เรื่องต่อจากนี้ไม่ใช่ซีนเปิดหรือซีนปิดของเรื่องราวในนิยาย แต่เป็นเพียงซีนๆ หนึ่ง จากนิยายที่ยังไม่มีครงเรื่อง มีแค่ซีนนี้ที่อยากบันทึกไว้ก่อนเท่านั้นครับ
“นักนุกจองบานซาคาเตยสลาบชลานเชนดองฮาม บนแตคยมฮมนุงมินโตโตวบานเอเต” เสียงกระซิบไม่เป็นภาษาแว่วกังวานซ้อนซ้ำอยู่ภายในโสดประสาท เสียงผู้หญิงที่ฟ้าไม่มีวันลืมได้ เสียงของความกลัวที่ทำให้เธอเบิกตาโพลง ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ แต่นั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพียงโหมโรงอันแผ่วเบาของสิ่งที่เธอต้องพบพาน
เธอไม่ได้ตกใจตื่นจากฝันร้าย แต่ถูกฉุดกระชากลากทึ้งให้กลับสู่ความจริง ไม่ได้ตื่นขึ้นบนเตียงนุ่มภายในห้องนอน แต่กลับพบตัวเองนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางป่าทึบที่ปกคลุมด้วยความมืดในยามดึกสงัดและเสียงแว่วของป่าเขา เธอรีบลุกขึ้นนั่งพิงต้นไม้ คืนเดือนหงายทำให้เธอพอเห็นรอบๆ ตัวในระยะใกล้ได้บ้าง
“นักนุกจองบานซาคาเตยสลาบชลานเชนดอง..” เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่มากับเสียงนั้น สัมผัสได้ถึงริมผีปากอันซีดเผือดที่ขยับเข้ามาใกล้หูของเธอ ตาเธอแข็งค้าง ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวและตกใจ ริมฝีปากซีดเผือดนั้นยิ้มและค่อยๆ ถอยห่างหายลับเข้าไปในความมืด ตาทั้งสองกลิ้งกลอกไปมาด้วยความหวาดระแวง กลิ่นคาวลอยคลุ้งชวนอาเจียน เธอรู้สึกมีอะไรบางอย่างขยับเคลื่อนผ่านหลังของเธอ สัมผัสกับหลังโดยมีเพียงเสื้อของเธอที่กั้นกลาง สิ่งนั้นนิ่มและเคลื่อนไหวผ่านไปเหมือนกับงู
มันคือก้อนเนื้อที่เป็นเส้นยาวปลายแหลม ค่อยๆ เลื้อยพันขึ้นมาจนถึงหน้าท้องของเธอพร้อมกับกลิ่นคาวเหม็นอวลคลุ้ง เธอก้มลงดูสิ่งนั้นและตาค้างตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็น แสงสีแดงสว่างวาบส่องทาบลงบนหัวของเธอจากด้านบนต้นไม้ที่เธอพิงอยู่ เธอค่อยๆ แหงนหน้า เหลือกตาขึ้นมอง
...........
“กรี๊ด....” เสียงหวีดร้องจากป่าท้ายหมู่บ้านเป็นสัญญาณบอกทางให้ชาวบ้านและเพ็ญ แม่ของฟ้ารู้ว่าควรออกไปตามหาในทิศทางไหนท่ามกลางค่ำคืนอันสลัวราง ลำแสงจากกระบอกไฟฉายในมือของชาวบ้านหลายคนส่องนำทางไปในทิศทางที่พวกเขาได้ยินเสียงร้อง เพ็ญแบกเอาความกระวนกระวายเดินตามกลุ่มชาวบ้านไปหาลูกสาว ทุกคนต่างช่วยกันตะโกนเรียกฟ้าด้วยหวังว่าเธอจะตอบกลับแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีเพียงเสียงผีเท้าย่ำอย่างเร่งร้อนของชาวบ้านและแม่ผู้ร้อนรน
“แม่” เพ็ญหยุดเดิน ได้ยินเสียงแว่ว ไม่ผิดแน่มันคือเสียงเรียกของฟ้า คือเสียงของลูกสาวเธอ เพ็ญหันกลับไปเพื่อบอกทุกคนว่าได้ยินเสียงลูกสาวแต่เธอกลับพบว่ามีเพียงเธอคนเดียวอยู่ตรงนั้น เธอตะโกนเรียกชาวบ้านคนอื่นๆ พยายามมองหาแต่ก็ไม่พบใคร
“แม่” เสียงของลูกสาวแว่วดังอีกยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเป็นเสียงของลูกสาวแน่ๆ แต่ครั้งนี้เธอกลับลังเล เธอตะโกนเรียกชาวบ้านคนอื่นๆ อีกครั้งแต่ก็ยังคงไม่มีใครตอบกลับ และเธอก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากเธอ
“กรี๊ด” เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้งและนั่นทำให้ความสับสนของเธอยิ่งทวีคูณสวนทางกับความร้อนรนกระวนกระวาย เธอรีบตามเสียงนั้นไปในทันทีพร้อมกับตะโกนเรียกลูกสาวไปตลอดทาง
..........
ก้อนเนื้อขนาดใหญ่เรืองแสงสีแดงร่วงลงมาจากด้านบนลงมาบนหน้าของฟ้าที่แหงนขึ้นมองพอดี มันติดมากับขดไส้ที่ยืดออกจนเป็นเส้นตรงยาวและค่อยๆ คลายตัวจากกิ่งไม้ที่มันพันอยู่ เลือดแดงฉานกระเซ็นเมื่อก้อนเนื้อนั้นตกกระทบลงบนหน้าของเธอ เธอจับก้อนเนื้อนั้นด้วยสองมือ บีบมันแน่นเพื่อดึงมันออกในขณะที่ก้อนเนื้อนั้นกลับขยับมุดเข้าปากเธอด้วยการบีบและหดตัวในขณะที่แสงที่เรืองจากก้อนเนื้อนั้นยังคงสว่างวาบและค่อยดับลงสลับกันเป็นจังหวะ ขดไส้ที่ติดมาขดม้วนรัดคอเธอแน่นในขณะที่เธอยังคงพยายามดึงมันออก มันรัดคอเธอแน่นขึ้นจนหายใจไม่ได้ มือที่จับก้อนเนื้อนั้นจิกเกร็ง นิ้วเท้าทั้งหมดจิกงอด้วยความทรมานพร้อมกับขาทั้งสองที่ลากพลิกขึ้นลงอย่างไม่อาจควบคุม มันรัดคอเธอแน่นขึ้นจนตาเหลือกค้าง มือที่จิกบีบคลายออกดิ่งทิ้งลงสู่พื้น มันค่อยๆ บีบตัวและมุดยัดตัวมันเองเข้าไปในปากเธอพร้อมๆ กับขดไส้ที่คลายตัวและไหลมุดตามเข้าไปในปากของเธอจนเมื่อขดไส้เข้าไปจนสุด ปากเธอหุบปิดลง ร่างของเธอกระตุกเกร็งพร้อมกับการกลับคืนสติอีกครั้ง ตาทั้งคู่เบิกกว้าง เธอหอบหายใจเข้าอย่างแรงเหมือนคนที่เพิ่งได้สติจากการจมน้ำ พยายามล้วงเข้าปากเพื่อหวังจะดึงมันกลับออกมาแต่ไม่เป็นผล ปวดแสบปวดร้อนในท้องจนล้มฟุบลงพื้นและโอดร้องด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามยันตัวขึ้นแต่กลับล้มหงายลงไปอีกพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายและหวีดร้องลั่นจนเกิดอาการชักเกร็ง ร่างกายกระตุกรัวแรง น้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกขึ้น เลือดไหลเป็นทางลงจากตา คอมีแสงเรือง มือทั้งสองจับบีบคอแน่นก่อนจะจิกและข่วนไม่หยุดจนผิวหนังถลอกฉีกถึงชั้นเนื้อเยื่อ ก่อนฉีกทึ้งเสื้อจนขาดรุ่ยเผยให้เห็นท้องที่มีบางสิ่งขยับอย่างแรงอยู่ภายใน มันดันผิวหนังหน้าท้องจนปูดโปน เธอดิ้นทุรนพร้อมกับหวีดร้องลั่น แขน ขา มือหงิกงอเกร็ง หลังแอ่นงอขึ้น ตาเหลือกค้างพร้อมกับคอหักพับอย่างแรง
แสงสีแดงวาบสว่างทะลุผิวหนังหน้าท้อง แสงนั้นไล่เป็นเส้นยาวจนถึงคอ เธอสำรอกน้ำเมือกใสที่ปนกับเลือดออกมาพร้อมกับปลายของขดไส้เรืองแสงวาบที่ดันตัวออกมาจากช่องปาก
..........
แสงสีแดงลอยอยู่ไกลๆ ภายในป่าที่ชาวบ้านกำลังมุ่งหน้าไป แสงนั้นทำให้ชาวบ้านชะงัก มันอาจไม่ใช่การออกตามหาเด็กสาวที่หายไปจากบ้านแบบธรรมดา การปรากฏตัวของมันทำให้ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวและเป็นตอนนั้นเองที่ชาวบ้านเพิ่งสังเกตเห็นว่าเพ็ญหายไป นั่นยิ่งสร้างความตระหนกตกใจกับชาวบ้าน พลันทันใดหมอกลงหนารอบตัวพวกเขาจนแสงจากไฟฉายไม่เหลือประโยชน์อันใด
“มันหลอกเรามา” ชาวบ้านชายคนหนึ่งโพล่งขึ้น “อีกระสือมันหลอกเรามาตาย”
“อีเพ็ญ” ชาวบ้านอีกคนเสริม “ต้องเป็นมันแน่ๆ”
เสียงย่ำเดินกระทบใบไม้แห้งอยู่ใกล้ๆ แต่พวกเขาไม่อาจมองเห็นเจ้าของฝีเท้านั้นด้วยม่านหมอกที่บังตา ความกลัวยิ่งทบทวี
“อีเพ็ญ” ชาวบ้านคนหนึ่งเรียก “ทำแบบนี้ทำไมวะ”
ในทันใดปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่งเดินวนอยู่ในหมอกพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงแหลมกังวาน เงานั้นเดินย่างอย่างช้าๆ พร้อมกับมองเข้ามายังกลุ่มชาวบ้านและแสยะยิ้ม
“อีผี

พวกกูอุตส่ามาช่วย” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนด่าพร้อมกับขว้างไฟฉายเข้าใส่เงานั้น ไฟฉายพุ่งผ่านหมอกและเงานั้นไปก่อนที่แสงจากไฟฉายจะกระพริบถี่และดับลงเมื่อตกลงพื้น เสียงหัวเราะนั้นสอดแทรกตามสายลมที่บางเบาเข้าสู่โสดประสาทของพวกเขา ชาวบ้านคนหนึ่งถลาล้มลง มือปัดป่ายที่หูซ้าย เสียงหัวเราะนั้นแว่วกระซิบราวกับผีร้ายยื่นหน้าและหัวเราะข้างใบหูพวกเขาทีละคนจนทุกคนต่างอยู่ในอาการเตลิด ประหวั่นพรั่นพรึง
......
เพ็ญวิ่งตามเสียงหวีดร้องเข้าไปในป่า จนพบฟ้าในสภาพที่ทำให้เธอแหลกสลายในทันที ฟ้าถูกผูกคอห้อยลงมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณเธอรีบเข้าไปดึงตัวฟ้าลงมาจากต้นไม้ เธอร้องไห้ไม่หยุด พยายามเขย่าตัวลูกสาวอย่างแรงด้วยความหวังริบหรี่ว่าลูกสาวจะฟื้นคืน แต่ความรักในสายเลือดบังคับให้เธอต้องเขย่าร่างนั้นเหมือนคนขาดสติ
เพ็ญหยุดเขย่าตัวลูกสาวและดึงร่างของฟ้าเข้ามากอดแน่น เธอร้องไห้และเพ้อพร่ำถึงความรักที่เธอมีต่อลูกรวมถึงความรู้สึกผิดที่เธอแบกรับมาตลอดจากการที่เธอทอดทิ้งลูกสาวไปตลอดช่วงเวลาสามปีที่ขาดหายไปจากชีวิตเธอ
ใบหน้าเขียวคล้ำที่ซุกอยู่บนบ่าของแม่ชิดข้างใบหน้าอันแหลกสลาย ตาที่เหลือกจนแทบถลนค่อยๆ ขยับ มันกลอกลงมาอย่างทันควัน ตาดำที่เล็กเท่าหัวเข็มหมุดกลอกไปมองเพ็ญที่กำลังกอดร่างของฟ้าและร้องไห้ พลันแสงสีแดงวาบสว่างจ้าจากในท้องของฟ้า เพ็ญดันตัวลูกสาวออก เธอมองดูหน้าท้องของลูกสาวที่เสื้อขาดรุ่ยด้วยความตื่นกลัวที่สุด มีบางอย่างอยู่ในท้องของฟ้าที่กำลังเรืองแสงวาบทะลุผ่านผิวหนังหน้าท้องและมันกำลังเคลื่อนตัวไปมาจนดันผิวหนังหน้าท้องให้บวมพอง เธอมองหน้าลูกสาว ใบหน้านั้นสั่นรัว ม่านตาดำขยายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนอง
“แม่” เสียงเพรียกนั้นแผ่วเบา “ช่วยหนูด้วย” สิ้นเสียงนั้นฟ้าหวีดร้องลั่น เธอล้มลงไปนอนชัก ร่างกายกระตุกเกร็งรุนแรง แสงที่วาบอยู่ในท้องกระพริบถี่และมีบางสิ่งเคลื่อนไหวเหมือนงูเลื้อยอยู่ในท้อง เพ็ญรีบโผเข้าไปหาลูก
“อย่า” เสียงห้ามของฟ้าทำให้เพ็ญชะงัก “หนี...หนีไป” ความสับสนจู่จับความคิด แต่มันไม่มากพอให้ความรักหยุดทำงาน เพ็ญโผเข้าประคองตัวฟ้าเข้ามากอดอีกครั้ง
“กลับบ้านกับแม่นะลูก” เธอร้องไห้และพยายามกอดประคองลูกสาวให้ลุกยืนพร้อมกับเธอ ฟ้าผลักเพ็ญอย่างแรงจนทั้งคู่ล้มลง
“ป๊ายยยย” เสียงนั้นดังจนเป็นเสียงตวาด “กูบอกให้หนี” สิ้นเสียงนั้นฟ้าคว้าก้อนหินขว้างใส่เพ็ญหลายครั้งก่อนจะหยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาทุบลงไปที่ท้องของตัวเองหลายครั้ง ท้องที่ยังคงมีแสงวูบวาบทะลุออกมาและบางสิ่งที่กำลังดิ้นหรือเลื้อยหนีและกระตุกเหมือนรู้สึกจากการทุบของเธอ ฟ้าปล่อยหินหลุดมือ เธอนอนขดกุมท้องเพราะความเจ็บปวดที่เกินจะทานทน เพ็ญรีบวิ่งเข้าไปประคองลูกสาวที่อ่อนแรงจนแทบหมดสติ
น้ำตาไหลอาบแก้มของฟ้าปะปนกับคราบเลือดที่เปรอะเลอะอยู่ทั่วใบหน้า “หนูขอโทษ”
ผิวหนังหน้าท้องของฟ้าปริแยก เลือดไหลนองออกมาพร้อมกับขดไส้ที่ทะลักไหล ขดไส้ที่มีชีวิตและมันเลื้อยชูปลายขดเหมือนงูชูคอก่อนจะพุ่งเสียบทะลุเสื้อเข้าไปในท้องของเพ็ญ เพ็ญตาค้างแข็ง เนื้อตัวแข็งเกร็ง มันเสียบเข้าไปลึกขึ้นก่อนจะกระชากกลับออกมาพร้อมกับพันเอาไส้ของเพ็ญออกมาด้วย เลือดจากท้องของเพ็ญทะลักไหล ร่างกายกระตุกแรงในจังหวะที่มันดึงเอาไส้ของเธอออกมาพร้อมกับวิญญาณที่ถูกดึงออกจากร่าง มันยกชูไส้นั้นจ่อที่ปากของฟ้า ร่างของเพ็ญร่วงลงพื้น
ฟ้าจับเอาไส้ของแม่มาดม เธอกัดและกินมันอย่างตะกลามในขณะที่น้ำตายังไหลไม่หยุดและยังส่งเสียงร้องลั่นป่าด้วยความแหลกสลายอันสุดสะพรึง
คืนฟ้าคลั่ง
“นักนุกจองบานซาคาเตยสลาบชลานเชนดองฮาม บนแตคยมฮมนุงมินโตโตวบานเอเต” เสียงกระซิบไม่เป็นภาษาแว่วกังวานซ้อนซ้ำอยู่ภายในโสดประสาท เสียงผู้หญิงที่ฟ้าไม่มีวันลืมได้ เสียงของความกลัวที่ทำให้เธอเบิกตาโพลง ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ แต่นั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพียงโหมโรงอันแผ่วเบาของสิ่งที่เธอต้องพบพาน
เธอไม่ได้ตกใจตื่นจากฝันร้าย แต่ถูกฉุดกระชากลากทึ้งให้กลับสู่ความจริง ไม่ได้ตื่นขึ้นบนเตียงนุ่มภายในห้องนอน แต่กลับพบตัวเองนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางป่าทึบที่ปกคลุมด้วยความมืดในยามดึกสงัดและเสียงแว่วของป่าเขา เธอรีบลุกขึ้นนั่งพิงต้นไม้ คืนเดือนหงายทำให้เธอพอเห็นรอบๆ ตัวในระยะใกล้ได้บ้าง
“นักนุกจองบานซาคาเตยสลาบชลานเชนดอง..” เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่มากับเสียงนั้น สัมผัสได้ถึงริมผีปากอันซีดเผือดที่ขยับเข้ามาใกล้หูของเธอ ตาเธอแข็งค้าง ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวและตกใจ ริมฝีปากซีดเผือดนั้นยิ้มและค่อยๆ ถอยห่างหายลับเข้าไปในความมืด ตาทั้งสองกลิ้งกลอกไปมาด้วยความหวาดระแวง กลิ่นคาวลอยคลุ้งชวนอาเจียน เธอรู้สึกมีอะไรบางอย่างขยับเคลื่อนผ่านหลังของเธอ สัมผัสกับหลังโดยมีเพียงเสื้อของเธอที่กั้นกลาง สิ่งนั้นนิ่มและเคลื่อนไหวผ่านไปเหมือนกับงู
มันคือก้อนเนื้อที่เป็นเส้นยาวปลายแหลม ค่อยๆ เลื้อยพันขึ้นมาจนถึงหน้าท้องของเธอพร้อมกับกลิ่นคาวเหม็นอวลคลุ้ง เธอก้มลงดูสิ่งนั้นและตาค้างตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็น แสงสีแดงสว่างวาบส่องทาบลงบนหัวของเธอจากด้านบนต้นไม้ที่เธอพิงอยู่ เธอค่อยๆ แหงนหน้า เหลือกตาขึ้นมอง
...........
“กรี๊ด....” เสียงหวีดร้องจากป่าท้ายหมู่บ้านเป็นสัญญาณบอกทางให้ชาวบ้านและเพ็ญ แม่ของฟ้ารู้ว่าควรออกไปตามหาในทิศทางไหนท่ามกลางค่ำคืนอันสลัวราง ลำแสงจากกระบอกไฟฉายในมือของชาวบ้านหลายคนส่องนำทางไปในทิศทางที่พวกเขาได้ยินเสียงร้อง เพ็ญแบกเอาความกระวนกระวายเดินตามกลุ่มชาวบ้านไปหาลูกสาว ทุกคนต่างช่วยกันตะโกนเรียกฟ้าด้วยหวังว่าเธอจะตอบกลับแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีเพียงเสียงผีเท้าย่ำอย่างเร่งร้อนของชาวบ้านและแม่ผู้ร้อนรน
“แม่” เพ็ญหยุดเดิน ได้ยินเสียงแว่ว ไม่ผิดแน่มันคือเสียงเรียกของฟ้า คือเสียงของลูกสาวเธอ เพ็ญหันกลับไปเพื่อบอกทุกคนว่าได้ยินเสียงลูกสาวแต่เธอกลับพบว่ามีเพียงเธอคนเดียวอยู่ตรงนั้น เธอตะโกนเรียกชาวบ้านคนอื่นๆ พยายามมองหาแต่ก็ไม่พบใคร
“แม่” เสียงของลูกสาวแว่วดังอีกยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเป็นเสียงของลูกสาวแน่ๆ แต่ครั้งนี้เธอกลับลังเล เธอตะโกนเรียกชาวบ้านคนอื่นๆ อีกครั้งแต่ก็ยังคงไม่มีใครตอบกลับ และเธอก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากเธอ
“กรี๊ด” เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้งและนั่นทำให้ความสับสนของเธอยิ่งทวีคูณสวนทางกับความร้อนรนกระวนกระวาย เธอรีบตามเสียงนั้นไปในทันทีพร้อมกับตะโกนเรียกลูกสาวไปตลอดทาง
..........
ก้อนเนื้อขนาดใหญ่เรืองแสงสีแดงร่วงลงมาจากด้านบนลงมาบนหน้าของฟ้าที่แหงนขึ้นมองพอดี มันติดมากับขดไส้ที่ยืดออกจนเป็นเส้นตรงยาวและค่อยๆ คลายตัวจากกิ่งไม้ที่มันพันอยู่ เลือดแดงฉานกระเซ็นเมื่อก้อนเนื้อนั้นตกกระทบลงบนหน้าของเธอ เธอจับก้อนเนื้อนั้นด้วยสองมือ บีบมันแน่นเพื่อดึงมันออกในขณะที่ก้อนเนื้อนั้นกลับขยับมุดเข้าปากเธอด้วยการบีบและหดตัวในขณะที่แสงที่เรืองจากก้อนเนื้อนั้นยังคงสว่างวาบและค่อยดับลงสลับกันเป็นจังหวะ ขดไส้ที่ติดมาขดม้วนรัดคอเธอแน่นในขณะที่เธอยังคงพยายามดึงมันออก มันรัดคอเธอแน่นขึ้นจนหายใจไม่ได้ มือที่จับก้อนเนื้อนั้นจิกเกร็ง นิ้วเท้าทั้งหมดจิกงอด้วยความทรมานพร้อมกับขาทั้งสองที่ลากพลิกขึ้นลงอย่างไม่อาจควบคุม มันรัดคอเธอแน่นขึ้นจนตาเหลือกค้าง มือที่จิกบีบคลายออกดิ่งทิ้งลงสู่พื้น มันค่อยๆ บีบตัวและมุดยัดตัวมันเองเข้าไปในปากเธอพร้อมๆ กับขดไส้ที่คลายตัวและไหลมุดตามเข้าไปในปากของเธอจนเมื่อขดไส้เข้าไปจนสุด ปากเธอหุบปิดลง ร่างของเธอกระตุกเกร็งพร้อมกับการกลับคืนสติอีกครั้ง ตาทั้งคู่เบิกกว้าง เธอหอบหายใจเข้าอย่างแรงเหมือนคนที่เพิ่งได้สติจากการจมน้ำ พยายามล้วงเข้าปากเพื่อหวังจะดึงมันกลับออกมาแต่ไม่เป็นผล ปวดแสบปวดร้อนในท้องจนล้มฟุบลงพื้นและโอดร้องด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามยันตัวขึ้นแต่กลับล้มหงายลงไปอีกพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายและหวีดร้องลั่นจนเกิดอาการชักเกร็ง ร่างกายกระตุกรัวแรง น้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกขึ้น เลือดไหลเป็นทางลงจากตา คอมีแสงเรือง มือทั้งสองจับบีบคอแน่นก่อนจะจิกและข่วนไม่หยุดจนผิวหนังถลอกฉีกถึงชั้นเนื้อเยื่อ ก่อนฉีกทึ้งเสื้อจนขาดรุ่ยเผยให้เห็นท้องที่มีบางสิ่งขยับอย่างแรงอยู่ภายใน มันดันผิวหนังหน้าท้องจนปูดโปน เธอดิ้นทุรนพร้อมกับหวีดร้องลั่น แขน ขา มือหงิกงอเกร็ง หลังแอ่นงอขึ้น ตาเหลือกค้างพร้อมกับคอหักพับอย่างแรง
แสงสีแดงวาบสว่างทะลุผิวหนังหน้าท้อง แสงนั้นไล่เป็นเส้นยาวจนถึงคอ เธอสำรอกน้ำเมือกใสที่ปนกับเลือดออกมาพร้อมกับปลายของขดไส้เรืองแสงวาบที่ดันตัวออกมาจากช่องปาก
..........
แสงสีแดงลอยอยู่ไกลๆ ภายในป่าที่ชาวบ้านกำลังมุ่งหน้าไป แสงนั้นทำให้ชาวบ้านชะงัก มันอาจไม่ใช่การออกตามหาเด็กสาวที่หายไปจากบ้านแบบธรรมดา การปรากฏตัวของมันทำให้ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวและเป็นตอนนั้นเองที่ชาวบ้านเพิ่งสังเกตเห็นว่าเพ็ญหายไป นั่นยิ่งสร้างความตระหนกตกใจกับชาวบ้าน พลันทันใดหมอกลงหนารอบตัวพวกเขาจนแสงจากไฟฉายไม่เหลือประโยชน์อันใด
“มันหลอกเรามา” ชาวบ้านชายคนหนึ่งโพล่งขึ้น “อีกระสือมันหลอกเรามาตาย”
“อีเพ็ญ” ชาวบ้านอีกคนเสริม “ต้องเป็นมันแน่ๆ”
เสียงย่ำเดินกระทบใบไม้แห้งอยู่ใกล้ๆ แต่พวกเขาไม่อาจมองเห็นเจ้าของฝีเท้านั้นด้วยม่านหมอกที่บังตา ความกลัวยิ่งทบทวี
“อีเพ็ญ” ชาวบ้านคนหนึ่งเรียก “ทำแบบนี้ทำไมวะ”
ในทันใดปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่งเดินวนอยู่ในหมอกพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงแหลมกังวาน เงานั้นเดินย่างอย่างช้าๆ พร้อมกับมองเข้ามายังกลุ่มชาวบ้านและแสยะยิ้ม
“อีผี
......
เพ็ญวิ่งตามเสียงหวีดร้องเข้าไปในป่า จนพบฟ้าในสภาพที่ทำให้เธอแหลกสลายในทันที ฟ้าถูกผูกคอห้อยลงมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณเธอรีบเข้าไปดึงตัวฟ้าลงมาจากต้นไม้ เธอร้องไห้ไม่หยุด พยายามเขย่าตัวลูกสาวอย่างแรงด้วยความหวังริบหรี่ว่าลูกสาวจะฟื้นคืน แต่ความรักในสายเลือดบังคับให้เธอต้องเขย่าร่างนั้นเหมือนคนขาดสติ
เพ็ญหยุดเขย่าตัวลูกสาวและดึงร่างของฟ้าเข้ามากอดแน่น เธอร้องไห้และเพ้อพร่ำถึงความรักที่เธอมีต่อลูกรวมถึงความรู้สึกผิดที่เธอแบกรับมาตลอดจากการที่เธอทอดทิ้งลูกสาวไปตลอดช่วงเวลาสามปีที่ขาดหายไปจากชีวิตเธอ
ใบหน้าเขียวคล้ำที่ซุกอยู่บนบ่าของแม่ชิดข้างใบหน้าอันแหลกสลาย ตาที่เหลือกจนแทบถลนค่อยๆ ขยับ มันกลอกลงมาอย่างทันควัน ตาดำที่เล็กเท่าหัวเข็มหมุดกลอกไปมองเพ็ญที่กำลังกอดร่างของฟ้าและร้องไห้ พลันแสงสีแดงวาบสว่างจ้าจากในท้องของฟ้า เพ็ญดันตัวลูกสาวออก เธอมองดูหน้าท้องของลูกสาวที่เสื้อขาดรุ่ยด้วยความตื่นกลัวที่สุด มีบางอย่างอยู่ในท้องของฟ้าที่กำลังเรืองแสงวาบทะลุผ่านผิวหนังหน้าท้องและมันกำลังเคลื่อนตัวไปมาจนดันผิวหนังหน้าท้องให้บวมพอง เธอมองหน้าลูกสาว ใบหน้านั้นสั่นรัว ม่านตาดำขยายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนอง
“แม่” เสียงเพรียกนั้นแผ่วเบา “ช่วยหนูด้วย” สิ้นเสียงนั้นฟ้าหวีดร้องลั่น เธอล้มลงไปนอนชัก ร่างกายกระตุกเกร็งรุนแรง แสงที่วาบอยู่ในท้องกระพริบถี่และมีบางสิ่งเคลื่อนไหวเหมือนงูเลื้อยอยู่ในท้อง เพ็ญรีบโผเข้าไปหาลูก
“อย่า” เสียงห้ามของฟ้าทำให้เพ็ญชะงัก “หนี...หนีไป” ความสับสนจู่จับความคิด แต่มันไม่มากพอให้ความรักหยุดทำงาน เพ็ญโผเข้าประคองตัวฟ้าเข้ามากอดอีกครั้ง
“กลับบ้านกับแม่นะลูก” เธอร้องไห้และพยายามกอดประคองลูกสาวให้ลุกยืนพร้อมกับเธอ ฟ้าผลักเพ็ญอย่างแรงจนทั้งคู่ล้มลง
“ป๊ายยยย” เสียงนั้นดังจนเป็นเสียงตวาด “กูบอกให้หนี” สิ้นเสียงนั้นฟ้าคว้าก้อนหินขว้างใส่เพ็ญหลายครั้งก่อนจะหยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาทุบลงไปที่ท้องของตัวเองหลายครั้ง ท้องที่ยังคงมีแสงวูบวาบทะลุออกมาและบางสิ่งที่กำลังดิ้นหรือเลื้อยหนีและกระตุกเหมือนรู้สึกจากการทุบของเธอ ฟ้าปล่อยหินหลุดมือ เธอนอนขดกุมท้องเพราะความเจ็บปวดที่เกินจะทานทน เพ็ญรีบวิ่งเข้าไปประคองลูกสาวที่อ่อนแรงจนแทบหมดสติ
น้ำตาไหลอาบแก้มของฟ้าปะปนกับคราบเลือดที่เปรอะเลอะอยู่ทั่วใบหน้า “หนูขอโทษ”
ผิวหนังหน้าท้องของฟ้าปริแยก เลือดไหลนองออกมาพร้อมกับขดไส้ที่ทะลักไหล ขดไส้ที่มีชีวิตและมันเลื้อยชูปลายขดเหมือนงูชูคอก่อนจะพุ่งเสียบทะลุเสื้อเข้าไปในท้องของเพ็ญ เพ็ญตาค้างแข็ง เนื้อตัวแข็งเกร็ง มันเสียบเข้าไปลึกขึ้นก่อนจะกระชากกลับออกมาพร้อมกับพันเอาไส้ของเพ็ญออกมาด้วย เลือดจากท้องของเพ็ญทะลักไหล ร่างกายกระตุกแรงในจังหวะที่มันดึงเอาไส้ของเธอออกมาพร้อมกับวิญญาณที่ถูกดึงออกจากร่าง มันยกชูไส้นั้นจ่อที่ปากของฟ้า ร่างของเพ็ญร่วงลงพื้น
ฟ้าจับเอาไส้ของแม่มาดม เธอกัดและกินมันอย่างตะกลามในขณะที่น้ำตายังไหลไม่หยุดและยังส่งเสียงร้องลั่นป่าด้วยความแหลกสลายอันสุดสะพรึง