เปิดเมนูอาหารเช้าบูสต์สมอง และ ‘วิตามิน-สมุนไพร’ กินมากไป ตับพังไว

เปิดเมนูอาหารเช้าบูสต์สมอง ใครละเลยเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมถึง 4 เท่า

มื้อเช้าสุดสำคัญ! ทานเมนู 4 ประเภทนี้ช่วยบูสต์สมองกระตุ้นระบบประสาท ใครเมินเสี่ยงสมองเสื่อมได้ถึง 4 เท่า ย้ำชัดๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหาร 3 ประเภทนี้ก่อนจะสายเกินไป

เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก Mahidol Channel ของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมักจะโพสต์ให้ความรู้ที่มีประโยชน์ในด้านต่างๆ
ไม่นานมานี้ก็ได้โพสต์ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเช้าที่ดีต่อสมอง โดยระบุว่า “อาหารเช้าบูสต์สมอง เพื่อพลังการทำงานตลอดวัน”
มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่หลายคนมองข้าม โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการขาดอาหารเช้าส่งผลเสียต่อสมองมากกว่าที่คิด? การศึกษาพบว่า ผู้ที่ไม่กินอาหารเช้ามีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมมากถึง 4 เท่า มาดูกันว่าอาหารเช้าที่ดีต่อสมองมีอะไรบ้าง และควรหลีกเลี่ยงเมนูใด

อาหารเช้าบูสต์สมอง
1.ข้าวต้มปลา
เหตุผล: ข้าวต้มปลาอุดมไปด้วยโอเมกา-3 จากปลากะพงซึ่งช่วยบำรุงสมอง และมีคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานเพียงพอ แต่มีโซเดียมต่ำกว่าการเลือกโจ๊กสำเร็จรูป
2.ไข่ต้ม
เหตุผล: ไข่ต้มเต็มไปด้วยโปรตีนและวิตามินบี เช่น B6, B9, B12 และโคลีน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้สมองตื่นตัวและทำงานได้เต็มที่
3.ข้าวโอ๊ตกับผลไม้
เหตุผล: ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารสูง ช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลในเลือด ลดฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ทำให้เครียด การเพิ่มผลไม้ เช่น เบอร์รีหรือแอปเปิล ช่วยเสริมวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ
4.สลัดไก่อบหรือไก่นึ่ง
เหตุผล: ไก่อบหรือไก่นึ่งให้โปรตีนโดยไม่เพิ่มไขมันอิ่มตัว สารพฤกษเคมีจากผักหลากสีช่วยปกป้องเซลล์สมอง

อาหารที่ควรเลี่ยง
1.โจ๊กซองและซีเรียลรสหวาน
โซเดียมในโจ๊กซองทำให้การไหลเวียนเลือดสู่สมองลดลง ขณะที่ซีเรียลหวานเพิ่มน้ำตาลในเลือดและฮอร์โมนคอร์ติซอล
2.ไส้กรอกและไข่ดาวทอด
ไขมันอิ่มตัวสูงทำให้เกิดการอักเสบของระบบประสาท ส่งผลเสียต่อสมอง
3.เครื่องดื่มหวานมัน เช่น กาแฟใส่นมข้นและโกโก้เย็น
น้ำตาลสูงในเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นฮอร์โมนความเครียดแทนที่จะบูสต์สมอง ควรเลือกกาแฟดำหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลแทน
น้ำเปล่า ตัวช่วยง่ายๆ ที่สมองต้องการ

สมองของเราประกอบด้วยน้ำกว่า 70% การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ ลดอาการเบลอในตอนเช้า
การเริ่มต้นเช้าด้วยอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้สมองมีพลังและพร้อมรับวันใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ.

... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4335274/



‘วิตามิน-สมุนไพร’ กินมากไป ตับพังไว

สภาพอากาศบ้านเมืองเรายามนี้แสนจะย่ำแย่ แถมยังมีเชื้อโรคต่างๆ แพร่ระบาด ทำให้ใครต่อใครหันไปกินอาหารเสริม เติมวิตามินและสมุนไพรกันมากขึ้น แต่หากรับประทานมากเกินไป อาจทำลายตับโดยไม่รู้ตัว

สภาพอากาศบ้านเมืองเรายามนี้แสนจะย่ำแย่ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 พุ่งเกินมาตรฐาน แถมยังมีเชื้อโรคต่างๆ แพร่ระบาดคุมคามสุขภาพ ทำให้ใครต่อใครหันไปกินอาหารเสริม เติมวิตามินและสมุนไพรมากขึ้น หวังเสริมภูมิคุ้นกันของร่างกาย แต่ที่จริงแล้ว การรับประทานวิตามินและสมุนไพรมากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจสร้างผลเสียหายต่อร่างกาย โดยเฉพาะการทำลายตับโดยไม่รู้ตัว

เกร็ดความรู้จาก “โรงพยาบาลสมิติเวช” บอกเล่าคำเตือนถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการรับประทานวิตามินและสมุนไพรมากเกินไป
กินวิตามินมากไป ทำลายสุขภาพ

“วิตามิน” มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ซึ่งแหล่งที่มาของวิตามินโดยทั่วไป คือ อาหาร และจากกระบวนการผลิตภายในร่างกาย ซึ่งหากร่างกายได้รับวิตามินบางชนิดไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย แต่ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปหรือใช้ผิดวิธี ก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน

วิตามิน เอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและสามารถสะสมไว้ในร่างกายเพื่อเก็บไว้ใช้งาน แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น หรือรับเป็นระยะเวลานานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผมร่วง ตับอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้

วิตามิน ซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะอึดอัดแน่นท้อง ท้องเสีย รวมถึงระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือถ้ากินติดต่อกันนานเกินไป ก็เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้

วิตามิน ดี เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองจากผิวหนังเมื่อสัมผัสกับแสงแดด มีประโยชน์ในการยับยั้งการเกิดโรคกระดูกพรุนและลดการแตกหักของกระดูก แต่ถ้าได้รับปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในไต

วิตามิน อี เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน ใช้ในการรักษาภาวะไขมันพอกตับ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติได้

สังกะสี ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและป้องกันเชื้อโรค และสามารถขับออกทางอุจจาระได้ ถ้าร่างกายดูดซึมได้ไม่หมด แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ

ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง ช่วยลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และเกิดการเป็นพิษต่อเซลล์ ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น ตับ หัวใจ ไต ปอด ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

สมุนไพรมีประโยชน์ แต่ก็อาจมีโทษ
แม้สมุนไพรเป็นพืช ซึ่งหลายคนคิดว่าไม่น่าจะมีพิษต่อร่างกาย แต่ในความเป็นจริง สมุนไพรอาจก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
@ สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการแพ้ (Allergic reactions) 
@ สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (Adverse effects)
@ สมุนไพรที่ทำให้ยาที่ใช้เป็นประจำเพิ่มหรือลดระดับได้ (Herb and drug reactions)
@ สมุนไพรที่อาจมีการปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรคในขั้นตอนการผลิต (Contamination)
@ สมุนไพรที่อาจมีการปลอมปนสารเคมีชนิดอื่นๆ (Adulterants) โดยส่วนใหญ่มักปลอมปนมากับสเตียรอยด์
@ สมุนไพรที่ทำให้เกิดการเป็นพิษ (Toxic reactions) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยมีมติให้ระงับการผลิตและเก็บยาสมุนไพรขี้เหล็กออกจากตลาด เนื่องจากในปี 2542 มีรายงานว่า ใบขี้เหล็กในรูปแบบยาอัดเม็ดทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า “คาวา” ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ ก็ทำให้เกิดการเป็นพิษต่อตับเช่นกัน

วิตามินและสมุนไพร ทำให้ตับพังได้อย่างไร
ตับ จัดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการสร้างกลูโคส กรดอะมิโน ไขมัน และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว รวมถึงกำจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย แม้ตับสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ถ้าทำงานหนักเกินไปหรือมีความผิดปกติเรื้อรังเกิดขึ้น ก็อาจส่งผลให้ตับถูกทำลาย และลุกลามเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของตับ ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การเผชิญกับสารเคมีหรือสารพิษเป็นประจำ ภาวะอ้วนลงพุง รวมถึงการกินยา วิตามิน หรือสมุนไพรที่มากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ซึ่งมีผลทำให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น และถ้าไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ทัน ก็อาจก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย และทำลายเนื้อตับได้.... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4334903/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่