เห็นความเกิดดับของจิตเห็นอย่างไร?
เมื่อก่อนหลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อก็ดูลงไป มีสติรู้สึกเราในร่างกาย ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เราจะทิ้งมันได้อย่างไร ไปไหนมันก็มีร่างกายไปด้วย ทิ้งมันก็ไม่ได้ อยู่กับมันก็ไม่มีความสุข มีแต่ทุกข์
หันมาดูจิตดูใจ ตอนทำสมาธิจิตสงบลงไปก็มีความสุขหรอก
#พอจิตถอนออกจากสมาธิ
พอมีการกระทบอารมณ์เกิดขึ้น ตาเห็นรูป จิตก็ไหว
หูได้ยินเสียง จิตก็ไหว
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความคิดจิตก็ไหวกระเพื่อมตลอดเวลา
สติก็ระลึกรู้ลงไปเห็นความกระเพื่อมไหว
มันไหวอยู่กลางหน้าอกนี่ล่ะไหวๆๆทั้งวันทั้งคืน
พอเห็นมากเข้าๆ เราจะรู้เลยไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากทุกข์
จิตนั้นมันมีภาระตลอดเวลาพอกระทบอารมณ์
แล้วมันก็กระเทือนมันสั่นมันสะเทือนมันไหวไม่มีวันหยุดนิ่ง
ทีแรกเราเห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ แล้วมันกระเทือนขึ้นมา มันทุกข์
พอมันกระทบอารมณ์ละเอียด
อย่างเราเข้าสมาธิกระทบอารมณ์ละเอียด
เรารู้สึกมีความสุข พอภาวนามากขึ้นๆ ไม่ได้เห็นอย่างนั้น เห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ ก็มีความทุกข์รุนแรงขึ้นมา
กระทบอารมณ์ละเอียดจิตก็ไหวๆๆขึ้นมา
จิตไหว จิตทำงาน จิตกระเพื่อมขึ้นมาทีไร
ถ้าสติเราละเอียดพอ สมาธิเรามากพอ ปัญญามันจะหยั่งรู้เลย ทุกคราวที่กระเทือนขึ้นมา ทุกข์ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นเวลาสภาวธรรมใดๆ ผุดขึ้นจากหทย
ผุดขึ้นมา ตำราเขาบอกอยู่ในหัวใจ
#แต่เราภาวนาเราเห็นมันอยู่ที่กลางอก
มันผุดขึ้นมาจากกลางอก
ถ้ากระทบอารมณ์เบาๆมันก็ไหวๆๆอยู่
ไม่แปลออกมาไม่ผุดขึ้นมาว่าอันนี้สุขหรือทุกข์
ดีหรือชั่วหรืออันนี้มันไหวเรื่องอะไร
บางทีนั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรมากระทบ อาศัยอารมณ์เก่าๆ
อตีตารมณ์ มันก็ยังไหวขึ้นมาได้อีก
แล้วเวลามันไหวขึ้นมาเราจะรู้เป็นภาระจริงๆ
มันคล้ายๆ เราอยู่บนพื้นซึ่งมันสะเทือนตลอดเวลา
อย่างเวลาคนเขาเจาะถนนเคยเห็นไหม เขาเจาะถนน
มีเครื่องเจาะทิ่มลงไป แผ่นดินก็กระเทือน ตึ๊บๆ ตึ๊บๆ อย่างนั้น
เราเห็นจิตเราไหวเหมือนเราไปยืนอยู่บนที่เขาเจาะถนนอย่างนั้นมันมีความสุขตรงไหน
กระทั่งความไหวอย่างละเอียดที่ผุดขึ้นมาแล้วเป็นกุศล
ผุดขึ้นมาแล้วเป็นความสุขอะไรอย่างนี้
มันก็ยังเป็นความแปลกปลอม
เป็นความสั่นสะเทือนรู้เลยโลกนี้สุดท้ายโลกนี้ไม่มีอะไร
เป็นแค่ความสั่นสะเทือน
เป็นแค่คลื่นโลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นแค่คลื่น
เป็นแค่ความสั่นสะเทือนเท่านั้นเอง
พอเราภาวนาเราจะรู้เลยมันทุกข์ทั้งนั้น
ไหวแรงก็ทุกข์ ไหวเบาๆ ก็ทุกข์ พยายามจะไม่ไหว
ตรงที่พยายามเกิดเจตนาจะไม่ให้มันไหว ก็ทุกข์อีกแล้ว
ความพ้นทุกข์อยู่ตรงที่พ้นขันธ์
ภาวนามากๆ เข้า เราจะเห็น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช
03 พฤศจิกายน 2567
เห็นความเกิดดับของจิตเห็นอย่างไร?
เมื่อก่อนหลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อก็ดูลงไป มีสติรู้สึกเราในร่างกาย ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เราจะทิ้งมันได้อย่างไร ไปไหนมันก็มีร่างกายไปด้วย ทิ้งมันก็ไม่ได้ อยู่กับมันก็ไม่มีความสุข มีแต่ทุกข์
หันมาดูจิตดูใจ ตอนทำสมาธิจิตสงบลงไปก็มีความสุขหรอก
#พอจิตถอนออกจากสมาธิ
พอมีการกระทบอารมณ์เกิดขึ้น ตาเห็นรูป จิตก็ไหว
หูได้ยินเสียง จิตก็ไหว
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความคิดจิตก็ไหวกระเพื่อมตลอดเวลา
สติก็ระลึกรู้ลงไปเห็นความกระเพื่อมไหว
มันไหวอยู่กลางหน้าอกนี่ล่ะไหวๆๆทั้งวันทั้งคืน
พอเห็นมากเข้าๆ เราจะรู้เลยไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากทุกข์
จิตนั้นมันมีภาระตลอดเวลาพอกระทบอารมณ์
แล้วมันก็กระเทือนมันสั่นมันสะเทือนมันไหวไม่มีวันหยุดนิ่ง
ทีแรกเราเห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ แล้วมันกระเทือนขึ้นมา มันทุกข์
พอมันกระทบอารมณ์ละเอียด
อย่างเราเข้าสมาธิกระทบอารมณ์ละเอียด
เรารู้สึกมีความสุข พอภาวนามากขึ้นๆ ไม่ได้เห็นอย่างนั้น เห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ ก็มีความทุกข์รุนแรงขึ้นมา
กระทบอารมณ์ละเอียดจิตก็ไหวๆๆขึ้นมา
จิตไหว จิตทำงาน จิตกระเพื่อมขึ้นมาทีไร
ถ้าสติเราละเอียดพอ สมาธิเรามากพอ ปัญญามันจะหยั่งรู้เลย ทุกคราวที่กระเทือนขึ้นมา ทุกข์ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นเวลาสภาวธรรมใดๆ ผุดขึ้นจากหทย
ผุดขึ้นมา ตำราเขาบอกอยู่ในหัวใจ
แต่เราภาวนาเราเห็นมันอยู่ที่กลางอก
มันผุดขึ้นมาจากกลางอก
ถ้ากระทบอารมณ์เบาๆมันก็ไหวๆๆอยู่
ไม่แปลออกมาไม่ผุดขึ้นมาว่าอันนี้สุขหรือทุกข์
ดีหรือชั่วหรืออันนี้มันไหวเรื่องอะไร
บางทีนั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรมากระทบ อาศัยอารมณ์เก่าๆ
อตีตารมณ์ มันก็ยังไหวขึ้นมาได้อีก
แล้วเวลามันไหวขึ้นมาเราจะรู้เป็นภาระจริงๆ
มันคล้ายๆ เราอยู่บนพื้นซึ่งมันสะเทือนตลอดเวลา
อย่างเวลาคนเขาเจาะถนนเคยเห็นไหม เขาเจาะถนน
มีเครื่องเจาะทิ่มลงไป แผ่นดินก็กระเทือน ตึ๊บๆ ตึ๊บๆ อย่างนั้น
เราเห็นจิตเราไหวเหมือนเราไปยืนอยู่บนที่เขาเจาะถนนอย่างนั้นมันมีความสุขตรงไหน
กระทั่งความไหวอย่างละเอียดที่ผุดขึ้นมาแล้วเป็นกุศล
ผุดขึ้นมาแล้วเป็นความสุขอะไรอย่างนี้
มันก็ยังเป็นความแปลกปลอม
เป็นความสั่นสะเทือนรู้เลยโลกนี้สุดท้ายโลกนี้ไม่มีอะไร
เป็นแค่ความสั่นสะเทือน
เป็นแค่คลื่นโลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นแค่คลื่น
เป็นแค่ความสั่นสะเทือนเท่านั้นเอง
พอเราภาวนาเราจะรู้เลยมันทุกข์ทั้งนั้น
ไหวแรงก็ทุกข์ ไหวเบาๆ ก็ทุกข์ พยายามจะไม่ไหว
ตรงที่พยายามเกิดเจตนาจะไม่ให้มันไหว ก็ทุกข์อีกแล้ว
ความพ้นทุกข์อยู่ตรงที่พ้นขันธ์
ภาวนามากๆ เข้า เราจะเห็น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช
03 พฤศจิกายน 2567
ใช้อานาปานสติทำวิปัสสนา
ถ้าเราจะใช้อานาปานสติทำวิปัสสนาทำอย่างไร
เราก็ใช้เน้นที่ความรู้สึกตัว แทนที่จะน้อมจิต
ให้มันไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์ ค่อยๆ สังเกตไป
อย่างเวลาเราหายใจ
ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ
แล้วพอจิตมันหลง หนีไปคิดเรื่องอื่น
ก็ให้รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว ไม่ว่ามัน
จิตหลงไปแล้ว โยนมันทิ้งไป
ไม่ต้องไปดึงคืน อย่าไปหวง
จิตที่หลงเป็นอกุศล
อย่าไปหวงมัน โยนมันทิ้งไป
กลับมาทำความรู้สึกใหม่ มาหายใจใหม่
หายใจไป หายใจไป แล้วเห็นร่างกายหายใจ
ใจเป็นคนดู ฝึกอย่างนี้
มันจะมีจิตใจที่เป็นคนดู
กับมีร่างกายที่หายใจ
มันจะเป็น 2 อัน ถ้ามันแยก 2 อันได้
#พอสติระลึกรู้ร่างกาย
#แต่จิตเป็นคนดูอยู่นี้ปัญญามันจะเกิด
#จะเกิดวิปัสสนาปัญญา
#จะเห็นร่างกายไม่ใช่จิต
#ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
ร่างกายไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
#เป็นแค่วัตถุเป็นก้อนธาตุ
#มีธาตุหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง
#ไหลเข้าไหลออกไปเรื่อยๆจิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
15 กุมภาพันธ์ 2568
https://www.facebook.com/share/v/1AQ5cMHgrg/
เห็นความเกิดดับของจิตอย่างไร หลวงปู่ปราโมทย์
เมื่อก่อนหลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อก็ดูลงไป มีสติรู้สึกเราในร่างกาย ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เราจะทิ้งมันได้อย่างไร ไปไหนมันก็มีร่างกายไปด้วย ทิ้งมันก็ไม่ได้ อยู่กับมันก็ไม่มีความสุข มีแต่ทุกข์
หันมาดูจิตดูใจ ตอนทำสมาธิจิตสงบลงไปก็มีความสุขหรอก
#พอจิตถอนออกจากสมาธิ
พอมีการกระทบอารมณ์เกิดขึ้น ตาเห็นรูป จิตก็ไหว
หูได้ยินเสียง จิตก็ไหว
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความคิดจิตก็ไหวกระเพื่อมตลอดเวลา
สติก็ระลึกรู้ลงไปเห็นความกระเพื่อมไหว
มันไหวอยู่กลางหน้าอกนี่ล่ะไหวๆๆทั้งวันทั้งคืน
พอเห็นมากเข้าๆ เราจะรู้เลยไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากทุกข์
จิตนั้นมันมีภาระตลอดเวลาพอกระทบอารมณ์
แล้วมันก็กระเทือนมันสั่นมันสะเทือนมันไหวไม่มีวันหยุดนิ่ง
ทีแรกเราเห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ แล้วมันกระเทือนขึ้นมา มันทุกข์
พอมันกระทบอารมณ์ละเอียด
อย่างเราเข้าสมาธิกระทบอารมณ์ละเอียด
เรารู้สึกมีความสุข พอภาวนามากขึ้นๆ ไม่ได้เห็นอย่างนั้น เห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ ก็มีความทุกข์รุนแรงขึ้นมา
กระทบอารมณ์ละเอียดจิตก็ไหวๆๆขึ้นมา
จิตไหว จิตทำงาน จิตกระเพื่อมขึ้นมาทีไร
ถ้าสติเราละเอียดพอ สมาธิเรามากพอ ปัญญามันจะหยั่งรู้เลย ทุกคราวที่กระเทือนขึ้นมา ทุกข์ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นเวลาสภาวธรรมใดๆ ผุดขึ้นจากหทย
ผุดขึ้นมา ตำราเขาบอกอยู่ในหัวใจ
#แต่เราภาวนาเราเห็นมันอยู่ที่กลางอก
มันผุดขึ้นมาจากกลางอก
ถ้ากระทบอารมณ์เบาๆมันก็ไหวๆๆอยู่
ไม่แปลออกมาไม่ผุดขึ้นมาว่าอันนี้สุขหรือทุกข์
ดีหรือชั่วหรืออันนี้มันไหวเรื่องอะไร
บางทีนั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรมากระทบ อาศัยอารมณ์เก่าๆ
อตีตารมณ์ มันก็ยังไหวขึ้นมาได้อีก
แล้วเวลามันไหวขึ้นมาเราจะรู้เป็นภาระจริงๆ
มันคล้ายๆ เราอยู่บนพื้นซึ่งมันสะเทือนตลอดเวลา
อย่างเวลาคนเขาเจาะถนนเคยเห็นไหม เขาเจาะถนน
มีเครื่องเจาะทิ่มลงไป แผ่นดินก็กระเทือน ตึ๊บๆ ตึ๊บๆ อย่างนั้น
เราเห็นจิตเราไหวเหมือนเราไปยืนอยู่บนที่เขาเจาะถนนอย่างนั้นมันมีความสุขตรงไหน
กระทั่งความไหวอย่างละเอียดที่ผุดขึ้นมาแล้วเป็นกุศล
ผุดขึ้นมาแล้วเป็นความสุขอะไรอย่างนี้
มันก็ยังเป็นความแปลกปลอม
เป็นความสั่นสะเทือนรู้เลยโลกนี้สุดท้ายโลกนี้ไม่มีอะไร
เป็นแค่ความสั่นสะเทือน
เป็นแค่คลื่นโลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นแค่คลื่น
เป็นแค่ความสั่นสะเทือนเท่านั้นเอง
พอเราภาวนาเราจะรู้เลยมันทุกข์ทั้งนั้น
ไหวแรงก็ทุกข์ ไหวเบาๆ ก็ทุกข์ พยายามจะไม่ไหว
ตรงที่พยายามเกิดเจตนาจะไม่ให้มันไหว ก็ทุกข์อีกแล้ว
ความพ้นทุกข์อยู่ตรงที่พ้นขันธ์
ภาวนามากๆ เข้า เราจะเห็น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช
03 พฤศจิกายน 2567
เห็นความเกิดดับของจิตเห็นอย่างไร?
เมื่อก่อนหลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อก็ดูลงไป มีสติรู้สึกเราในร่างกาย ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เราจะทิ้งมันได้อย่างไร ไปไหนมันก็มีร่างกายไปด้วย ทิ้งมันก็ไม่ได้ อยู่กับมันก็ไม่มีความสุข มีแต่ทุกข์
หันมาดูจิตดูใจ ตอนทำสมาธิจิตสงบลงไปก็มีความสุขหรอก
#พอจิตถอนออกจากสมาธิ
พอมีการกระทบอารมณ์เกิดขึ้น ตาเห็นรูป จิตก็ไหว
หูได้ยินเสียง จิตก็ไหว
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความคิดจิตก็ไหวกระเพื่อมตลอดเวลา
สติก็ระลึกรู้ลงไปเห็นความกระเพื่อมไหว
มันไหวอยู่กลางหน้าอกนี่ล่ะไหวๆๆทั้งวันทั้งคืน
พอเห็นมากเข้าๆ เราจะรู้เลยไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากทุกข์
จิตนั้นมันมีภาระตลอดเวลาพอกระทบอารมณ์
แล้วมันก็กระเทือนมันสั่นมันสะเทือนมันไหวไม่มีวันหยุดนิ่ง
ทีแรกเราเห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ แล้วมันกระเทือนขึ้นมา มันทุกข์
พอมันกระทบอารมณ์ละเอียด
อย่างเราเข้าสมาธิกระทบอารมณ์ละเอียด
เรารู้สึกมีความสุข พอภาวนามากขึ้นๆ ไม่ได้เห็นอย่างนั้น เห็นว่ากระทบอารมณ์หยาบๆ ก็มีความทุกข์รุนแรงขึ้นมา
กระทบอารมณ์ละเอียดจิตก็ไหวๆๆขึ้นมา
จิตไหว จิตทำงาน จิตกระเพื่อมขึ้นมาทีไร
ถ้าสติเราละเอียดพอ สมาธิเรามากพอ ปัญญามันจะหยั่งรู้เลย ทุกคราวที่กระเทือนขึ้นมา ทุกข์ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นเวลาสภาวธรรมใดๆ ผุดขึ้นจากหทย
ผุดขึ้นมา ตำราเขาบอกอยู่ในหัวใจ
แต่เราภาวนาเราเห็นมันอยู่ที่กลางอก
มันผุดขึ้นมาจากกลางอก
ถ้ากระทบอารมณ์เบาๆมันก็ไหวๆๆอยู่
ไม่แปลออกมาไม่ผุดขึ้นมาว่าอันนี้สุขหรือทุกข์
ดีหรือชั่วหรืออันนี้มันไหวเรื่องอะไร
บางทีนั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรมากระทบ อาศัยอารมณ์เก่าๆ
อตีตารมณ์ มันก็ยังไหวขึ้นมาได้อีก
แล้วเวลามันไหวขึ้นมาเราจะรู้เป็นภาระจริงๆ
มันคล้ายๆ เราอยู่บนพื้นซึ่งมันสะเทือนตลอดเวลา
อย่างเวลาคนเขาเจาะถนนเคยเห็นไหม เขาเจาะถนน
มีเครื่องเจาะทิ่มลงไป แผ่นดินก็กระเทือน ตึ๊บๆ ตึ๊บๆ อย่างนั้น
เราเห็นจิตเราไหวเหมือนเราไปยืนอยู่บนที่เขาเจาะถนนอย่างนั้นมันมีความสุขตรงไหน
กระทั่งความไหวอย่างละเอียดที่ผุดขึ้นมาแล้วเป็นกุศล
ผุดขึ้นมาแล้วเป็นความสุขอะไรอย่างนี้
มันก็ยังเป็นความแปลกปลอม
เป็นความสั่นสะเทือนรู้เลยโลกนี้สุดท้ายโลกนี้ไม่มีอะไร
เป็นแค่ความสั่นสะเทือน
เป็นแค่คลื่นโลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นแค่คลื่น
เป็นแค่ความสั่นสะเทือนเท่านั้นเอง
พอเราภาวนาเราจะรู้เลยมันทุกข์ทั้งนั้น
ไหวแรงก็ทุกข์ ไหวเบาๆ ก็ทุกข์ พยายามจะไม่ไหว
ตรงที่พยายามเกิดเจตนาจะไม่ให้มันไหว ก็ทุกข์อีกแล้ว
ความพ้นทุกข์อยู่ตรงที่พ้นขันธ์
ภาวนามากๆ เข้า เราจะเห็น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช
03 พฤศจิกายน 2567
ใช้อานาปานสติทำวิปัสสนา
ถ้าเราจะใช้อานาปานสติทำวิปัสสนาทำอย่างไร
เราก็ใช้เน้นที่ความรู้สึกตัว แทนที่จะน้อมจิต
ให้มันไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์ ค่อยๆ สังเกตไป
อย่างเวลาเราหายใจ
ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ
แล้วพอจิตมันหลง หนีไปคิดเรื่องอื่น
ก็ให้รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว ไม่ว่ามัน
จิตหลงไปแล้ว โยนมันทิ้งไป
ไม่ต้องไปดึงคืน อย่าไปหวง
จิตที่หลงเป็นอกุศล
อย่าไปหวงมัน โยนมันทิ้งไป
กลับมาทำความรู้สึกใหม่ มาหายใจใหม่
หายใจไป หายใจไป แล้วเห็นร่างกายหายใจ
ใจเป็นคนดู ฝึกอย่างนี้
มันจะมีจิตใจที่เป็นคนดู
กับมีร่างกายที่หายใจ
มันจะเป็น 2 อัน ถ้ามันแยก 2 อันได้
#พอสติระลึกรู้ร่างกาย
#แต่จิตเป็นคนดูอยู่นี้ปัญญามันจะเกิด
#จะเกิดวิปัสสนาปัญญา
#จะเห็นร่างกายไม่ใช่จิต
#ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
ร่างกายไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
#เป็นแค่วัตถุเป็นก้อนธาตุ
#มีธาตุหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง
#ไหลเข้าไหลออกไปเรื่อยๆจิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
15 กุมภาพันธ์ 2568
https://www.facebook.com/share/v/1AQ5cMHgrg/