วิ่งไป 38.9 กม. ได้ไฟ 2.6 kW หรือ kW ละ 0.64*38.9/2.6 = 9.57 บาท เกือบเท่ากับจอดชาร์จตู้แพงสุดในไทย (ไม่มีทางถูกเท่าชาร์จบ้าน เพราะ รัฐไทยสนับสนุนค่าไฟฟ้าปีละ 200,000 ล้านบาท ให้ครัวเรือนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง) อย่าลืมว่า *ไม่เสียเวลาจอดชาร์จ*
2) ปล่อยมลพิษจากส่วนต่างข้อ 2. และ 3. ด้านบน กม.น้ำมันละ 168-134 = 34 ก./กม. วิ่งไป 38.9 กม. แล้วได้ไฟมาวิ่งด้วยแบตความเร็วต่ำ 11.67 กม. ปล่อยมลพิษตอนความเร็วต่ำ 34*38.9/11.67 = 113 ก./กม.
2.1) มากกว่าชาร์จบ้านกทม. 13 ก./กม.
2.2) ย่อมมากกว่าชาร์จบ้านแถวที่ผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำ
2.3) และย่อมน้อยกว่าชาร์จบ้านแถวที่ผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหิน
เทียบกับรถตัวเองที่ใช้น้ำมันเป็นหลัก ในรูป ซึ่งลดจำนวนลูกสูบลงได้ครึ่งในบางสถานการณ์เพื่อประหยัดน้ำมันแล้ว PHEV ดีกว่า โดยรวม ครับ
การปั่นไฟ PHEV ด้วยน้ำมัน แพงไหม/ปล่อย CO2 เยอะไหม
เช่น https://pantip.com/topic/43340770
ผมพอตอบได้จากการใช้ PHEV อย่างนี้ครับ
1. ช่วงความเร็วต่ำ 0-80 หรือ 90 (แล้วแต่ถนน*) ผมใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก à กม.ละกลม ๆ 1 บาท / ปล่อย CO2 กม.ละตีกลม ๆ 100 ก. (บางครั้งรถติดสุขุมวิทบางวันศุกร์ที่เข้าเมือง อย่างนั้น แบตต้องเสียไฟให้แอร์ระหว่างรถอยู่นิ่งอย่างมาก)
2. ช่วงความเร็ว 80 (หรือ 90 แล้วแต่ถนน)-120 ผมใช้น้ำมันเป็นหลัก à กม.ละ 2.5 บาท / ปล่อย CO2 กม.ละ 134 ก. (เท่า BEV)
3. เมื่อแบตหมด แล้ววิ่งน้ำมันช่วงความเร็ว 95-120 ผมกดชาร์จแบตด้วยน้ำมันไปในตัว à กม. ละ 3.14 บาท / ปล่อย CO2 กม.ละ 168 ก.
4. อย่าลืมว่า น้ำมันที่จ่ายแพงไป / มลพิษที่ปล่อยมากขึ้น จากข้อ 3. ไม่ได้เสียเปล่า / ทำลายสิ่งแวดล้อม จะถูกนำมาใช้วิ่งโหมดไฟฟ้าตอนความเร็ว 0-90
* แล้วแต่ถนนคือ ถ้าวิ่งแถวกทม. ผมไม่รู้ว่าช่วง 80-90 จะตัดไฟฟ้าไปใช้น้ำมันให้วุ่นวายไปทำไม เด๋วมันก็รถติดอีกข้างหน้า ก็ใช้โหมด BEV ตลอดทั้งการขับในกทม.
ดังนั้น ผมพบว่า จากการตรวจสอบจุดชาร์จและราคาชาร์จ จะตอบหัวกระทู้ได้ดังนี้ PHEV ปั่นไฟเองจากน้ำมันตัวเอง
1) จ่ายส่วนต่างน้ำมันข้อ 2. และ 3. ด้านบน กม.น้ำมันละ 3.14-2.5 = 0.64 บาท วิ่งไป 38.9 กม. ได้ไฟ 2.6 kW หรือ kW ละ 0.64*38.9/2.6 = 9.57 บาท เกือบเท่ากับจอดชาร์จตู้แพงสุดในไทย (ไม่มีทางถูกเท่าชาร์จบ้าน เพราะ รัฐไทยสนับสนุนค่าไฟฟ้าปีละ 200,000 ล้านบาท ให้ครัวเรือนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง) อย่าลืมว่า *ไม่เสียเวลาจอดชาร์จ*
2) ปล่อยมลพิษจากส่วนต่างข้อ 2. และ 3. ด้านบน กม.น้ำมันละ 168-134 = 34 ก./กม. วิ่งไป 38.9 กม. แล้วได้ไฟมาวิ่งด้วยแบตความเร็วต่ำ 11.67 กม. ปล่อยมลพิษตอนความเร็วต่ำ 34*38.9/11.67 = 113 ก./กม.
2.1) มากกว่าชาร์จบ้านกทม. 13 ก./กม.
2.2) ย่อมมากกว่าชาร์จบ้านแถวที่ผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำ
2.3) และย่อมน้อยกว่าชาร์จบ้านแถวที่ผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหิน
เทียบกับรถตัวเองที่ใช้น้ำมันเป็นหลัก ในรูป ซึ่งลดจำนวนลูกสูบลงได้ครึ่งในบางสถานการณ์เพื่อประหยัดน้ำมันแล้ว PHEV ดีกว่า โดยรวม ครับ