โรมันฟอรัม (Roman Forum) ศูนย์กลางของโรม และศูนย์กลางของโลก

เรื่องราวกรุงโรม ที่ได้เล่าไปแล้ว อยู่ในลิงก์ด้านล่างนะครับ
สารบัญเรื่องราว ที่ได้เล่าแล้วในวันก่อนๆ

คราวนี้เรามาเล่าเรื่อง โรมันฟอรั่ม กันนะ

ขณะที่คนทั้งโลกมาเยือนโคลอสเซียมด้วยความหวังและความรู้ที่ส่วนใหญ่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว โรมันฟอรัม (Roman Forum) กลับไม่เป็นเช่นนั้น

คนจำนวนไม่น้อยเพิ่งจะมารู้จักโรมันฟอรัมตอนที่มาถึงนี้เอง ถ้าเราได้มาเที่ยวที่โคลอสเซียมก็จะได้เห็นว่าโคลอสเซียมนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริเวณโดยรอบซึ่งเป็นซากปรักหักพังของกรุงโรมโบราณซึ่งอันที่จริงมีความเก่าแก่กว่าโคลอสเซียมมาก และมีประวัติเรื่องราวอัดแน่นมาหลายพันปี ย้อนอดีตไปไกลตั้งแต่ยุคก่อนกำเนิดกรุงโรมเลยด้วยซ้ำ ส่วนโคลอสเซียมนั้นคือส่วนหนึ่งของโรมันฟอรัมซึ่งถือกำเนิดมาในช่วงปลายของอายุโรมันฟอรัมแล้ว


ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม : All roads lead to Rome

ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของโรมันฟอรัมก็คือช่วงเวลาที่จักรวรรดิโรมันแผ่ขยายไพศาลไปทั้ง 3 ทวีป โรมันฟอรัมก็กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นศูนย์กลางของโลกในซีกตะวันตกก็ว่าได้

แต่ก็มิใช่จะเป็นเช่นนั้นไปตลอด



โรมันฟอรัม มีช่วงเวลาของการก่อนกำเนิด การเสื่อมสลาย ถูกรังควาน ทำลาย กลบฝังและถูกลืม เป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ปลงสังเวชถึงศูนย์กลางอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่เสื่อมและถูกลืมไปในช่วงเวลายาวนาน ก่อนที่จะกลับฟื้นคืนมาในสภาพของเศษซากให้เราได้ถวิลหาความหลังอันรุ่งโรจน์ของมัน


บริเวณที่ตั้งของโรมันฟอรัมเป็นที่ราบระหว่าง 2 เนินเขา คือเนินพาเลติเน (Palatine hill) กับเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) (จำชื่อหลังไว้นะ เราจะได้พบกับชื่อนี้อีก) ซึ่งมีอดีตมาตั้งแต่ยุคสำริด (200-975 ปีก่อนคริสกาล) มาแล้ว มีการพบไหดินเผาขนาดใหญ่ที่ใส่กระดูกพร้อมกับสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งแสดงว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสุสานในยุคก่อนประวัติศาสตร์

จนหลังจากนั้นที่นี่ก็ได้ถูกใช้ในพิธีทางศาสนาและได้กลายเป็นสถานที่สาธารณะของชาวเมืองที่ทำมาค้าขาย ไฮด์ปาร์ก พิธีกรรมเฉลิมฉลอง การบูชาเทพเจ้า วีรบุรุษ จนเกิดอาคาร วิหาร เทวรูป อนุสาวรีย์ และอะไรต่ออะไรซึ่งเหลือให้เราเห็นอยู่แค่นี้ บางสิ่งบางอย่างอาจพอให้เราได้หวนคำนึงถึงมันบ้างว่าในอดีตมันเคยเป็นอะไร



และในเวลาต่อไปนี้ เราจะพาท่านซื้อตั๋วตรงด้านหน้า เดินเข้าไปตามทางจนเข้าไปสู่ปากเมือง ไปชมอดีตทีละชิ้น ๆ กรุณาดูรูป อ่านคำบรรยาย และหลับตาฝัน ได้ตามสะดวกใจนับแต่นี้เถิด



มหาวิหารแมกเซนเชียสและคอนสแตนติน  ภาพของ MumblerJamie

เข้าไปถึงซากเมืองเราสิ่งแรกที่โดดเด่นเป็นสง่าก็คือซากปรักหักพังของมหาวิหารแมกเซนเชียสและคอนสแตนติน (Basilica Of Maxentius & Constantine) เป็นซากวิหารใหญ่โตเห็นได้แต่ไกล มีซุ้มโค้งใหญ่ 3 ซุ้ม

วิหารนี้ตั้งชื่อตามจักรพรรดิคอนสแตนตินนมหาราช ซึ่งจักรพรรดิองค์สำคัญที่ควรนำเอาไว้ เพราะพระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกที่นับถือศาสนาคริสต์และได้รับเอาศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งกว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ผ่านอะไรมามากเหลือเกิน

ถ้าเรารู้เรื่องราวประวัติพระเยซูคงทราบได้ว่าพวกที่นำพระเยซูมาตรึงกางเขนและทรมานจนตายก็คือพวกโรมันนี่แหละ ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้เข่นฆ่าทรมานคริสเตียนจนมากมาย ทว่าอะไรก็ไม่อาจเอาชนะความศรัทธาได้ ในที่สุดหลังจากหลังจากจักรพรรดิคอนสแตนตินได้ทำการต่อสู้กับจักรพรรดิมักเนนติอุสจนได้ชัยชนะ กรุงโรมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นับแต่นั้นเป็นต้นมา

มหาวิหารนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่มากและเห็นได้ชัดเจนใน ก่อนนี้เคยเป็นที่ตั้งประติมากรรมขนาดยักษ์ของพระเจ้าคอนสแตนติน แต่มันได้ล่มสลายพังลงเรียบร้อยแล้ว ถ้าใครอยากจะพบซากของพระองค์ก็ยังไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์คาปิโตลิเนซึ่งมีชิ้นส่วนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และมีความสำคัญมากต่อวงการประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะรูปแบบงานประติมากรรมนั้นแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของศิลปะโรมันที่เริ่มเข้าสู่อีกยุคหนึ่งชัดเจน อย่างไรก็ตามเรื่องราวทางประติมากรรมนี้ขออุบไว้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะเล่าต่อตอนไปที่คาปิโตลิเนหลังจากนี้


ภาพอนุสาวรีย์พระเจ้าคอนสแตนติน ที่สร้างโดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค

ตอนนี้ก็ขอพาชม สถาปัยยกรรมที่เหลือแต่ซาก ชิ้นแรกได้แก่ วิหารโรมูลุส (Temple of Romulus) เป็นวิหารทรงกระบอกที่จักรพรรดิแมกเซนเชียสสร้างอุทิศให้พระโอรสโรมูลุส (Valerius Romulus) ซึ่งการสร้างวิหารอุทิศเช่นนี้เป็นกรรมวิธีอย่างหนึ่งของโรมันที่ทำให้พระโอรสกลายสถานภาพเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการบูชาโดยคนที่มาเยือนวิหารต่อมานั้นเอง และในเวลาต่อมามันก็ถูกดัดแปลงเป็นโบสถ์คริสต์ในปี ค.ศ. 309 มีชื่อใหม่ว่ามหาวิหาร Santi Cosma Damiano (ไม่ต้องจำก็ได้นะ ชื่ออ่านยากๆแบบนี้)


วิหารโรมูลุส (Temple of Romulus) ภาพโดย Karin Karintasut



แม้ว่าส่วนประกอบต่างๆของอาคารก่ออิฐหลังนี้ปรักพังไปหมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ยังคงเหลือทางเข้าที่มีเสา กรอบประตู และประตูโลหะขนาดใหญ่ซึ่งแข็งแกร่งทนทานตกทอดมาถึงพวกเราให้ได้ชม ช่างเป็นบุญดีแท้ มาถึงแล้วหลายคนก็โพสต์ท่าหน้าประตูเหล็กโบราณมีเสากรีกเป็นกรอบก็ดูสวยไม่หยอก



ต่อไปคือ วิหารอันโตนินัสและฟาอัสตินา นี่ก็เป็นวิหารแห่งความรักที่จักรพรรดิอันโต ( Anto) สร้างให้กับภรรยาคนงามชื่อฟาอัส (Faus) ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย จักรพรรดิก็เลยสร้างวิหารอุทิศให้เธอและเธอก็เลยได้กลายเป็นเทพีประจำวิหารไป ทำนองเดียวกับทัชมาฮาลและอีกหลายวิหารในโลกใบนี้


ภาพด้านข้าง มองเห็นเสาแบบกรีกยังคงมีอยู่ครบ : โดย Karin Karintasut

แต่ในเวลาต่อมาช้านานเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาถึง วิหารนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์ซานลอเรนโซแห่งมิแรนดาแทน ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาใหม่เป็นธรรมดา แต่ก็ยังมีความเป็นโรมันอยู่ โดยเฉพาะเสากรีก (ต้องเข้าใจนะว่าโรมันเอาเสากรีกมาใช้มากมายจนลืมไปว่าฉันลอกแบบเขามา เสากรีกก็เลยกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สถิตย์อยู่บนสถาปัตยกรรมโรมันหลายต่อหลายแห่ง) ซึ่งก็ยังคงมีครบ 6 ต้นตามแบบดั้งเดิมตรงด้านหน้าและแถมเสาด้านข้างอีก ตามรูปที่เห็น


วิหารแห่งเวสตา (temple of Vesta) ตอนนี้เหลือแค่ที่เห็น : ภาพโดย Karin Karintasut

เดินไปต่ออีกไม่กี่ก้าวก็จะเห็นวิหารแห่งเวสตา (temple of Vesta)
พอจินตนาการได้ไหม ว่าเมื่อก่อนนี้ เราจะได้เห็นแท่นบูชาทรงกลมที่เคยล้อมรอบด้วยเสากรีกแบบโครินเทียน 20 ตัน ที่ตั้งวิหารซึ่งได้รับการถวายเปลวเพลิงจุดไฟบูชาอยู่ตลอดกาล (ข้าพเจ้าขอตั้งชื่ออันไพเราะนี้ว่าเปลวไฟนิรันดร์แห่งโรม : Eternal Flame of Rome) ซึ่งผู้ที่คอยดูแลพระเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นเหล่าหญิงพรหมจรรย์ 6 คน ที่อุทิศตนเป็นข้ารับใช้เทพีแห่งเตาไฟที่ชื่อว่าเวสต้า (vesta) ที่ครองไฟอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องคุ้มครองให้จักรวรรดิ์โรมันอยู่รอดปลอดภัย และยิ่งยงสถาพร


หน้าที่หลักของหญิงพรหมจรรย์เหล่านี้ก็คือบูชาเทพีและดูแลไฟไม่ให้ดับแต่ให้โชติช่วงชัชวาลย์เพื่อให้อาณาจักรโรมันรุ่งโรจน์แบบเพลิงนั้น เทพีเอ๊ย นักบวชหญิงเหล่านี้มีสถานะสูงเพราะถือว่าถ้าใครมารังแกก็จะส่งผลต่อความสวัสดีของโรม จำได้ใช่มะว่าที่โคลอสเซียม แม่นางนักบวชจะได้ที่นั่งแบบวีไอพีด้วย
(ขอขอบพระคุณเรื่องข้อมูลของแม่นางทั้งหกจากคุณ Paul Phumm ที่ช่วยขยายความให้ทราบครับ)

ฟังก์ชันสำคัญของไฟในวิหารก็คือการเป็นเชื้อให้บรรดาแม่บ้านโรมันมาขอต่อไฟไปใช้ในครัวเรือนนั่นเอง อย่าลืมว่าสมัยก่อนเตาแก๊สก็ยังไม่มี จะจุดไฟทั้งทีก็เป็นเรื่องยาก แบ่งปันจากเทพีไปใช้นั่นแหล่ะง่ายดี

อ้อ เล่าเกร็ดเล็กๆให้ฟังซะหน่อยว่าในช่วงปีใหม่ของโรมันจะมีพิธีกรรมประการหนึ่ง คือการดับไฟในบ้านทั้งหมดแล้วจุดขึ้นใหม่โดยใช้ไฟจากวิหารนี้มาเป็นต้นเพลิง นับได้ว่าวิหารนี้มีความสำคัญที่ได้ให้แสงแรกแห่งปี เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เกิดใหม่ด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูลจากสาวพรหมจรรย์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมืองนี้มีชีวิตชีวามาใหม่จากเทพีผู้บริสุทธิ์องค์นี้นั่นเอง

ยืนชมวิหารไปก็แอบคิดอยู่นิดนึง ว่าสมัยก่อนจะมีสาวนางไหนโดนบังคับให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการลุยไฟแบบนางสีดาบ้างไหม ถ้าคิดจะทำละก้อน่าจะมาที่แห่งนี้เหมาะสุด เพราะไฟของที่นี่เป็นเพลิงบริสุทธิ์จากพระเทวีแห่งพรมจรรย์ น่าจะการันตีผลว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์

วิหารนี้แต่เดิมกล่าวกันว่าตรงช่วงหลังคาจะมีช่องปล่องควันจากไฟ แต่ตอนนี้ไม่มีซะแล้ว ก็เพราะว่าใน ศตวรรษที่ 16 มันก็ถูกทุบ ทุบ ทุบ เพื่อนำหินมาใช้ในวังของพระสันตปาปา และที่เราเห็นอยู่ตอนนี้เป็นผลจากการบูรณะโดยมุสโสลินี ในปี 1930 มานี่เอง

อ้าว งั้นมันก็ใหม่มากนะสิ แต่ช่างเถอะ ลืมเรื่องนี้ไปซะ เดี๋ยวจะเสียอารมณ์ฝันสลาย

มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็เหนื่อยกาย (แต่ไม่เหนื่อยใจ) ก็เลยขอพักไว้ก่อนแต่เพียงนี้ และเราก็ไปเจอกันในอีกตอนหน้า ซึ่งก็ยังคงอยู่ที่โรมันฟอรัมเหมือนเดิมไม่ได้ไปไหน ติดตามชมนะครับ

สำหรับลิงก์วันก่อนๆ ที่ได้เล่าไปแล้ว อยู่ในลิงก์ด้านล่างนะครับ
สารบัญเรื่องราว ที่ได้เล่าแล้วในวันก่อนๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่