เรื่องราวกรุงโรม ที่ได้เล่าไปแล้ว อยู่ในลิงก์ด้านล่างนะครับ
สารบัญเรื่องราว ที่ได้เล่าแล้วในวันก่อนๆ
คราวนี้เรามาเล่าเรื่อง โรมันฟอรั่ม กันนะ
ขณะที่คนทั้งโลกมาเยือนโคลอสเซียมด้วยความหวังและความรู้ที่ส่วนใหญ่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว โรมันฟอรัม (Roman Forum) กลับไม่เป็นเช่นนั้น
คนจำนวนไม่น้อยเพิ่งจะมารู้จักโรมันฟอรัมตอนที่มาถึงนี้เอง ถ้าเราได้มาเที่ยวที่โคลอสเซียมก็จะได้เห็นว่าโคลอสเซียมนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริเวณโดยรอบซึ่งเป็นซากปรักหักพังของกรุงโรมโบราณซึ่งอันที่จริงมีความเก่าแก่กว่าโคลอสเซียมมาก และมีประวัติเรื่องราวอัดแน่นมาหลายพันปี ย้อนอดีตไปไกลตั้งแต่ยุคก่อนกำเนิดกรุงโรมเลยด้วยซ้ำ ส่วนโคลอสเซียมนั้นคือส่วนหนึ่งของโรมันฟอรัมซึ่งถือกำเนิดมาในช่วงปลายของอายุโรมันฟอรัมแล้ว

ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม : All roads lead to Rome
ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของโรมันฟอรัมก็คือช่วงเวลาที่จักรวรรดิโรมันแผ่ขยายไพศาลไปทั้ง 3 ทวีป โรมันฟอรัมก็กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นศูนย์กลางของโลกในซีกตะวันตกก็ว่าได้
แต่ก็มิใช่จะเป็นเช่นนั้นไปตลอด
โรมันฟอรัม มีช่วงเวลาของการก่อนกำเนิด การเสื่อมสลาย ถูกรังควาน ทำลาย กลบฝังและถูกลืม เป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ปลงสังเวชถึงศูนย์กลางอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่เสื่อมและถูกลืมไปในช่วงเวลายาวนาน ก่อนที่จะกลับฟื้นคืนมาในสภาพของเศษซากให้เราได้ถวิลหาความหลังอันรุ่งโรจน์ของมัน

บริเวณที่ตั้งของโรมันฟอรัมเป็นที่ราบระหว่าง 2 เนินเขา คือเนินพาเลติเน (Palatine hill) กับเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) (จำชื่อหลังไว้นะ เราจะได้พบกับชื่อนี้อีก) ซึ่งมีอดีตมาตั้งแต่ยุคสำริด (200-975 ปีก่อนคริสกาล) มาแล้ว มีการพบไหดินเผาขนาดใหญ่ที่ใส่กระดูกพร้อมกับสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งแสดงว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสุสานในยุคก่อนประวัติศาสตร์
จนหลังจากนั้นที่นี่ก็ได้ถูกใช้ในพิธีทางศาสนาและได้กลายเป็นสถานที่สาธารณะของชาวเมืองที่ทำมาค้าขาย ไฮด์ปาร์ก พิธีกรรมเฉลิมฉลอง การบูชาเทพเจ้า วีรบุรุษ จนเกิดอาคาร วิหาร เทวรูป อนุสาวรีย์ และอะไรต่ออะไรซึ่งเหลือให้เราเห็นอยู่แค่นี้ บางสิ่งบางอย่างอาจพอให้เราได้หวนคำนึงถึงมันบ้างว่าในอดีตมันเคยเป็นอะไร
และในเวลาต่อไปนี้ เราจะพาท่านซื้อตั๋วตรงด้านหน้า เดินเข้าไปตามทางจนเข้าไปสู่ปากเมือง ไปชมอดีตทีละชิ้น ๆ กรุณาดูรูป อ่านคำบรรยาย และหลับตาฝัน ได้ตามสะดวกใจนับแต่นี้เถิด

มหาวิหารแมกเซนเชียสและคอนสแตนติน ภาพของ MumblerJamie
เข้าไปถึงซากเมืองเราสิ่งแรกที่โดดเด่นเป็นสง่าก็คือซากปรักหักพังของมหาวิหารแมกเซนเชียสและคอนสแตนติน (Basilica Of Maxentius & Constantine) เป็นซากวิหารใหญ่โตเห็นได้แต่ไกล มีซุ้มโค้งใหญ่ 3 ซุ้ม
วิหารนี้ตั้งชื่อตามจักรพรรดิคอนสแตนตินนมหาราช ซึ่งจักรพรรดิองค์สำคัญที่ควรนำเอาไว้ เพราะพระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกที่นับถือศาสนาคริสต์และได้รับเอาศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งกว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ผ่านอะไรมามากเหลือเกิน
ถ้าเรารู้เรื่องราวประวัติพระเยซูคงทราบได้ว่าพวกที่นำพระเยซูมาตรึงกางเขนและทรมานจนตายก็คือพวกโรมันนี่แหละ ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้เข่นฆ่าทรมานคริสเตียนจนมากมาย ทว่าอะไรก็ไม่อาจเอาชนะความศรัทธาได้ ในที่สุดหลังจากหลังจากจักรพรรดิคอนสแตนตินได้ทำการต่อสู้กับจักรพรรดิมักเนนติอุสจนได้ชัยชนะ กรุงโรมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
มหาวิหารนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่มากและเห็นได้ชัดเจนใน ก่อนนี้เคยเป็นที่ตั้งประติมากรรมขนาดยักษ์ของพระเจ้าคอนสแตนติน แต่มันได้ล่มสลายพังลงเรียบร้อยแล้ว ถ้าใครอยากจะพบซากของพระองค์ก็ยังไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์คาปิโตลิเนซึ่งมีชิ้นส่วนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และมีความสำคัญมากต่อวงการประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะรูปแบบงานประติมากรรมนั้นแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของศิลปะโรมันที่เริ่มเข้าสู่อีกยุคหนึ่งชัดเจน อย่างไรก็ตามเรื่องราวทางประติมากรรมนี้ขออุบไว้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะเล่าต่อตอนไปที่คาปิโตลิเนหลังจากนี้

ภาพอนุสาวรีย์พระเจ้าคอนสแตนติน ที่สร้างโดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค
ตอนนี้ก็ขอพาชม สถาปัยยกรรมที่เหลือแต่ซาก ชิ้นแรกได้แก่ วิหารโรมูลุส (Temple of Romulus) เป็นวิหารทรงกระบอกที่จักรพรรดิแมกเซนเชียสสร้างอุทิศให้พระโอรสโรมูลุส (Valerius Romulus) ซึ่งการสร้างวิหารอุทิศเช่นนี้เป็นกรรมวิธีอย่างหนึ่งของโรมันที่ทำให้พระโอรสกลายสถานภาพเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการบูชาโดยคนที่มาเยือนวิหารต่อมานั้นเอง และในเวลาต่อมามันก็ถูกดัดแปลงเป็นโบสถ์คริสต์ในปี ค.ศ. 309 มีชื่อใหม่ว่ามหาวิหาร Santi Cosma Damiano (ไม่ต้องจำก็ได้นะ ชื่ออ่านยากๆแบบนี้)

วิหารโรมูลุส (Temple of Romulus) ภาพโดย Karin Karintasut
แม้ว่าส่วนประกอบต่างๆของอาคารก่ออิฐหลังนี้ปรักพังไปหมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ยังคงเหลือทางเข้าที่มีเสา กรอบประตู และประตูโลหะขนาดใหญ่ซึ่งแข็งแกร่งทนทานตกทอดมาถึงพวกเราให้ได้ชม ช่างเป็นบุญดีแท้ มาถึงแล้วหลายคนก็โพสต์ท่าหน้าประตูเหล็กโบราณมีเสากรีกเป็นกรอบก็ดูสวยไม่หยอก
ต่อไปคือ วิหารอันโตนินัสและฟาอัสตินา นี่ก็เป็นวิหารแห่งความรักที่จักรพรรดิอันโต ( Anto) สร้างให้กับภรรยาคนงามชื่อฟาอัส (Faus) ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย จักรพรรดิก็เลยสร้างวิหารอุทิศให้เธอและเธอก็เลยได้กลายเป็นเทพีประจำวิหารไป ทำนองเดียวกับทัชมาฮาลและอีกหลายวิหารในโลกใบนี้

ภาพด้านข้าง มองเห็นเสาแบบกรีกยังคงมีอยู่ครบ : โดย Karin Karintasut
แต่ในเวลาต่อมาช้านานเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาถึง วิหารนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์ซานลอเรนโซแห่งมิแรนดาแทน ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาใหม่เป็นธรรมดา แต่ก็ยังมีความเป็นโรมันอยู่ โดยเฉพาะเสากรีก (ต้องเข้าใจนะว่าโรมันเอาเสากรีกมาใช้มากมายจนลืมไปว่าฉันลอกแบบเขามา เสากรีกก็เลยกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สถิตย์อยู่บนสถาปัตยกรรมโรมันหลายต่อหลายแห่ง) ซึ่งก็ยังคงมีครบ 6 ต้นตามแบบดั้งเดิมตรงด้านหน้าและแถมเสาด้านข้างอีก ตามรูปที่เห็น

วิหารแห่งเวสตา (temple of Vesta) ตอนนี้เหลือแค่ที่เห็น : ภาพโดย Karin Karintasut
เดินไปต่ออีกไม่กี่ก้าวก็จะเห็นวิหารแห่งเวสตา (temple of Vesta)
พอจินตนาการได้ไหม ว่าเมื่อก่อนนี้ เราจะได้เห็นแท่นบูชาทรงกลมที่เคยล้อมรอบด้วยเสากรีกแบบโครินเทียน 20 ตัน ที่ตั้งวิหารซึ่งได้รับการถวายเปลวเพลิงจุดไฟบูชาอยู่ตลอดกาล (ข้าพเจ้าขอตั้งชื่ออันไพเราะนี้ว่าเปลวไฟนิรันดร์แห่งโรม : Eternal Flame of Rome) ซึ่งผู้ที่คอยดูแลพระเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นเหล่าหญิงพรหมจรรย์ 6 คน ที่อุทิศตนเป็นข้ารับใช้เทพีแห่งเตาไฟที่ชื่อว่าเวสต้า (vesta) ที่ครองไฟอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องคุ้มครองให้จักรวรรดิ์โรมันอยู่รอดปลอดภัย และยิ่งยงสถาพร

หน้าที่หลักของหญิงพรหมจรรย์เหล่านี้ก็คือบูชาเทพีและดูแลไฟไม่ให้ดับแต่ให้โชติช่วงชัชวาลย์เพื่อให้อาณาจักรโรมันรุ่งโรจน์แบบเพลิงนั้น เทพีเอ๊ย นักบวชหญิงเหล่านี้มีสถานะสูงเพราะถือว่าถ้าใครมารังแกก็จะส่งผลต่อความสวัสดีของโรม จำได้ใช่มะว่าที่โคลอสเซียม แม่นางนักบวชจะได้ที่นั่งแบบวีไอพีด้วย
(ขอขอบพระคุณเรื่องข้อมูลของแม่นางทั้งหกจากคุณ Paul Phumm ที่ช่วยขยายความให้ทราบครับ)
ฟังก์ชันสำคัญของไฟในวิหารก็คือการเป็นเชื้อให้บรรดาแม่บ้านโรมันมาขอต่อไฟไปใช้ในครัวเรือนนั่นเอง อย่าลืมว่าสมัยก่อนเตาแก๊สก็ยังไม่มี จะจุดไฟทั้งทีก็เป็นเรื่องยาก แบ่งปันจากเทพีไปใช้นั่นแหล่ะง่ายดี
อ้อ เล่าเกร็ดเล็กๆให้ฟังซะหน่อยว่าในช่วงปีใหม่ของโรมันจะมีพิธีกรรมประการหนึ่ง คือการดับไฟในบ้านทั้งหมดแล้วจุดขึ้นใหม่โดยใช้ไฟจากวิหารนี้มาเป็นต้นเพลิง นับได้ว่าวิหารนี้มีความสำคัญที่ได้ให้แสงแรกแห่งปี เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เกิดใหม่ด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูลจากสาวพรหมจรรย์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมืองนี้มีชีวิตชีวามาใหม่จากเทพีผู้บริสุทธิ์องค์นี้นั่นเอง
ยืนชมวิหารไปก็แอบคิดอยู่นิดนึง ว่าสมัยก่อนจะมีสาวนางไหนโดนบังคับให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการลุยไฟแบบนางสีดาบ้างไหม ถ้าคิดจะทำละก้อน่าจะมาที่แห่งนี้เหมาะสุด เพราะไฟของที่นี่เป็นเพลิงบริสุทธิ์จากพระเทวีแห่งพรมจรรย์ น่าจะการันตีผลว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์
วิหารนี้แต่เดิมกล่าวกันว่าตรงช่วงหลังคาจะมีช่องปล่องควันจากไฟ แต่ตอนนี้ไม่มีซะแล้ว ก็เพราะว่าใน ศตวรรษที่ 16 มันก็ถูกทุบ ทุบ ทุบ เพื่อนำหินมาใช้ในวังของพระสันตปาปา และที่เราเห็นอยู่ตอนนี้เป็นผลจากการบูรณะโดยมุสโสลินี ในปี 1930 มานี่เอง
อ้าว งั้นมันก็ใหม่มากนะสิ แต่ช่างเถอะ ลืมเรื่องนี้ไปซะ เดี๋ยวจะเสียอารมณ์ฝันสลาย
มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็เหนื่อยกาย (แต่ไม่เหนื่อยใจ) ก็เลยขอพักไว้ก่อนแต่เพียงนี้ และเราก็ไปเจอกันในอีกตอนหน้า ซึ่งก็ยังคงอยู่ที่โรมันฟอรัมเหมือนเดิมไม่ได้ไปไหน ติดตามชมนะครับ
สำหรับลิงก์วันก่อนๆ ที่ได้เล่าไปแล้ว อยู่ในลิงก์ด้านล่างนะครับ
สารบัญเรื่องราว ที่ได้เล่าแล้วในวันก่อนๆ
โรมันฟอรัม (Roman Forum) ศูนย์กลางของโรม และศูนย์กลางของโลก
สารบัญเรื่องราว ที่ได้เล่าแล้วในวันก่อนๆ
คราวนี้เรามาเล่าเรื่อง โรมันฟอรั่ม กันนะ
ขณะที่คนทั้งโลกมาเยือนโคลอสเซียมด้วยความหวังและความรู้ที่ส่วนใหญ่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว โรมันฟอรัม (Roman Forum) กลับไม่เป็นเช่นนั้น
คนจำนวนไม่น้อยเพิ่งจะมารู้จักโรมันฟอรัมตอนที่มาถึงนี้เอง ถ้าเราได้มาเที่ยวที่โคลอสเซียมก็จะได้เห็นว่าโคลอสเซียมนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริเวณโดยรอบซึ่งเป็นซากปรักหักพังของกรุงโรมโบราณซึ่งอันที่จริงมีความเก่าแก่กว่าโคลอสเซียมมาก และมีประวัติเรื่องราวอัดแน่นมาหลายพันปี ย้อนอดีตไปไกลตั้งแต่ยุคก่อนกำเนิดกรุงโรมเลยด้วยซ้ำ ส่วนโคลอสเซียมนั้นคือส่วนหนึ่งของโรมันฟอรัมซึ่งถือกำเนิดมาในช่วงปลายของอายุโรมันฟอรัมแล้ว
ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม : All roads lead to Rome
ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของโรมันฟอรัมก็คือช่วงเวลาที่จักรวรรดิโรมันแผ่ขยายไพศาลไปทั้ง 3 ทวีป โรมันฟอรัมก็กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นศูนย์กลางของโลกในซีกตะวันตกก็ว่าได้
แต่ก็มิใช่จะเป็นเช่นนั้นไปตลอด
โรมันฟอรัม มีช่วงเวลาของการก่อนกำเนิด การเสื่อมสลาย ถูกรังควาน ทำลาย กลบฝังและถูกลืม เป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ปลงสังเวชถึงศูนย์กลางอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่เสื่อมและถูกลืมไปในช่วงเวลายาวนาน ก่อนที่จะกลับฟื้นคืนมาในสภาพของเศษซากให้เราได้ถวิลหาความหลังอันรุ่งโรจน์ของมัน
บริเวณที่ตั้งของโรมันฟอรัมเป็นที่ราบระหว่าง 2 เนินเขา คือเนินพาเลติเน (Palatine hill) กับเนินแคปิโตลิเน (Capitoline hill) (จำชื่อหลังไว้นะ เราจะได้พบกับชื่อนี้อีก) ซึ่งมีอดีตมาตั้งแต่ยุคสำริด (200-975 ปีก่อนคริสกาล) มาแล้ว มีการพบไหดินเผาขนาดใหญ่ที่ใส่กระดูกพร้อมกับสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งแสดงว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสุสานในยุคก่อนประวัติศาสตร์
จนหลังจากนั้นที่นี่ก็ได้ถูกใช้ในพิธีทางศาสนาและได้กลายเป็นสถานที่สาธารณะของชาวเมืองที่ทำมาค้าขาย ไฮด์ปาร์ก พิธีกรรมเฉลิมฉลอง การบูชาเทพเจ้า วีรบุรุษ จนเกิดอาคาร วิหาร เทวรูป อนุสาวรีย์ และอะไรต่ออะไรซึ่งเหลือให้เราเห็นอยู่แค่นี้ บางสิ่งบางอย่างอาจพอให้เราได้หวนคำนึงถึงมันบ้างว่าในอดีตมันเคยเป็นอะไร
และในเวลาต่อไปนี้ เราจะพาท่านซื้อตั๋วตรงด้านหน้า เดินเข้าไปตามทางจนเข้าไปสู่ปากเมือง ไปชมอดีตทีละชิ้น ๆ กรุณาดูรูป อ่านคำบรรยาย และหลับตาฝัน ได้ตามสะดวกใจนับแต่นี้เถิด
มหาวิหารแมกเซนเชียสและคอนสแตนติน ภาพของ MumblerJamie
เข้าไปถึงซากเมืองเราสิ่งแรกที่โดดเด่นเป็นสง่าก็คือซากปรักหักพังของมหาวิหารแมกเซนเชียสและคอนสแตนติน (Basilica Of Maxentius & Constantine) เป็นซากวิหารใหญ่โตเห็นได้แต่ไกล มีซุ้มโค้งใหญ่ 3 ซุ้ม
วิหารนี้ตั้งชื่อตามจักรพรรดิคอนสแตนตินนมหาราช ซึ่งจักรพรรดิองค์สำคัญที่ควรนำเอาไว้ เพราะพระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกที่นับถือศาสนาคริสต์และได้รับเอาศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งกว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ผ่านอะไรมามากเหลือเกิน
ถ้าเรารู้เรื่องราวประวัติพระเยซูคงทราบได้ว่าพวกที่นำพระเยซูมาตรึงกางเขนและทรมานจนตายก็คือพวกโรมันนี่แหละ ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้เข่นฆ่าทรมานคริสเตียนจนมากมาย ทว่าอะไรก็ไม่อาจเอาชนะความศรัทธาได้ ในที่สุดหลังจากหลังจากจักรพรรดิคอนสแตนตินได้ทำการต่อสู้กับจักรพรรดิมักเนนติอุสจนได้ชัยชนะ กรุงโรมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
มหาวิหารนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่มากและเห็นได้ชัดเจนใน ก่อนนี้เคยเป็นที่ตั้งประติมากรรมขนาดยักษ์ของพระเจ้าคอนสแตนติน แต่มันได้ล่มสลายพังลงเรียบร้อยแล้ว ถ้าใครอยากจะพบซากของพระองค์ก็ยังไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์คาปิโตลิเนซึ่งมีชิ้นส่วนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และมีความสำคัญมากต่อวงการประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะรูปแบบงานประติมากรรมนั้นแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของศิลปะโรมันที่เริ่มเข้าสู่อีกยุคหนึ่งชัดเจน อย่างไรก็ตามเรื่องราวทางประติมากรรมนี้ขออุบไว้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะเล่าต่อตอนไปที่คาปิโตลิเนหลังจากนี้
ภาพอนุสาวรีย์พระเจ้าคอนสแตนติน ที่สร้างโดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค
ตอนนี้ก็ขอพาชม สถาปัยยกรรมที่เหลือแต่ซาก ชิ้นแรกได้แก่ วิหารโรมูลุส (Temple of Romulus) เป็นวิหารทรงกระบอกที่จักรพรรดิแมกเซนเชียสสร้างอุทิศให้พระโอรสโรมูลุส (Valerius Romulus) ซึ่งการสร้างวิหารอุทิศเช่นนี้เป็นกรรมวิธีอย่างหนึ่งของโรมันที่ทำให้พระโอรสกลายสถานภาพเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการบูชาโดยคนที่มาเยือนวิหารต่อมานั้นเอง และในเวลาต่อมามันก็ถูกดัดแปลงเป็นโบสถ์คริสต์ในปี ค.ศ. 309 มีชื่อใหม่ว่ามหาวิหาร Santi Cosma Damiano (ไม่ต้องจำก็ได้นะ ชื่ออ่านยากๆแบบนี้)
วิหารโรมูลุส (Temple of Romulus) ภาพโดย Karin Karintasut
แม้ว่าส่วนประกอบต่างๆของอาคารก่ออิฐหลังนี้ปรักพังไปหมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ยังคงเหลือทางเข้าที่มีเสา กรอบประตู และประตูโลหะขนาดใหญ่ซึ่งแข็งแกร่งทนทานตกทอดมาถึงพวกเราให้ได้ชม ช่างเป็นบุญดีแท้ มาถึงแล้วหลายคนก็โพสต์ท่าหน้าประตูเหล็กโบราณมีเสากรีกเป็นกรอบก็ดูสวยไม่หยอก
ต่อไปคือ วิหารอันโตนินัสและฟาอัสตินา นี่ก็เป็นวิหารแห่งความรักที่จักรพรรดิอันโต ( Anto) สร้างให้กับภรรยาคนงามชื่อฟาอัส (Faus) ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย จักรพรรดิก็เลยสร้างวิหารอุทิศให้เธอและเธอก็เลยได้กลายเป็นเทพีประจำวิหารไป ทำนองเดียวกับทัชมาฮาลและอีกหลายวิหารในโลกใบนี้
ภาพด้านข้าง มองเห็นเสาแบบกรีกยังคงมีอยู่ครบ : โดย Karin Karintasut
แต่ในเวลาต่อมาช้านานเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาถึง วิหารนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์ซานลอเรนโซแห่งมิแรนดาแทน ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาใหม่เป็นธรรมดา แต่ก็ยังมีความเป็นโรมันอยู่ โดยเฉพาะเสากรีก (ต้องเข้าใจนะว่าโรมันเอาเสากรีกมาใช้มากมายจนลืมไปว่าฉันลอกแบบเขามา เสากรีกก็เลยกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สถิตย์อยู่บนสถาปัตยกรรมโรมันหลายต่อหลายแห่ง) ซึ่งก็ยังคงมีครบ 6 ต้นตามแบบดั้งเดิมตรงด้านหน้าและแถมเสาด้านข้างอีก ตามรูปที่เห็น
วิหารแห่งเวสตา (temple of Vesta) ตอนนี้เหลือแค่ที่เห็น : ภาพโดย Karin Karintasut
เดินไปต่ออีกไม่กี่ก้าวก็จะเห็นวิหารแห่งเวสตา (temple of Vesta)
พอจินตนาการได้ไหม ว่าเมื่อก่อนนี้ เราจะได้เห็นแท่นบูชาทรงกลมที่เคยล้อมรอบด้วยเสากรีกแบบโครินเทียน 20 ตัน ที่ตั้งวิหารซึ่งได้รับการถวายเปลวเพลิงจุดไฟบูชาอยู่ตลอดกาล (ข้าพเจ้าขอตั้งชื่ออันไพเราะนี้ว่าเปลวไฟนิรันดร์แห่งโรม : Eternal Flame of Rome) ซึ่งผู้ที่คอยดูแลพระเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นเหล่าหญิงพรหมจรรย์ 6 คน ที่อุทิศตนเป็นข้ารับใช้เทพีแห่งเตาไฟที่ชื่อว่าเวสต้า (vesta) ที่ครองไฟอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องคุ้มครองให้จักรวรรดิ์โรมันอยู่รอดปลอดภัย และยิ่งยงสถาพร
หน้าที่หลักของหญิงพรหมจรรย์เหล่านี้ก็คือบูชาเทพีและดูแลไฟไม่ให้ดับแต่ให้โชติช่วงชัชวาลย์เพื่อให้อาณาจักรโรมันรุ่งโรจน์แบบเพลิงนั้น เทพีเอ๊ย นักบวชหญิงเหล่านี้มีสถานะสูงเพราะถือว่าถ้าใครมารังแกก็จะส่งผลต่อความสวัสดีของโรม จำได้ใช่มะว่าที่โคลอสเซียม แม่นางนักบวชจะได้ที่นั่งแบบวีไอพีด้วย
(ขอขอบพระคุณเรื่องข้อมูลของแม่นางทั้งหกจากคุณ Paul Phumm ที่ช่วยขยายความให้ทราบครับ)
ฟังก์ชันสำคัญของไฟในวิหารก็คือการเป็นเชื้อให้บรรดาแม่บ้านโรมันมาขอต่อไฟไปใช้ในครัวเรือนนั่นเอง อย่าลืมว่าสมัยก่อนเตาแก๊สก็ยังไม่มี จะจุดไฟทั้งทีก็เป็นเรื่องยาก แบ่งปันจากเทพีไปใช้นั่นแหล่ะง่ายดี
อ้อ เล่าเกร็ดเล็กๆให้ฟังซะหน่อยว่าในช่วงปีใหม่ของโรมันจะมีพิธีกรรมประการหนึ่ง คือการดับไฟในบ้านทั้งหมดแล้วจุดขึ้นใหม่โดยใช้ไฟจากวิหารนี้มาเป็นต้นเพลิง นับได้ว่าวิหารนี้มีความสำคัญที่ได้ให้แสงแรกแห่งปี เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เกิดใหม่ด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูลจากสาวพรหมจรรย์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมืองนี้มีชีวิตชีวามาใหม่จากเทพีผู้บริสุทธิ์องค์นี้นั่นเอง
ยืนชมวิหารไปก็แอบคิดอยู่นิดนึง ว่าสมัยก่อนจะมีสาวนางไหนโดนบังคับให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการลุยไฟแบบนางสีดาบ้างไหม ถ้าคิดจะทำละก้อน่าจะมาที่แห่งนี้เหมาะสุด เพราะไฟของที่นี่เป็นเพลิงบริสุทธิ์จากพระเทวีแห่งพรมจรรย์ น่าจะการันตีผลว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์
วิหารนี้แต่เดิมกล่าวกันว่าตรงช่วงหลังคาจะมีช่องปล่องควันจากไฟ แต่ตอนนี้ไม่มีซะแล้ว ก็เพราะว่าใน ศตวรรษที่ 16 มันก็ถูกทุบ ทุบ ทุบ เพื่อนำหินมาใช้ในวังของพระสันตปาปา และที่เราเห็นอยู่ตอนนี้เป็นผลจากการบูรณะโดยมุสโสลินี ในปี 1930 มานี่เอง
อ้าว งั้นมันก็ใหม่มากนะสิ แต่ช่างเถอะ ลืมเรื่องนี้ไปซะ เดี๋ยวจะเสียอารมณ์ฝันสลาย
มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็เหนื่อยกาย (แต่ไม่เหนื่อยใจ) ก็เลยขอพักไว้ก่อนแต่เพียงนี้ และเราก็ไปเจอกันในอีกตอนหน้า ซึ่งก็ยังคงอยู่ที่โรมันฟอรัมเหมือนเดิมไม่ได้ไปไหน ติดตามชมนะครับ
สำหรับลิงก์วันก่อนๆ ที่ได้เล่าไปแล้ว อยู่ในลิงก์ด้านล่างนะครับ
สารบัญเรื่องราว ที่ได้เล่าแล้วในวันก่อนๆ