'หมอเจด'แนะ 5 ตัวช่วยให้มีสุขภาพจิตดี งดเล่นโซเชียล-เรื่องชาวบ้าน และ กินเผ็ดแล้วแสบท้อง สัญญาณบอกโรคอะไรบ้าง ?

วันวันพันกว่าเรื่อง! 'หมอเจด'แนะ 5 ตัวช่วยให้มีสุขภาพจิตดี งดเล่นโซเชียล-เรื่องชาวบ้าน
 
14 มีนาคม 2568 หมอเจด หรือ นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "5 ตัวช่วยเพื่อฮีลใจ" โดยระบุข้อความว่า 
1.เว้นระยะกับสังคมโชเชียลชั่วคราว โดยเฉพาะเรื่องชาวบ้าน ข่าวที่ทำให้ toxic หรือเรื่องราวในประเด็นที่ทำให้เราอ่อนไหวง่าย เลือกดู ฟัง ติดตามความบันเทิง ความสนุก ข้อความ เรื่องราวที่ทำให้ใจฟู สร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจ ทำให้หัวใจเบิกบาน สดชื่น เติมสติปัญญา จินตนาการ ดีกว่าเติมสตอรี่ของคนอื่น
2.หากิจกรรมทดแทนหน้าจอ ไม่มีก็ต้องหาครับ เช่น กิจกรรมกลางแจ้ง นอกบ้าน หรือในบ้าน ที่ทำให้เราเพลิดเพลิน สนุก ขลุกกับมันได้ทั้งวัน อย่างการออกกำลังกาย เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ทำอาหาร ทำงานคราฟท์ ดูหนัง ฟังเพลง move on  อะไรก็ได้ ที่เราให้เวลากับมันได้มากขึ้น ค่อย ๆ เพิ่มเวลา แล้ววันหนึ่งจะหมดไปอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทำให้เราเสียเหงื่อ ช่วยให้สมองโล่งได้มากทีเดียว อย่างน้อยเวลาที่เราให้ไปกับสิ่งนี้ จะทำให้เราค่อย ๆ หลุดออกมาจากสภาวะจม
3.ความสุขในแบบของเรา คือของเรา อาจไม่ใช่ความสุขในแบบของคนอื่น ทุกวันนี้ หลายคนกำลังแสดงความสุขให้คนอื่นเห็น เพราะมัวคิดว่า “จะทำยังไงให้คนอื่นเห็นว่าเรามีความสุข” ใช้ชีวิตตามที่ “เขาฮิต” ลองเลิกคิดถึงคนอื่น และตอบตัวเองใหม่ครับว่า “ความสุขที่เราชอบ และรู้สึกสนุกกับมันจริง ๆ  ความสุขที่ไม่ต้องแสดงให้คนอื่นรู้ แต่เรารู้สึกได้เลยทันทีที่ทำคืออะไร?” พอเราไม่ต้องคิดทำการแสดง ใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ใจเราจะฟูขึ้นตาม ความรู้สึกจะถูกบันทึกทันที โดยลืมตั้งกล้อง
4.มองโลกด้วยทัศนคติเชิงบวก พยายามหาเหตุผลกับทุก ๆ ปัญหา ความหงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจ เพื่อดึงใจให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว แก้อะไรไม่ได้ แก้ที่ใจก่อนครับ ลองหาวิธีตามความถนัดของตัวเอง แล้วตัวเราจะเต็มไปด้วยพลังงานบวก พลังงานบวก จะดึงดูดพลังงานบวกเข้าหากันเสมอ
5.วิตามินดี ช่วยฮีลใจได้ดี โดยเฉพาะในวัยรุ่นตอนปลาย (เรียกสั้น ๆ ว่า...แก่) ภาวะขาดวิตามินดี มีผลต่อสุขภาพจิตสูง นี่คือกระบวนการทางร่างกาย บางทีเราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราอ่อนไหวง่ายนัก ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่เป็น ลองเอาตัวเองออกไปสัมผัสอากาศ แสงแดด กิจกรรมนอกบ้าน หรือเสริมวิตามินดีให้มากขึ้น เพราะอาจเป็นต้นเหตุแฝงที่เราไม่รู้ตัว อย่างที่ผมบอกครับ ร่างกายกับใจ ล้วนเชื่อมโยงกันและกัน และถ้าใจพัง ร่างก็มักจะพังตามมาในไม่ช้า
กินเผ็ดแล้วแสบท้อง สัญญาณบอกโรคอะไรบ้าง ?
นิสัยคนไทยชอบกินเผ็ด...แต่คุณรู้ไหม...เวลากินเผ็ดทีไรแสบท้องทันที อาการแบบนี้ มีโอกาสเป็นโรคอะไรบ้าง
วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความ  โรงพยาบาลเปาโลโชคชัย 4 มาให้อ่านแล้วสำรวจพฤติกรรมว่า มีสัญญาณอะไรบ่งบอกแล้วควรกินเผ็ดต่อไปหรือไม่ เพราะคนไทยกับการ “กินเผ็ด” แทบจะเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบอาหารรสแซ่บ บางคนติดการกินพริกจนต้องมีทุกมื้อ พอกินเสร็จก็บ่นว่า “โอ๊ย แสบท้อง” บางทีมีอาการท้องเสียร่วมด้วย แต่ก็ยังทำพฤติกรรมเดิมซ้ำๆ จนมี “อาการเรื้อรัง” วนไปเรื่อยๆ จึงขอบอกเลยว่า การกินเผ็ดแล้วแสบท้องไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ควรปล่อยให้กลายเป็นเรื่องปกติ เพราะนี่อาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของโรคทางเดินอาหารเหล่านี้
กระเพาะอาหารอักเสบ
รู้ไหมว่าโรคที่คนไทยเป็นกันเยอะมากที่สุดโรคนี้มีสาเหตุเกิดได้จากทั้งพฤติกรรมการกินที่ไม่ตรงเวลา และนิสัยการกินอาหารรสจัดติดต่อกันนานๆ จนเยื่อเมือกบุในกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบ บวม แดง และยังมีอีกสาเหตุของการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” คือการติดเชื้อเอชไพโลไร จากการปนเปื้อนของแบคทีเรียในอาหารหรือน้ำที่ดื่มเข้าไป ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แบบเป็นๆ หายๆ นานเป็นเดือนหรือเป็นปี “อาการของโรคกระเพาะอาหาร” ทั้งฉับพลันและเรื้อรังนี้ อาการที่เห็นได้ชัด คือ ปวดแสบท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ ท้องอืด แน่นท้องทั้งที่ไม่ได้กินอาหาร คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากการอักเสบของเยื่อเมือกบุในกระเพาะ ดังนั้นการกินอาหารรสจัดหรือเผ็ด จึงยิ่งสร้างกรดที่กัดเยื่อบุกระเพาะทำให้ปวดแสบท้องทันทีที่ทานอาหารเผ็ดนั่นเอง
โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
หลายๆ คนต้องเคยเจอ “โรคลำไส้อักเสบ”กันมาบ้าง และจะรู้ว่ามันปวดท้องทรมานขนาดไหน ส่วนมากโรค “ลำไส้อักเสบฉับพลัน” จะเกิดจากการกินอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน ติดเชื้อไวรัส และมีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ร่วมกับปวดท้องรุนแรง และรักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือที่เรียกว่า Ulcerative Colitis คือการที่ผนังลำไส้ใหญ่มีการอักเสบและเป็นแผล เกิดการอักเสบเรื้อรังนานเป็นปีๆ ทำให้มีอาการท้องเสียและปวดท้องเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะเมื่อทานอาหารที่ไปกระตุ้นให้ผนังลำไส้อักเสบรุนแรงก็จะเกิดอาการกำเริบขึ้นมา การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังจึงต้องพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาให้เยื่อบุลำไส้ที่เป็นแผลกลับคืนสู่สภาพปกติ และแน่นอนว่าต้องควบคุมการทานอาหารที่เหมาะสม และไม่ควรทานอาหารเผ็ดที่จะยิ่งทำร้ายเยื่อบุลำไส้ เพราะการเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรังสามารถพัฒนาไปสู่ “โรคมะเร็งลำไส้” ได้หากปล่อยไว้
กรดไหลย้อน
โรคฮิตของคนทำงานยุคนี้เลย เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทานอาหารไม่ตรงเวลา โดยเฉพาะคนที่ชอบกินดึกๆ และเข้านอนทันที กรดไหลย้อน คือ ภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ทำให้มี อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ เกิดได้ทั้งจากมีกรดเกินในกระเพาะอาหารจนไหลย้อนขึ้นมา และหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายทำงานผิดปกติ ดังนั้นผู้ที่เป็นกรดไหลย้อน จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารทุกชนิดที่ทำให้เกิดกรด ทั้งอาหารรสเผ็ด รสเปรี้ยว ไปจนถึงอาหารที่มีแก๊สมาก เพราะจะยิ่งทำให้เกิดกรดและไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน และหากมีอาการกรดไหลย้อนเรื้อรังอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหูรูดหลอดอาหาร เพื่อป้องกันการพัฒนาของโรคไปเป็น “มะเร็งหลอดอาหาร” ในอนาคต...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4496624/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่