ผมหลับตาลง
พร้อมกับถอนใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
แนบหูฟังเสียงเกลียวคลื่น
กระทบซบเซาเคล้าลมทะเล
ก่อนที่จะโน้มลงหยิบหินก้อนหนึ่ง
ขึ้นมากำไว้ในมือ
และถืออีกครึ่งผูกถ่วงกลางดวงใจ
ผมมีคำถามมากมาย
ผุดขึ้นกลางทาง
ระหว่างเดินเรียบชายฝัง
ผมเหยียบย่ำผืนทรายคล้ายคนหลงทาง
ผมเดินวนไปรอบ ๆ ขณะตั้งคำถาม
ถึงการมีอยู่ของน้ำตา
ผมตั้งคำถาม
กับจิตวิญญาณแห่งท้องทะเล
และหัวใจผมกู่ร้อง
ขณะตอบคำถามนั้น
ผมไม่มีหยดน้ำตา
ในขณะที่ร้องไห้
มันเป็นเพราะเหตุใด
ผมจึงไร้หยดน้ำตา
สุดท้าย
ผมได้คำตอบจากคำถามนั้น
ผมทบทวนมันอีกครั้ง
ก่อนจะตอบอย่างแข็งขัน
เต็มเสียงไม่ยินดี
คงเป็นเพราะผม
ถูกสร้างจากหยดน้ำตาล่ะมั้ง
ผมจึงไม่มีน้ำตา
และเพราะผมคือหยดน้ำตาล่ะมั้ง
ผมจึงไม่จำเป็นต้องร้องไห้
อือ
คงเป็นเพราะ
การมาของคำตอบนั้นล่ะมั้ง
ผมถึงนึกเสียใจ
ผมไม่อยากไร้ความเป็นมนุษย์
ถึงแม้ผมจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม
ผมไม่อยากไร้ความสุข
ผมไม่อยากไร้ความหวัง
และสุดท้ายผมเริ่มเบื่อหน่าย
บ่ายหน้าหนีให้กับคำพูดเมื่อกี้
ก่อนจะหลับตาลง
และเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ผมเหม่อมองท้องฟ้าสีดำสนิท
เดินไล่เรียบเตะคลื่นเคียงชายฝั่ง
ผมหยุดเดินลงอีกครั้ง
กับคำถามที่เกิดขึ้นกลางใจ
แวมไพร์จะตายลงอีกกี่ครั้ง
หากไม่เคยจะถูกรัก
แวมไพร์จะตายลงอีกกี่ครั้ง
หากถูกควักดวงใจเพราะความรัก
ผมส่ายหน้าหนี
สะบัดไล่สีแห่งความฟุ้งซ่าน
จากความรัก
ก่อนจะกลับไปทำสิ่งที่ค้างไว้
สองเท้าผมเปลือยเปล่า
ผิวปลายเท้าสัมผัสตวัดกวาดทราย
วาดลวดลายคลายความเหงา
ผมยังไม่หยุด
กระโดดโลดเต้นไปมา
บนพื้นหาดทราย ขาวสะอาด
ผมกระโดดโลดเต้นไปมา
ด้วยความสนุกสนาน
ผมกระโดดโลดเต้นไปมา
เพื่อข่มความเหงา
สาเหตุอาจเป็นเพราะ
ผมมักจะขำคิกคักเพียงลำพัง
ในขณะเดียวกัน
กับการร้องไห้โดยไร้หยดน้ำตา
แวมไพร์ไม่ร้องไห้หรอก
ผมท่องคำนี้ไว้ในใจ
และผมก็จดบันทึก
ถึงความไร้หัวใจที่ได้รับมา
ผมจรดปลายปากกา
ฝังลงที่คำสุดท้าย
ด้วยหัวใจซึ่งราบเรียบ
ก่อนจะพบกับความจริงว่า
ต่อให้ผมเขียนบทความกี่สิบบรรทัด
ก็ไม่อาจเทียบเคียงอาหารรสทิพย์
ถึงแม้แตะหัวใจผู้คนพันโลกหล้า
รวมทั้งตัวผมเองด้วย
เหตุผลคงเป็นเพราะ
หัวใจผมกลวงโบ๋
ซ้ำแห้งเก่า
ราวเศษกระดาษที่แห้งกรอบ
หรือเพราะผมเป็นสิ่งเร้นลับ
จึงไม่อาจถูกค้นพบ
และเพราะผมน้อยคนรัก
จึงจบลงเช่นนี้แล
ตัวตนของผม
บทความของผม
จากหนังสือเล่มหนาปกเก่าเกรอะกรัง
หีบเหล็กใบเก่าทอดตัวยาว
คล้ายเตียงนอน
เป็นโลงศพที่ไร้ญาติ
ของผู้ไร้ชีวี
ของผู้ไม่มีลมหายใจ
ของผู้อยู่อาศัย
ไร้หทัยคือตัวเรา
และไม่ว่าจะอยู่หรือตาย
ชีวิตก็ก้าวเดินได้ลำบากยากยิ่ง
หากผมคว้าแสงแห่งดวงรวีไว้
ก็กลัวจะแพ้ภัยต่อแสงนั้น
หากผมหลบลี้ไปย่ำค่ำ
ก็กลัวใครใจร้ายกับจันทรา
ผมรู้
มันยากที่จะอธิบาย
ว่าหัวใจดวงนี้เต้นอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
เต้นอยู่โดยไร้การถูกรับฟัง
มันไม่มีค่าเมื่ออยู่คู่กันกับความอมตะ
ผมอยู่โดยไม่รู้คืนวัน
ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่
หรือตัวตนของผม
จะถูกลบหายไปเมื่อตอนไหน
ดวงอาทิตย์และจันทรา
จะอยากถูกผมเฝ้ามองไปเป็นพัน ๆ ปีรึไม่
ผมยังคงค้างคาใจต่อคำถามนั้น
ครั้นหยาดฝนโปรยลงมา
ผมยังหวังว่า
ดวงตาสีทับทิม
ซีดเก่าเฉา
จะเลิกซ่อนความนัยอันเจ็บช้ำ
และรำพันแสนความโศก
ทิ้งความหวัง
ให้ช่อบุปผา งาม งอก สด
กลบเศร้าหมอง
เมื่อสิ้นเสียงอธิษฐาน
ผมเห็นฝูงดาวจับกลุ่มคุยกัน
ถึงชายอีกคนที่เดินเข้ามา
เราสบตากันแต่กลับไร้เอื้อนเอ่ย
เขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าผมเป็นตัวอะไร
หรือเป็นใครที่นึกสงสัยในตัวเขา
เรียวนิ้วยาวจับคีบแท่งขาวสีเทาขุ่น
ผมรู้สึกฉุนกึก กับกลิ่นแปลก ๆ นั่น
ขอโทษนะครับ
คุยกันหน่อยได้ไหม ?
เขาถามผม
ที่เบ้หน้าให้กับควันเหม็นสีเทาขมุกขมัว
ไม่ล่ะ
ผมตอบโดยไม่รีรอ
ส่วนเขาเองก็เหมือนไม่ได้ฟัง
อยากฟังเรื่องรักของผมไหม ?
เขายังคงถาม
แม้ว่าผมจะไม่สนใจ
หากคุณพบเจอคนแปลกหน้า
เช่นผมตอนนี้
คงนึกสงสัยทั้งประหลาดใจ
กับการกระทำไร้คาดเดา
ผมรู้
มนุษย์ชอบเล่าเรื่องราว
หากเขากำลังป่วยทางใจ
แต่ผมกลับไม่อยากฟัง
และผมไม่ต้องการคาดเดาเรื่องราวใด ๆ
จากชายแปลกหน้า
บนหาดทรายสัญจร
เราคงมาพบกันเพราะระริ้วคลื่น
กลุ่มทรายขาวลออ
ดวงดาวถักทอแสงส่อง
แต่ผมกลับไม่อยากรับฟัง
ความทุกข์ใจสีเทาประกายทอง
ทำไมหรือ ?
เพราะมันคลับคล้ายคลับคลา
ว่าไม่ต่างผมส่องกระจกดูเงาตัวตน
และหากเขาเล่ากล่าว
คงไม่ต่างฉากผ้าม่านผืนบาง
ปลิวพลิ้วเล่นลมโศกของเพลงรัก
กลิ่นซากศพสีซีดเซียว
ตัวตนไม่ได้สิ้นสูญ
แต่รสสัมผัสของการมีอยู่กลับขมฝาด
เพราะรอยรักทำใจร้าว
ซ้ำวันวานอันปริ บิ่น
ที่ไม่เคยถูกประกอบให้สมบูรณ์
ผมไม่อยากฟังกลิ่นซากศพเศษซากรัก
ไม่ล่ะ
ผมตอบปัดเขาหนีรำคาญ
พร้อมกับเดินหลบเบี่ยงไปอีกทาง
ก่อนจะเห็นว่าเขาหยิบแท่งสีดำหม่น
อันใหม่ออกมาจุดซ้ำ
ผมเห็นแท่งหลากสีเหม็นฉุน
ถูกจุดอยู่ทุกครั้งในเวลาไม่นานนัก
เขาเป็นพวกเสพเศร้าจัด
น่าเวทนาซะจริง
อันที่จริงผมมีรักที่ยังลืมไม่ได้
จู่ ๆ เขาก็เกริ่นนำกับผม
ถึงจะไม่อยากฟังก็คงช่วยไม่ได้
ผมคงต้องฟังจริง ๆ
หากเขาต้องการมัน
ผมแสร้งยืนทอดมองแสงดาว
ที่ปลายริ้วคลื่น
แสงจันทร์กระทบเข้ากันกับผืนผิวน้ำ
จนเกิดประกายคล้ายดอกไม้ไฟ
ผมอยากหลุดหลงใหลจากภวังค์
เพื่อที่จะฟังเสียงเล่าของชายหนุ่มด้านข้าง
ทว่าผมต้องสะดุ้งตื่น
เมื่อรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นบริเวณแขนขวา
เขาแกล้งสะกิดปลายก้นกรองของบุหรี่
จนผุยผงสะเก็ดไฟลอยมาโดนตัวผม
ผมส่งสายตาไม่พอใจ
มองเขาด้วยความหงุดหงิด
แต่เขาไม่ไหวติ่ง
กับกิริยาของผมสักเท่าไหร่
แถมยังสูบบุหรี่พ่นควันผุย
ผมรู้ได้ในตอนที่เขาเอ่ยแนะนำ
ว่าสิ่งนี้คือบุหรี่
และใช่
ผมคิดไว้ไม่มีผิด
มันคือสิ่งเสพติดที่ถูกใช้เพราะความเศร้า
น่าสมเพชซะเหลือเกิน
หากผมจะต้องลองใช้มันเข้าสักวัน
ทั้ง ๆ ที่เป็นแวมไพร์ไร้ความรู้สึกอย่างนี้
จะเล่าก็รีบ ๆ เล่า
ผมเร่งเร้าเขาที่อิดออดไม่ยอมกล่าว
จะเล่าแล้ว คุณรีบจัง
เขาหันมาว่าผมที่ยืนข้างกัน
ผมเคยมีรักที่คล้ายสีเทาเคล้าน้ำทะเล
ผมเคยมีรักที่คล้ายหาดทรายขาว
ผมเคยมีรักที่คล้ายสีน้ำเงิน
ผมเคยมีรักที่คล้ายความไม่สมหวัง
ผมเคยรักคนที่เป็นดั่งสีเทา
เขากล่าวด้วยแววตาที่อิดโรย
และดูโหยหาย
ผมฟังเขาเล่าไปโดยไม่ถาม
ถึงการพรรณนาของเขามันจะน่ารำคาญ
ผมก็ยอมรับฟัง
ถ้าหากจะเล่าถึงรักครั้งนั้น
ผมว่ามันช่างเรียบเฉย
ไม่หวือหวา ไร้การโต้ตอบ
เพราะรักในนิยามของเราไม่ต่างกันนัก
จึงไม่น่าตื่นเต้นเท่ารักของใคร ๆ
ทั้งผม ทั้งเขา เราเทียบรักกับสี
สีอะไร ?
ผมถาม
สีน้ำเงิน
กับสีเทา
เขาหันมาตอบ
ทำไม ?
ผมถาม
เพราะสำหรับผม
สีน้ำเงินเป็นเหมือนคลื่นน้ำทะเล
และมหาสมุทร
ความลึกของมันยากหยั่งถึง
เราไม่มีทางรู้เลยว่า
จะรักใครสักคนได้ลึกล้ำแค่ไหน
หรือจะเจ็บปวดเพราะใคร
เหมือนดำดิ่งลงไปใต้น่านน้ำนั่น
เป็นความรู้สึกที่เข้มข้นทั้งตอนพบและจาก
สีน้ำเงินเป็นแบบนั้น
แล้วสีเทาล่ะ ?
ผมถาม
สีของเขา เจ้าของความรัก
นายคนระบมรักตอบ
ก่อนจะระบายสีน้ำเงินเทาของห้วงรักต่อ
เขาบอกกับผมว่า
ความรักเปรียบเสมือนกับสีเทา
เพราะสีเทานั้นมีทั้งขาวและดำ
เป็นส่วนผสมอยู่ภายใน
เหมือนกับความสัมพันธ์
ที่มีทั้งสุขและทุกข์
แบ่งเป็นซ้ายขวาได้อย่างชัดเจน
ดั่งตัวเขาเองที่เป็นสีเทา
และตัวผมเองก็เป็นสีเทา
ในครั้งนั้นคนสีเทา ๆ สองคน
กำลังนั่งดูคลื่นน้ำทะเลสาดซัด
เข้าหาหาดทราย
ริ้วฟองคลื่น
ไม่เคยจะแตะโดนพื้นนุ่มละเอียดอุ่น
เกินครึ่งหนึ่งถึงนาที
และละอองครามใช้เวลาเพียงไม่นาน
ด้วยเศษเสี้ยววินาทีในการเคลื่อนตัวจากไป
เฉกเช่นความสัมพันธ์ของสองเรา
ที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน
ผมหลงรักคลื่นน้ำทะเลสีน้ำเงิน
พร้อมกับเขาที่เป็นสีเทา
เขาเล่าบทบรรยาย
โดยที่ผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า
รักเขามันน้ำเน่าเกินจะทน
จบแล้วใช่ไหม
ผมถามย้ำซ้ำคว้าบุหรี่ในมือ
ที่กำลังเตรียมจุดใหม่อีกครั้ง
คุณอาจจะตายกลายเป็นอาหารให้ผม
ณ ที่นี้ หากยังสูบหรี่ไร้ประโยชน์มวนนี้
ผมพูดกับเขาทั้งเขวี้ยงทิ้งลงน้ำ
รักมันเศร้า
เขาว่า
ผมก็เศร้า
ทำไม ?
เขาถาม
เพราะผมรักไม่ได้และไม่เคยจะถูกรัก
เขาเงียบลงแล้วมองหน้าผม
เหมือนคนต้องการคำตอบ
แต่ผมไม่ได้ตอบ
และแกล้งขอแบ่งเลือดเขากินนิดหน่อย
เขาตกใจจนตาโต
ตอนผมโชว์เขี้ยวแยกยิง
ดูสิ มนุษย์พวกนี้เหมือนกันหมด
ผมหยุดการกระทำขี้แกล้งลง
ก่อนจะบอกเขาว่าไม่เป็นไร
ผมไม่ต้องดื่มเลือดหรอก
เพราะไม่ว่าอย่างไร
สุดท้ายผมก็ต้องตายอยู่ดี
ผมแสร้งพูดหยอกล้อสีหน้าเศร้า
จะตายจริง ๆ เหรอ ?
เขาถามผมเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
พูดเล่นน่ะ
ผมยิ้ม
ผมอยู่มานานโข
ไม่ตายง่าย ๆ หรอก
เขายังคงส่งสายตาไร้เชื่อถือ
เจือแววสงสัย
จะถามอะไรไหม
ผมว่า
หน้าผมดูเหมือนคนขี้สงสัยเหรอ ?
เขาต่อล้อ
เออ
ผมต่อเถียง
คุณเคยมีรักไหม ?
ให้ตายสิคิดว่าเขาจะไม่ถามนะ
แต่ก็ไม่
เขาถามออกมาอย่างไม่ลังเล
เคย
ผมตอบ
เล่าสิ
เขาบอก
ไม่ล่ะ ไม่อยากนึกถึง
ผมตอบ
คุณจะกลายเป็นคนขี้โกงนะ
ถ้าไม่ยอมเล่า
ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะเล่า ?
ผมเลิกคิ้วกวนประสาท
เขาไม่ยอม เลยเอาแต่เซ้าซี้ผม
มนุษย์นี่มันงี่เง่าจริง ๆ
ผมเหลืออดจะทนกับคนตรงหน้า
เล่าแล้วจะหยุดเซ้าซี้ไหม ?
ผมถาม
แน่นอนสิ
ก็ผมอยากฟัง
รักผมในคราวนั้น
แพ้ราบคาบ
และไร้แววว่าจะชนะ
แล้วชนะไหม ?
เขาถาม
ไม่
ทำไมล่ะ ?
เพราะผมรักเขาด้วยดวงใจ
ที่เฝ้าปรารถนา
แต่ทว่าผมกลับไม่สมหวัง
ผมไม่สามารถหลีกหนี
ให้พ้นจากความทุกข์ตรม
ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พรมของความรักได้
อุปสรรคมันเยอะเกินไป
ผมจัดการไม่ไหว
อุปสรรคอะไร
แวมไพร์มีอุปสรรคด้วยเหรอ ?
โถ
มนุษย์หน้าโง่
ผมล่ะหน่ายใจ
เวลาไง
ยังไม่รวมปัจจัยยิบย่อย
ผมตอบ
ของมนุษย์ก็เหมือนกัน
เขาว่า
ไม่ล่ะ
ผมคิดว่าสำหรับคุณเป็นบุหรี่มากกว่านะ
เขาขำคิกคักตอนได้ฟัง
ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไป
รักมันขมจัง
ขมเหมือนบุหรี่ที่ผมสูบเลย
ผมรับรู้ได้ว่าเขาเศร้าจากภายใน
ด้วยแววตาจางน้ำใส
ผมรู้
บางครั้งรักเป็นรสขม
ไม่ใช่สีชมพูแกมส้มอย่างลูกอมรสหวาน
ผมเคยได้ยินมันจากใครสักคน
ที่ร่วงหล่นหายไปจากความทรงจำ
คราวยังดื่มด่ำรักข้างกันจนเมามาย
ผมกับเขา
เราซดรักเข้ากระแสเลือด
จนมันกลายเป็นกระษัย
สุดท้ายเริ่มทุรนทุราย
เจ้าพิษรักทำเรากระส่าย
ร่างกายเราหน่ายหน้าเจ้าน้ำรสขม
ผมจึงสัญญาผ่านสายลม
และดวงใจที่ขาวโพลน
ไม่ขอมีรักรสขมสีดำสดตลอดกาล
เมื่อผมกล่าวจบ
เขาก็เริ่มพูดอะไรบางอย่าง
ผมอ้อนวอนขอให้มันไม่น้ำเน่า
รู้อะไรไหม
ตอนนี้ผมคิดว่าบางทีรักก็ไม่ใช่สีเทา
หรือสีน้ำเงิน
แต่ผมคิดว่า
รักเป็นนิโคติน
รักเป็นเฮโรอีน
เป็นสิ่งเหนือจินตนาการ
เป็นของต้องห้าม
เกินกว่าคนจะรับไหว
หากต้องลุ่มหลงและสูญเสียไป
เพราะคนเราจะกลายเป็นบ้า
เวลามีรัก
เขาว่าจบก็ถอนหายใจ
คล้ายคนหมดอาลัยตายอยาก
ราวกับว่า
เขาขว้างเศษใจทิ้งไปกลางทะเลรัก
เขาเดินคอตกจากผมไป
เหมือนคนไม่เคยเจอกัน
ผมจึงทำได้เพียงเงยหน้ายิ้มรับ
กับพระจันทร์ที่หลบหมู่ดาวเข้ากลีบเมฆ
ณ ที่ปลายมวนท้องทะเลและสีเทา
พร้อมกับถอนใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
แนบหูฟังเสียงเกลียวคลื่น
กระทบซบเซาเคล้าลมทะเล
ก่อนที่จะโน้มลงหยิบหินก้อนหนึ่ง
ขึ้นมากำไว้ในมือ
และถืออีกครึ่งผูกถ่วงกลางดวงใจ
ผมมีคำถามมากมาย
ผุดขึ้นกลางทาง
ระหว่างเดินเรียบชายฝัง
ผมเหยียบย่ำผืนทรายคล้ายคนหลงทาง
ผมเดินวนไปรอบ ๆ ขณะตั้งคำถาม
ถึงการมีอยู่ของน้ำตา
ผมตั้งคำถาม
กับจิตวิญญาณแห่งท้องทะเล
และหัวใจผมกู่ร้อง
ขณะตอบคำถามนั้น
ผมไม่มีหยดน้ำตา
ในขณะที่ร้องไห้
มันเป็นเพราะเหตุใด
ผมจึงไร้หยดน้ำตา
สุดท้าย
ผมได้คำตอบจากคำถามนั้น
ผมทบทวนมันอีกครั้ง
ก่อนจะตอบอย่างแข็งขัน
เต็มเสียงไม่ยินดี
คงเป็นเพราะผม
ถูกสร้างจากหยดน้ำตาล่ะมั้ง
ผมจึงไม่มีน้ำตา
และเพราะผมคือหยดน้ำตาล่ะมั้ง
ผมจึงไม่จำเป็นต้องร้องไห้
อือ
คงเป็นเพราะ
การมาของคำตอบนั้นล่ะมั้ง
ผมถึงนึกเสียใจ
ผมไม่อยากไร้ความเป็นมนุษย์
ถึงแม้ผมจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม
ผมไม่อยากไร้ความสุข
ผมไม่อยากไร้ความหวัง
และสุดท้ายผมเริ่มเบื่อหน่าย
บ่ายหน้าหนีให้กับคำพูดเมื่อกี้
ก่อนจะหลับตาลง
และเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ผมเหม่อมองท้องฟ้าสีดำสนิท
เดินไล่เรียบเตะคลื่นเคียงชายฝั่ง
ผมหยุดเดินลงอีกครั้ง
กับคำถามที่เกิดขึ้นกลางใจ
แวมไพร์จะตายลงอีกกี่ครั้ง
หากไม่เคยจะถูกรัก
แวมไพร์จะตายลงอีกกี่ครั้ง
หากถูกควักดวงใจเพราะความรัก
ผมส่ายหน้าหนี
สะบัดไล่สีแห่งความฟุ้งซ่าน
จากความรัก
ก่อนจะกลับไปทำสิ่งที่ค้างไว้
สองเท้าผมเปลือยเปล่า
ผิวปลายเท้าสัมผัสตวัดกวาดทราย
วาดลวดลายคลายความเหงา
ผมยังไม่หยุด
กระโดดโลดเต้นไปมา
บนพื้นหาดทราย ขาวสะอาด
ผมกระโดดโลดเต้นไปมา
ด้วยความสนุกสนาน
ผมกระโดดโลดเต้นไปมา
เพื่อข่มความเหงา
สาเหตุอาจเป็นเพราะ
ผมมักจะขำคิกคักเพียงลำพัง
ในขณะเดียวกัน
กับการร้องไห้โดยไร้หยดน้ำตา
แวมไพร์ไม่ร้องไห้หรอก
ผมท่องคำนี้ไว้ในใจ
และผมก็จดบันทึก
ถึงความไร้หัวใจที่ได้รับมา
ผมจรดปลายปากกา
ฝังลงที่คำสุดท้าย
ด้วยหัวใจซึ่งราบเรียบ
ก่อนจะพบกับความจริงว่า
ต่อให้ผมเขียนบทความกี่สิบบรรทัด
ก็ไม่อาจเทียบเคียงอาหารรสทิพย์
ถึงแม้แตะหัวใจผู้คนพันโลกหล้า
รวมทั้งตัวผมเองด้วย
เหตุผลคงเป็นเพราะ
หัวใจผมกลวงโบ๋
ซ้ำแห้งเก่า
ราวเศษกระดาษที่แห้งกรอบ
หรือเพราะผมเป็นสิ่งเร้นลับ
จึงไม่อาจถูกค้นพบ
และเพราะผมน้อยคนรัก
จึงจบลงเช่นนี้แล
ตัวตนของผม
บทความของผม
จากหนังสือเล่มหนาปกเก่าเกรอะกรัง
หีบเหล็กใบเก่าทอดตัวยาว
คล้ายเตียงนอน
เป็นโลงศพที่ไร้ญาติ
ของผู้ไร้ชีวี
ของผู้ไม่มีลมหายใจ
ของผู้อยู่อาศัย
ไร้หทัยคือตัวเรา
และไม่ว่าจะอยู่หรือตาย
ชีวิตก็ก้าวเดินได้ลำบากยากยิ่ง
หากผมคว้าแสงแห่งดวงรวีไว้
ก็กลัวจะแพ้ภัยต่อแสงนั้น
หากผมหลบลี้ไปย่ำค่ำ
ก็กลัวใครใจร้ายกับจันทรา
ผมรู้
มันยากที่จะอธิบาย
ว่าหัวใจดวงนี้เต้นอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
เต้นอยู่โดยไร้การถูกรับฟัง
มันไม่มีค่าเมื่ออยู่คู่กันกับความอมตะ
ผมอยู่โดยไม่รู้คืนวัน
ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่
หรือตัวตนของผม
จะถูกลบหายไปเมื่อตอนไหน
ดวงอาทิตย์และจันทรา
จะอยากถูกผมเฝ้ามองไปเป็นพัน ๆ ปีรึไม่
ผมยังคงค้างคาใจต่อคำถามนั้น
ครั้นหยาดฝนโปรยลงมา
ผมยังหวังว่า
ดวงตาสีทับทิม
ซีดเก่าเฉา
จะเลิกซ่อนความนัยอันเจ็บช้ำ
และรำพันแสนความโศก
ทิ้งความหวัง
ให้ช่อบุปผา งาม งอก สด
กลบเศร้าหมอง
เมื่อสิ้นเสียงอธิษฐาน
ผมเห็นฝูงดาวจับกลุ่มคุยกัน
ถึงชายอีกคนที่เดินเข้ามา
เราสบตากันแต่กลับไร้เอื้อนเอ่ย
เขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าผมเป็นตัวอะไร
หรือเป็นใครที่นึกสงสัยในตัวเขา
เรียวนิ้วยาวจับคีบแท่งขาวสีเทาขุ่น
ผมรู้สึกฉุนกึก กับกลิ่นแปลก ๆ นั่น
ขอโทษนะครับ
คุยกันหน่อยได้ไหม ?
เขาถามผม
ที่เบ้หน้าให้กับควันเหม็นสีเทาขมุกขมัว
ไม่ล่ะ
ผมตอบโดยไม่รีรอ
ส่วนเขาเองก็เหมือนไม่ได้ฟัง
อยากฟังเรื่องรักของผมไหม ?
เขายังคงถาม
แม้ว่าผมจะไม่สนใจ
หากคุณพบเจอคนแปลกหน้า
เช่นผมตอนนี้
คงนึกสงสัยทั้งประหลาดใจ
กับการกระทำไร้คาดเดา
ผมรู้
มนุษย์ชอบเล่าเรื่องราว
หากเขากำลังป่วยทางใจ
แต่ผมกลับไม่อยากฟัง
และผมไม่ต้องการคาดเดาเรื่องราวใด ๆ
จากชายแปลกหน้า
บนหาดทรายสัญจร
เราคงมาพบกันเพราะระริ้วคลื่น
กลุ่มทรายขาวลออ
ดวงดาวถักทอแสงส่อง
แต่ผมกลับไม่อยากรับฟัง
ความทุกข์ใจสีเทาประกายทอง
ทำไมหรือ ?
เพราะมันคลับคล้ายคลับคลา
ว่าไม่ต่างผมส่องกระจกดูเงาตัวตน
และหากเขาเล่ากล่าว
คงไม่ต่างฉากผ้าม่านผืนบาง
ปลิวพลิ้วเล่นลมโศกของเพลงรัก
กลิ่นซากศพสีซีดเซียว
ตัวตนไม่ได้สิ้นสูญ
แต่รสสัมผัสของการมีอยู่กลับขมฝาด
เพราะรอยรักทำใจร้าว
ซ้ำวันวานอันปริ บิ่น
ที่ไม่เคยถูกประกอบให้สมบูรณ์
ผมไม่อยากฟังกลิ่นซากศพเศษซากรัก
ไม่ล่ะ
ผมตอบปัดเขาหนีรำคาญ
พร้อมกับเดินหลบเบี่ยงไปอีกทาง
ก่อนจะเห็นว่าเขาหยิบแท่งสีดำหม่น
อันใหม่ออกมาจุดซ้ำ
ผมเห็นแท่งหลากสีเหม็นฉุน
ถูกจุดอยู่ทุกครั้งในเวลาไม่นานนัก
เขาเป็นพวกเสพเศร้าจัด
น่าเวทนาซะจริง
อันที่จริงผมมีรักที่ยังลืมไม่ได้
จู่ ๆ เขาก็เกริ่นนำกับผม
ถึงจะไม่อยากฟังก็คงช่วยไม่ได้
ผมคงต้องฟังจริง ๆ
หากเขาต้องการมัน
ผมแสร้งยืนทอดมองแสงดาว
ที่ปลายริ้วคลื่น
แสงจันทร์กระทบเข้ากันกับผืนผิวน้ำ
จนเกิดประกายคล้ายดอกไม้ไฟ
ผมอยากหลุดหลงใหลจากภวังค์
เพื่อที่จะฟังเสียงเล่าของชายหนุ่มด้านข้าง
ทว่าผมต้องสะดุ้งตื่น
เมื่อรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นบริเวณแขนขวา
เขาแกล้งสะกิดปลายก้นกรองของบุหรี่
จนผุยผงสะเก็ดไฟลอยมาโดนตัวผม
ผมส่งสายตาไม่พอใจ
มองเขาด้วยความหงุดหงิด
แต่เขาไม่ไหวติ่ง
กับกิริยาของผมสักเท่าไหร่
แถมยังสูบบุหรี่พ่นควันผุย
ผมรู้ได้ในตอนที่เขาเอ่ยแนะนำ
ว่าสิ่งนี้คือบุหรี่
และใช่
ผมคิดไว้ไม่มีผิด
มันคือสิ่งเสพติดที่ถูกใช้เพราะความเศร้า
น่าสมเพชซะเหลือเกิน
หากผมจะต้องลองใช้มันเข้าสักวัน
ทั้ง ๆ ที่เป็นแวมไพร์ไร้ความรู้สึกอย่างนี้
จะเล่าก็รีบ ๆ เล่า
ผมเร่งเร้าเขาที่อิดออดไม่ยอมกล่าว
จะเล่าแล้ว คุณรีบจัง
เขาหันมาว่าผมที่ยืนข้างกัน
ผมเคยมีรักที่คล้ายสีเทาเคล้าน้ำทะเล
ผมเคยมีรักที่คล้ายหาดทรายขาว
ผมเคยมีรักที่คล้ายสีน้ำเงิน
ผมเคยมีรักที่คล้ายความไม่สมหวัง
ผมเคยรักคนที่เป็นดั่งสีเทา
เขากล่าวด้วยแววตาที่อิดโรย
และดูโหยหาย
ผมฟังเขาเล่าไปโดยไม่ถาม
ถึงการพรรณนาของเขามันจะน่ารำคาญ
ผมก็ยอมรับฟัง
ถ้าหากจะเล่าถึงรักครั้งนั้น
ผมว่ามันช่างเรียบเฉย
ไม่หวือหวา ไร้การโต้ตอบ
เพราะรักในนิยามของเราไม่ต่างกันนัก
จึงไม่น่าตื่นเต้นเท่ารักของใคร ๆ
ทั้งผม ทั้งเขา เราเทียบรักกับสี
สีอะไร ?
ผมถาม
สีน้ำเงิน
กับสีเทา
เขาหันมาตอบ
ทำไม ?
ผมถาม
เพราะสำหรับผม
สีน้ำเงินเป็นเหมือนคลื่นน้ำทะเล
และมหาสมุทร
ความลึกของมันยากหยั่งถึง
เราไม่มีทางรู้เลยว่า
จะรักใครสักคนได้ลึกล้ำแค่ไหน
หรือจะเจ็บปวดเพราะใคร
เหมือนดำดิ่งลงไปใต้น่านน้ำนั่น
เป็นความรู้สึกที่เข้มข้นทั้งตอนพบและจาก
สีน้ำเงินเป็นแบบนั้น
แล้วสีเทาล่ะ ?
ผมถาม
สีของเขา เจ้าของความรัก
นายคนระบมรักตอบ
ก่อนจะระบายสีน้ำเงินเทาของห้วงรักต่อ
เขาบอกกับผมว่า
ความรักเปรียบเสมือนกับสีเทา
เพราะสีเทานั้นมีทั้งขาวและดำ
เป็นส่วนผสมอยู่ภายใน
เหมือนกับความสัมพันธ์
ที่มีทั้งสุขและทุกข์
แบ่งเป็นซ้ายขวาได้อย่างชัดเจน
ดั่งตัวเขาเองที่เป็นสีเทา
และตัวผมเองก็เป็นสีเทา
ในครั้งนั้นคนสีเทา ๆ สองคน
กำลังนั่งดูคลื่นน้ำทะเลสาดซัด
เข้าหาหาดทราย
ริ้วฟองคลื่น
ไม่เคยจะแตะโดนพื้นนุ่มละเอียดอุ่น
เกินครึ่งหนึ่งถึงนาที
และละอองครามใช้เวลาเพียงไม่นาน
ด้วยเศษเสี้ยววินาทีในการเคลื่อนตัวจากไป
เฉกเช่นความสัมพันธ์ของสองเรา
ที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน
ผมหลงรักคลื่นน้ำทะเลสีน้ำเงิน
พร้อมกับเขาที่เป็นสีเทา
เขาเล่าบทบรรยาย
โดยที่ผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า
รักเขามันน้ำเน่าเกินจะทน
จบแล้วใช่ไหม
ผมถามย้ำซ้ำคว้าบุหรี่ในมือ
ที่กำลังเตรียมจุดใหม่อีกครั้ง
คุณอาจจะตายกลายเป็นอาหารให้ผม
ณ ที่นี้ หากยังสูบหรี่ไร้ประโยชน์มวนนี้
ผมพูดกับเขาทั้งเขวี้ยงทิ้งลงน้ำ
รักมันเศร้า
เขาว่า
ผมก็เศร้า
ทำไม ?
เขาถาม
เพราะผมรักไม่ได้และไม่เคยจะถูกรัก
เขาเงียบลงแล้วมองหน้าผม
เหมือนคนต้องการคำตอบ
แต่ผมไม่ได้ตอบ
และแกล้งขอแบ่งเลือดเขากินนิดหน่อย
เขาตกใจจนตาโต
ตอนผมโชว์เขี้ยวแยกยิง
ดูสิ มนุษย์พวกนี้เหมือนกันหมด
ผมหยุดการกระทำขี้แกล้งลง
ก่อนจะบอกเขาว่าไม่เป็นไร
ผมไม่ต้องดื่มเลือดหรอก
เพราะไม่ว่าอย่างไร
สุดท้ายผมก็ต้องตายอยู่ดี
ผมแสร้งพูดหยอกล้อสีหน้าเศร้า
จะตายจริง ๆ เหรอ ?
เขาถามผมเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
พูดเล่นน่ะ
ผมยิ้ม
ผมอยู่มานานโข
ไม่ตายง่าย ๆ หรอก
เขายังคงส่งสายตาไร้เชื่อถือ
เจือแววสงสัย
จะถามอะไรไหม
ผมว่า
หน้าผมดูเหมือนคนขี้สงสัยเหรอ ?
เขาต่อล้อ
เออ
ผมต่อเถียง
คุณเคยมีรักไหม ?
ให้ตายสิคิดว่าเขาจะไม่ถามนะ
แต่ก็ไม่
เขาถามออกมาอย่างไม่ลังเล
เคย
ผมตอบ
เล่าสิ
เขาบอก
ไม่ล่ะ ไม่อยากนึกถึง
ผมตอบ
คุณจะกลายเป็นคนขี้โกงนะ
ถ้าไม่ยอมเล่า
ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะเล่า ?
ผมเลิกคิ้วกวนประสาท
เขาไม่ยอม เลยเอาแต่เซ้าซี้ผม
มนุษย์นี่มันงี่เง่าจริง ๆ
ผมเหลืออดจะทนกับคนตรงหน้า
เล่าแล้วจะหยุดเซ้าซี้ไหม ?
ผมถาม
แน่นอนสิ
ก็ผมอยากฟัง
รักผมในคราวนั้น
แพ้ราบคาบ
และไร้แววว่าจะชนะ
แล้วชนะไหม ?
เขาถาม
ไม่
ทำไมล่ะ ?
เพราะผมรักเขาด้วยดวงใจ
ที่เฝ้าปรารถนา
แต่ทว่าผมกลับไม่สมหวัง
ผมไม่สามารถหลีกหนี
ให้พ้นจากความทุกข์ตรม
ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พรมของความรักได้
อุปสรรคมันเยอะเกินไป
ผมจัดการไม่ไหว
อุปสรรคอะไร
แวมไพร์มีอุปสรรคด้วยเหรอ ?
โถ
มนุษย์หน้าโง่
ผมล่ะหน่ายใจ
เวลาไง
ยังไม่รวมปัจจัยยิบย่อย
ผมตอบ
ของมนุษย์ก็เหมือนกัน
เขาว่า
ไม่ล่ะ
ผมคิดว่าสำหรับคุณเป็นบุหรี่มากกว่านะ
เขาขำคิกคักตอนได้ฟัง
ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไป
รักมันขมจัง
ขมเหมือนบุหรี่ที่ผมสูบเลย
ผมรับรู้ได้ว่าเขาเศร้าจากภายใน
ด้วยแววตาจางน้ำใส
ผมรู้
บางครั้งรักเป็นรสขม
ไม่ใช่สีชมพูแกมส้มอย่างลูกอมรสหวาน
ผมเคยได้ยินมันจากใครสักคน
ที่ร่วงหล่นหายไปจากความทรงจำ
คราวยังดื่มด่ำรักข้างกันจนเมามาย
ผมกับเขา
เราซดรักเข้ากระแสเลือด
จนมันกลายเป็นกระษัย
สุดท้ายเริ่มทุรนทุราย
เจ้าพิษรักทำเรากระส่าย
ร่างกายเราหน่ายหน้าเจ้าน้ำรสขม
ผมจึงสัญญาผ่านสายลม
และดวงใจที่ขาวโพลน
ไม่ขอมีรักรสขมสีดำสดตลอดกาล
เมื่อผมกล่าวจบ
เขาก็เริ่มพูดอะไรบางอย่าง
ผมอ้อนวอนขอให้มันไม่น้ำเน่า
รู้อะไรไหม
ตอนนี้ผมคิดว่าบางทีรักก็ไม่ใช่สีเทา
หรือสีน้ำเงิน
แต่ผมคิดว่า
รักเป็นนิโคติน
รักเป็นเฮโรอีน
เป็นสิ่งเหนือจินตนาการ
เป็นของต้องห้าม
เกินกว่าคนจะรับไหว
หากต้องลุ่มหลงและสูญเสียไป
เพราะคนเราจะกลายเป็นบ้า
เวลามีรัก
เขาว่าจบก็ถอนหายใจ
คล้ายคนหมดอาลัยตายอยาก
ราวกับว่า
เขาขว้างเศษใจทิ้งไปกลางทะเลรัก
เขาเดินคอตกจากผมไป
เหมือนคนไม่เคยเจอกัน
ผมจึงทำได้เพียงเงยหน้ายิ้มรับ
กับพระจันทร์ที่หลบหมู่ดาวเข้ากลีบเมฆ