.

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงความพร้อมในการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ของพรรคฝ่ายค้าน ในวันที่ 24-25 มีนาคม และลงมติวันที่ 26 มีนาคมนี้ ว่า มีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยลำดับการอภิปรายเบื้องต้นกำหนดไว้ตามสัดส่วนเวลา ส่วนรายชื่อในการอภิปรายของพรรค ปชน.นั้น ทางพรรคจะมีการทยอยเปิดอีกครั้ง สำหรับพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่นๆ ก็จะมีการสลับเป็นวันแรกและวันที่สองบ้าง

.

เมื่อถามว่า ประเด็นภาพรวมวันแรกจะเป็นเรื่องใดบ้าง นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จะมีความหลากหลายซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตัวของนายกรัฐมนตรีโดยตรง โดยบางประเด็นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับบางกระทรวงบ้าง แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีโดยตรง ทั้งนี้ เราไม่ได้แบ่งถึงขนาดว่าวันแรกต้องเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ในแต่ละวันนั้นจะมีไฮไลท์อยู่แล้ว

.

เมื่อถามว่า พอจะสามารถแย้มประเด็นที่พอจะทำให้รัฐบาลต้องหวั่นไหวได้หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า หากรั่วเพื่อทำให้รัฐบาลต้องหวั่นไหว รัฐบาลก็อาจจะไม่หวั่นไหว รอติดตามในการอภิปรายเลยดีกว่า โดยจะเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อภิปรายเปิด

.

เมื่อถามว่า มั่นใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า มั่นใจ มีการพูดคุยกันแล้ว ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในส่วนของส.ส. 3 คนของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ที่เคยโหวตสวนมติฝ่ายค้าน จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จริงๆ เรื่องนี้น่าจะจบไป เพราะชัดเจนไปนานแล้ว เพราะทางพรรค ทสท. ก็มีมาตรการลงโทษแล้ว ซึ่งเราคงไม่ได้นับ ส.ส.ทั้ง 3 คนอยู่แล้ว และในทางปฏิบัติ ทางพรรค ทสท.ก็ไม่ได้นับส.ส. 3 คนนั้นว่าเป็นส.ส.พรรค ทสท. ซึ่งคงจะไม่มีปัญหาอะไร

.

เมื่อถามว่า แล้วในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เท่าที่พูดคุยเขายังมั่นใจว่าจะครบถ้วน

.

.

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายภูษิต ไชยฉ่ำ อดีตรองนายกเทศมนตรีนครระยอง เปิดเผยว่าจากประสบการณ์ในแวดวงการพัฒนาเมืองและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 10 ปี ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในเครือข่ายพัฒนาเมืองจากหลายจังหวัด ทั้งในบริบทการลงทุนของเอกชน และการศึกษาวิจัยบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนในเมือง โดยเฉพาะจังหวัดระยองบ้านเกิด ค้นพบศักยภาพของนครระยอง ศักยภาพของชาวระยองและต้นทุนเมืองของเราที่ถูกกดทับจากโครงสร้างหลายๆอย่าง ทำให้แต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกจุดและเกิดความยั่งยืน

.

นายภูษิตกล่าวว่า หลังจากเข้ามารับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีนครระยองในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จึงได้ลาออกก่อนครบวาระ จากประสบการณ์ได้เรียนรู้การทำงานของเทศบาลนครระยองซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมาก ได้เห็นศักยภาพของเทศบาลฯในการให้บริการสาธารณะช่วยแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง จากประสบการณ์ทางการเมืองท้องถิ่นและประสบการณ์การพัฒนาเมือง จากการศึกษาวิจัยอย่างมีส่วนร่วมในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ระยองพัฒนาเมือง(วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด จึงทำให้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครระยองครั้งนี้ในนาม “พรรคประชาชน” เพราะพบว่านครระยองมีศักยภาพ มีโอกาสที่พร้อมนำพาประชาชนและประเทศให้ก้าวไปในอนาคตข้างหน้าได้

.

นายภูษิต กล่าวว่า การที่ผมอาสาเข้ามาบริหารเทศบาลนครระยอง เมืองแห่งโอกาส เป็นความตั้งใจที่แน่วแน่ของผมในชีวิตที่อยากทำเพื่อบ้านเกิดและผมมาพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ร่วมฝันเดียวกันทั้งทีมผู้บริหารสมาชิกสภาฯที่มองเห็นเป้าหมายการพัฒนาเทศบาลนครระยองร่วมกัน”นครระยอง เมืองแห่งโอกาส ร่วมกันเปลี่ยนผ่านอย่างสร้างสรรค์ วางใจไว้ที่โจ ภูษิต

.

.

.

World Population Review เปิดเผยผลการจัดอันดับคุณภาพระบบการศึกษาโลกประจำปี 2567 โดยพบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และเป็นอันดับที่ 8 ในาสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ตามหลังลาวที่อยู่อันดับ 7  โดยมีเมียนมาตามมาในลำดับ 9 และกัมพูชาในอันดับ 10

.

ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีระบบการศึกษาคุณภาพดีที่สุดในโลก คือ เกาหลีใต้ ตามมาด้วยเดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ ในอันดับที่ 2 และ 3 ส่วนอันดับที่ 4 เป็นของเบลเยียม โดยมีสโลเวเนีย อยู่ในลำดับที่ 5

.

1. เกาหลีใต้

2. เดนมาร์ก

3. เนเธอร์แลนด์

4. เบลเยียม

5. สโลเวเนีย

6. ญี่ปุ่น

7. เยอรมนี

8. ฟินแลนด์

9. นอร์เวย์

10. ไอร์แลนด์

.

สำหรับในอาเซียนนั้น ประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดคือ สิงคโปร์ ส่วนอันดับ 2 และ 3 เป็นของบรูไน และเวียดนาม

1. สิงคโปร์

2. บรูไน

3. เวียดนาม

4. อินโดนีเซีย

5. ฟิลิปปินส์

6. มาเลเซีย

7. ลาว

8. ไทย

9. เมียนมา

10. กัมพูชา

.

รายงานระบุว่า แม้ระดับการศึกษาในแต่ละประเทศแตกต่างกันไป แต่คุณภาพระบบการศึกษาของแต่ละประเทศมีความสัมพันธ์กับสถานะเศรษฐกิจโดยรวม และความเป็นอยู่โดยรวมของประเทศอย่างชัดเจน

.

โดยทั่วไปแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา พลเมืองจะมีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงกว่าพลเมืองของประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการศึกษาที่มีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของประเทศ

.

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Best Countries ซึ่งจัดทำโดย US News and World Report, BAV Group และ Wharton School จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย โดยสำรวจประชากรหลายพันคนจาก 78 ประเทศ

.

การจัดอันดับพิจารณาจากเงื่อนไข 3 ด้าน ได้แก่ ระบบการศึกษาของรัฐที่พัฒนาได้ดี ระดับในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และการให้การศึกษาคุณภาพสูงสุด