การดื่มแอลกอฮอล์ นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคตับ และนำมาสู่การเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจและโรคอื่นๆที่ร้ายแรง ซึ่งล่าสุด ดร.เซารับห์ เซธิ แพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร ได้โพสต์คลิปวิดีโอลง TikTok ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 475,000 คน แชร์ 4 วิธีง่ายๆ ในการตรวจเช็กสุขภาพตับที่บ้าน ซึ่งมีคำบรรยายว่า “ผู้เชี่ยวชาญด้านตับ: 4 วิธีเช็กสุขภาพตับง่ายๆ ที่บ้าน” ดังนี้
4 วิธีเช็กสุขภาพตับง่ายๆ ที่บ้าน
1. ตาและผิวเหลือง
แพทย์แนะนำให้สังเกต “ตาและผิวที่เหลือง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในแสงธรรมชาติ” ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการทำงานผิดปกติของตับ
2. ปัสสาวะสีเหลืองเข้มหรือสีอำพัน
โดยปกติปัสสาวะควรเป็นสีเหลืองอ่อน หากมีสีเหลืองเข้มหรือสีอำพัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาตับ
3. อาการบวมบริเวณช่วงท้อง
อาการบวมบริเวณช่วงกลางลำตัวอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการสะสมของของเหลว ซึ่งเกิดจากปัญหาตับ
4. อุจจาระสีซีดหรือสีคล้ายดินเหนียว
การสังเกตสีของอุจจาระเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอุจจาระที่มีสีซีดหรือคล้ายดินเหนียว อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับทำงานผิดปกติ
ลดความเสี่ยงโรคตับ
แม้ว่าบางโรคตับไม่สามารถป้องกันได้ แต่การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์สามารถลดความเสี่ยงของโรคตับบางชนิดได้
ประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์
หากกังวลเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ ดร.โดนัลด์ แกรนท์ แพทย์ทั่วไปและที่ปรึกษาคลินิกอาวุโส แนะนำคำถามสำคัญที่ควรถามตัวเอง “ฉันมักดื่มมากกว่าที่ตั้งใจไว้หรือไม่?”
หากคำตอบคือใช่ นั่นอาจเป็นสัญญาณของการพึ่งพาแอลกอฮอล์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การพยายามดื่มเพียงแก้วเดียวแล้วรู้สึกลำบาก อาจบ่งบอกถึงการพึ่งพาในเชิงจิตใจ ซึ่งเป็นอาการหลักที่พบในผู้ติดแอลกอฮอล์หลายคน...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4262920/
เช็กลิสต์12ข้อ ย้อมสีผมอย่างปลอดภัย
การทำสีผม ย้อมผม เพื่อปกปิดผมขาวหรือสร้างความสดใสให้ตัวเอง เป็นที่นิยมอย่างมากมาก แต่การย้อมหรือทำสีผมอาจทำให้เส้นผมหยาบกระด้าง ผมเสีย หรือผมขาดง่าย รวมถึงอาจมีผลต่อหนังศรีษะ ซึ่งเป็นผลจากสารเคมีที่ใช้ย้อมผม
สีผมเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของการเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ การทำสีผม ย้อมผม เพื่อปกปิดผมขาวหรือสร้างความสดใสให้ตัวเอง จึงเป็นที่นิยมมาก แต่การย้อมหรือทำสีผมอาจทำให้เส้นผมหยาบกระด้าง ผมเสีย หรือผมขาดง่าย รวมถึงอาจส่งผลต่อหนังศรีษะ ซึ่งเป็นผลจากสารเคมีที่ใช้ย้อมผมนั่นเอง
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับข้อควรระวังและวิธีทำสีผมอย่างไรให้ร่างกายปลอดภัยจากผลข้างเคียง โดยผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด แบ่งเป็น 3 ชนิด
1. ผลิตภัณฑ์ย้อมผมชนิดชั่วคราว มีส่วนประกอบของสีที่มีโมเลกุลใหญ่ ใช้เคลือบบริเวณชั้นนอกของเส้นผม ล้างออกได้ด้วยการสระผม 1-2 ครั้ง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชื่อ คัลเลอร์ รินส์ (Color Rinse) ดินสอทาสีผม (Hair Crayons) และสีพ่นสำหรับผม
2. ผลิตภัณฑ์ย้อมผมชนิดกึ่งถาวร มีส่วนประกอบของสีที่มีโมเลกุลเล็ก สามารถซึมเข้าไปถึงชั้นกลางของเส้นผม สีจะติดคงทนได้นานประมาณ 3-5 สัปดาห์ ได้แก่ แชมพูย้อมสีผม โลชั่น และโฟมย้อมสีผม
3. ผลิตภัณฑ์ย้อมผมชนิดถาวร จะติดทนบนเส้นผมอย่างถาวร และทนทานต่อการสระด้วยแชมพู ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทเคลือบสีผม สีจะสะสมบนชั้นนอกของเส้นผม และประเภทซึมเข้าในเส้นผม
ข้อควรระวัง
1.เลือกยาย้อมผมที่ปลอดภัย ควรเลือกยาย้อมผมที่มีคุณภาพ และมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรสังเกตจากฉลากว่ามีการระบุข้อความที่จำเป็น อาทิ เลขที่ใบรับแจ้งของ อย. ชื่อของสารที่เป็นส่วนประกอบ วิธีใช้ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและวันหมดอายุ
อย่าเลือกยาย้อมผม เพียงเพราะนำเข้ามาจากต่างประเทศหรือเป็นสมุนไพร เพราะสารหลายชนิดในยาย้อมผมเป็นสารที่ต้องควบคุมประมาณการใช้ หรือเป็นสารที่ห้ามใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
2.ควรอ่านฉลากและปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุไว้ในฉลากให้ถูกต้อง และให้ระวังคำเตือนที่ระบุไว้ที่ฉลากด้วย เช่น มีสารพาราฟินีลีนไดอะมีนส์ (Paraphenylenediamine; PPD) อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ ระวังอย่าให้เข้าตา สวมถุงมือที่เหมาะสมขณะใช้ อย่าย้อมผมถ้ามีผื่นหรือแผลที่หนังศีรษะ
3.หากสงสัยว่าอาจมีการแพ้ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการทดสอบ patch test
4.ควรสวมถุงมือทุกครั้งเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผม แต่ในช่างย้อมผมที่มีการแพ้สารพาราฟินีลีนไดอะมีนส์ ควรใช้ถุงมือไนไตร เพราะสารพาราฟินีลีนไดอะมีนส์ และสารอื่นบางชนิดในยาย้อมผมสามารถทะลุถุงมือยางธรรมดาได้
5.ไม่ควรปล่อยให้สีย้อมอยู่บนเส้นผมหรือหนังศีรษะนานกว่าที่ฉลากระบุไว้ เพราะสารเคมีอาจทำให้เส้นผมขาดหรืออาจซึมผ่านหนังศีรษะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีโอกาสเกิดการแพ้ได้มากขึ้น หรือเกิดอันตรายแก่ร่างกาย
6.สระผมให้สะอาด อย่าให้มีสีผมค้างที่เส้นผมหรือหนังศีรษะหลังจากย้อมผมแล้ว เพราะอาจเกิดการระคายเคืองหรือทำให้เส้นผมขาดง่าย
7.ควรใช้ครีมนวดผมที่มีคุณภาพดี อาทิ ครีมนวดผมที่มีส่วนประกอบของไดเมทิโคน (Dimethicone) หรือโพลีเมอร์ (Polymer) จะช่วยลดการเสียดสีของผมและช่วยทำให้ผมไม่แห้งขาดง่าย
8.ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น มีผื่นคันที่หนังศีรษะหรือที่ตัว หลังจากใช้ยาย้อมผม ควรหยุดใช้ทันทีและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
9.ไม่ควรย้อมผมในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตรหรือเด็กเล็ก
10.ไม่ควรย้อมผมหรือทำสีผมบ่อยจนเกินไป เนื่องจากความร้อน หรือสารเคมี จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในเส้นผมและเปลือกผมถูกทำลาย ทำให้เส้นผมขาดง่าย หรือหยาบกระด้าง ถ้ามีอาการ
11.ห้ามใช้เมื่อหนังศีรษะมีรอยถลอก เป็นแผล หรือโรคผิวหนัง
12.ไม่ควรเกาศีรษะอย่างแรงขณะย้อมผม เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
วิธีแก้ไขถ้าแพ้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ย้อมผม
1.ให้ล้างหนังศีรษะและผมด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือแชมพูอ่อนๆ เพื่อล้างผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่ยังเหลืออยู่หมดไป หรือให้เหลือน้อยที่สุด
2.ใช้สารละลายเจือจางของด่างทับทิม 1 ส่วน ต่อน้ำ 5,000 ส่วน เพื่อชะล้างสารเคมีให้หมดจากเส้นผม
3.หากอาการไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป โดยนำฉลาก ซอง หรือกล่องผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไปด้วย...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4262472/
ใครบ้างที่ไม่ควรกิน “มะละกอ”
"มะละกอ" ผลไม้ยอดนิยม และเป็นส่วนประกอบสำคัญของ "ส้มตำ" มีคุณค่าสูง ดีต่อสุขภาพ แต่ก็มีคนอีกหลายกลุ่มที่ไม่ควรกินมัน…
“มะละกอ” ผลไม้ยอดนิยมของคนไทย รับประทานตอนสุกมีรสชาติหวานอร่อยมาก ส่วนตอนดิบก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารประจำชาติอย่าง “ส้มตำ” เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อสุขภาพ
มะละกออุดมไปด้วยวิตามิน A, B, C, E และ K พร้อมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น โฟเลต แมกนีเซียม ทองแดง และแคลเซียม นอกจากนี้ มะละกอยังมีไฟเบอร์ อัลฟ่า เบต้าแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทีน โพแทสเซียม และไลโคปีน ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม
แม้จะเป็นผลไม้ที่อร่อย และมีคุณค่าสูง แต่คนไทยขาดแทบไม่ได้ เพราะเป็นวัตถุดิบหลักของ “ส้มตำ” แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มคนที่ไม่ควรกินผลไม้ชนิดนี้ เพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกาย หากคุณอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการกิน “มะละกอ” รวมทั้งต้องระมัดระวังในการกินส้มตำ
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ควรกิน “มะละกอ”
คนที่เป็นโรคนิ่วในไต
มะละกอมีวิตามินซีจำนวนมาก มะละกอ 100 กรัม มีวิตามินซี 60.9 มก. ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน แต่การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดนิ่วในไต หรือทำให้อาการแย่ลงในผู้ที่เป็นโรคอยู่แล้ว
คนที่เป็นโรคภูมิแพ้
หากคุณเป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด หรืออาการแพ้ใดๆ ควรระมัดระวังเมื่อรับประทานมะละกอ บางครั้งละอองเกสรดอกไม้อาจเกาะติดผิวมะละกอได้ ดังนั้นควรสวมถุงมือเมื่อปอกเปลือกมะละกอ ทิ้งเปลือกและถุงมือลงในถังขยะทันที หลังจากปอกเปลือก คุณควรปิดปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดตัวเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ โรคภูมิแพ้มะละกอมักมีอาการดังต่อไปนี้ ปากบวม คันบริเวณใบหน้าและลำคอ ผื่นที่ลิ้น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดท้อง หายใจลำบาก และกลืนลำบาก
คนที่เป็นโรคดีซ่าน
มะละกอสุกมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และให้วิตามินเอ อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนมากเกินไป เช่น มะละกอ ฟักทอง แครอท และมะม่วง อาจทำให้เกิดอาการตัวเหลือง โดยเฉพาะที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และผิวหนังบริเวณอื่นๆ เนื่องจากการสะสมของเบต้าแคโรทีนในร่างกายมากเกินไป เพื่อปรับปรุงอาการนี้ คุณควรหยุดรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนชั่วคราว และติดตามอาการของคุณ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ และวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง
คนที่มีภาวะพร่องไทรอยด์
ไซยาโนเจนไกลโคไซด์ในมะละกอ ไม่เพียงส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเท่านั้น แต่ยังรบกวนการสังเคราะห์ และการเผาผลาญไอโอดีนในร่างกาย ทำให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้นในผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่กินมะละกอมากเกินไปเท่านั้น
คนที่เป็นโรคโลหิตจาง
ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอ เพราะมะละกอมีคุณสมบัติในการทำให้เลือดจางได้ ดังนั้นหากคุณกำลังใช้ยาลดความอ้วน หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ให้หลีกเลี่ยงมะละกอ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านการแข็งตัวของเลือด
คนที่มีปัญหาเรื่องท้องไส้
มะละกอสุกมักช่วยสนับสนุนการย่อยอาหาร ลดอาการอาหารไม่ย่อยและท้องผูก อย่างไรก็ตาม การกินมะละกอมากเกินไป อาจทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหารได้ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด เหตุผลก็คือปริมาณเส้นใย และเรซินในมะละกอ อาจทำให้กระเพาะอาหารกระตุก และกระตุ้นกระเพาะอาหารทำให้อาเจียนได้ ดังนั้นหากมีปัญหาเรื่องกระเพาะ ให้บริโภคมะละกอในปริมาณที่พอเหมาะ และติดตามปฏิกิริยาของร่างกาย
คนที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี
มะละกอถือเป็นยารักษาอาการท้องผูกตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีเส้นใยสูง อย่างไรก็ตาม การใช้มะละกอมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาทางเดินอาหารอยู่แล้ว อาจทำให้อุจจาระแข็งและท้องผูกได้ สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย การกินมะละกอมากเกินไปอาจทำให้ภาวะขาดน้ำแย่ลงได้ ดังนั้นหากคุณมีปัญหาในการย่อยอาหาร ต้องพิจารณาการบริโภคมะละกออย่างรอบคอบ และปรับการบริโภคให้เหมาะสม
คนที่มีอาการท้องร่วง
เช่นเดียวกับผลไม้ที่มีเส้นใยสูง มะละกอไม่สามารถรับประทานมากเกินไปในช่วงที่มีอาการท้องร่วงได้ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ คุณจะตกอยู่ในภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง.
ที่มาและภาพ : Soha...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4258400/
ปัญหาสุขภาพ “ตับ” ร้ายแรงหรือไม่, ย้อมสีผมอย่างปลอดภัย, ใครบ้างที่ไม่ควรกิน “มะละกอ”
4 วิธีเช็กสุขภาพตับง่ายๆ ที่บ้าน
1. ตาและผิวเหลือง
แพทย์แนะนำให้สังเกต “ตาและผิวที่เหลือง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในแสงธรรมชาติ” ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการทำงานผิดปกติของตับ
2. ปัสสาวะสีเหลืองเข้มหรือสีอำพัน
โดยปกติปัสสาวะควรเป็นสีเหลืองอ่อน หากมีสีเหลืองเข้มหรือสีอำพัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาตับ
3. อาการบวมบริเวณช่วงท้อง
อาการบวมบริเวณช่วงกลางลำตัวอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการสะสมของของเหลว ซึ่งเกิดจากปัญหาตับ
4. อุจจาระสีซีดหรือสีคล้ายดินเหนียว
การสังเกตสีของอุจจาระเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอุจจาระที่มีสีซีดหรือคล้ายดินเหนียว อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับทำงานผิดปกติ
ลดความเสี่ยงโรคตับ
แม้ว่าบางโรคตับไม่สามารถป้องกันได้ แต่การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์สามารถลดความเสี่ยงของโรคตับบางชนิดได้
ประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์
หากกังวลเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ ดร.โดนัลด์ แกรนท์ แพทย์ทั่วไปและที่ปรึกษาคลินิกอาวุโส แนะนำคำถามสำคัญที่ควรถามตัวเอง “ฉันมักดื่มมากกว่าที่ตั้งใจไว้หรือไม่?”
หากคำตอบคือใช่ นั่นอาจเป็นสัญญาณของการพึ่งพาแอลกอฮอล์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การพยายามดื่มเพียงแก้วเดียวแล้วรู้สึกลำบาก อาจบ่งบอกถึงการพึ่งพาในเชิงจิตใจ ซึ่งเป็นอาการหลักที่พบในผู้ติดแอลกอฮอล์หลายคน...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4262920/
เช็กลิสต์12ข้อ ย้อมสีผมอย่างปลอดภัย
การทำสีผม ย้อมผม เพื่อปกปิดผมขาวหรือสร้างความสดใสให้ตัวเอง เป็นที่นิยมอย่างมากมาก แต่การย้อมหรือทำสีผมอาจทำให้เส้นผมหยาบกระด้าง ผมเสีย หรือผมขาดง่าย รวมถึงอาจมีผลต่อหนังศรีษะ ซึ่งเป็นผลจากสารเคมีที่ใช้ย้อมผม
สีผมเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของการเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ การทำสีผม ย้อมผม เพื่อปกปิดผมขาวหรือสร้างความสดใสให้ตัวเอง จึงเป็นที่นิยมมาก แต่การย้อมหรือทำสีผมอาจทำให้เส้นผมหยาบกระด้าง ผมเสีย หรือผมขาดง่าย รวมถึงอาจส่งผลต่อหนังศรีษะ ซึ่งเป็นผลจากสารเคมีที่ใช้ย้อมผมนั่นเอง
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับข้อควรระวังและวิธีทำสีผมอย่างไรให้ร่างกายปลอดภัยจากผลข้างเคียง โดยผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด แบ่งเป็น 3 ชนิด
1. ผลิตภัณฑ์ย้อมผมชนิดชั่วคราว มีส่วนประกอบของสีที่มีโมเลกุลใหญ่ ใช้เคลือบบริเวณชั้นนอกของเส้นผม ล้างออกได้ด้วยการสระผม 1-2 ครั้ง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชื่อ คัลเลอร์ รินส์ (Color Rinse) ดินสอทาสีผม (Hair Crayons) และสีพ่นสำหรับผม
2. ผลิตภัณฑ์ย้อมผมชนิดกึ่งถาวร มีส่วนประกอบของสีที่มีโมเลกุลเล็ก สามารถซึมเข้าไปถึงชั้นกลางของเส้นผม สีจะติดคงทนได้นานประมาณ 3-5 สัปดาห์ ได้แก่ แชมพูย้อมสีผม โลชั่น และโฟมย้อมสีผม
3. ผลิตภัณฑ์ย้อมผมชนิดถาวร จะติดทนบนเส้นผมอย่างถาวร และทนทานต่อการสระด้วยแชมพู ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทเคลือบสีผม สีจะสะสมบนชั้นนอกของเส้นผม และประเภทซึมเข้าในเส้นผม
ข้อควรระวัง
1.เลือกยาย้อมผมที่ปลอดภัย ควรเลือกยาย้อมผมที่มีคุณภาพ และมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรสังเกตจากฉลากว่ามีการระบุข้อความที่จำเป็น อาทิ เลขที่ใบรับแจ้งของ อย. ชื่อของสารที่เป็นส่วนประกอบ วิธีใช้ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและวันหมดอายุ
อย่าเลือกยาย้อมผม เพียงเพราะนำเข้ามาจากต่างประเทศหรือเป็นสมุนไพร เพราะสารหลายชนิดในยาย้อมผมเป็นสารที่ต้องควบคุมประมาณการใช้ หรือเป็นสารที่ห้ามใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
2.ควรอ่านฉลากและปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุไว้ในฉลากให้ถูกต้อง และให้ระวังคำเตือนที่ระบุไว้ที่ฉลากด้วย เช่น มีสารพาราฟินีลีนไดอะมีนส์ (Paraphenylenediamine; PPD) อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ ระวังอย่าให้เข้าตา สวมถุงมือที่เหมาะสมขณะใช้ อย่าย้อมผมถ้ามีผื่นหรือแผลที่หนังศีรษะ
3.หากสงสัยว่าอาจมีการแพ้ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการทดสอบ patch test
4.ควรสวมถุงมือทุกครั้งเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผม แต่ในช่างย้อมผมที่มีการแพ้สารพาราฟินีลีนไดอะมีนส์ ควรใช้ถุงมือไนไตร เพราะสารพาราฟินีลีนไดอะมีนส์ และสารอื่นบางชนิดในยาย้อมผมสามารถทะลุถุงมือยางธรรมดาได้
5.ไม่ควรปล่อยให้สีย้อมอยู่บนเส้นผมหรือหนังศีรษะนานกว่าที่ฉลากระบุไว้ เพราะสารเคมีอาจทำให้เส้นผมขาดหรืออาจซึมผ่านหนังศีรษะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีโอกาสเกิดการแพ้ได้มากขึ้น หรือเกิดอันตรายแก่ร่างกาย
6.สระผมให้สะอาด อย่าให้มีสีผมค้างที่เส้นผมหรือหนังศีรษะหลังจากย้อมผมแล้ว เพราะอาจเกิดการระคายเคืองหรือทำให้เส้นผมขาดง่าย
7.ควรใช้ครีมนวดผมที่มีคุณภาพดี อาทิ ครีมนวดผมที่มีส่วนประกอบของไดเมทิโคน (Dimethicone) หรือโพลีเมอร์ (Polymer) จะช่วยลดการเสียดสีของผมและช่วยทำให้ผมไม่แห้งขาดง่าย
8.ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น มีผื่นคันที่หนังศีรษะหรือที่ตัว หลังจากใช้ยาย้อมผม ควรหยุดใช้ทันทีและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
9.ไม่ควรย้อมผมในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตรหรือเด็กเล็ก
10.ไม่ควรย้อมผมหรือทำสีผมบ่อยจนเกินไป เนื่องจากความร้อน หรือสารเคมี จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในเส้นผมและเปลือกผมถูกทำลาย ทำให้เส้นผมขาดง่าย หรือหยาบกระด้าง ถ้ามีอาการ
11.ห้ามใช้เมื่อหนังศีรษะมีรอยถลอก เป็นแผล หรือโรคผิวหนัง
12.ไม่ควรเกาศีรษะอย่างแรงขณะย้อมผม เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
วิธีแก้ไขถ้าแพ้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ย้อมผม
1.ให้ล้างหนังศีรษะและผมด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือแชมพูอ่อนๆ เพื่อล้างผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่ยังเหลืออยู่หมดไป หรือให้เหลือน้อยที่สุด
2.ใช้สารละลายเจือจางของด่างทับทิม 1 ส่วน ต่อน้ำ 5,000 ส่วน เพื่อชะล้างสารเคมีให้หมดจากเส้นผม
3.หากอาการไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป โดยนำฉลาก ซอง หรือกล่องผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไปด้วย...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4262472/
ใครบ้างที่ไม่ควรกิน “มะละกอ”
"มะละกอ" ผลไม้ยอดนิยม และเป็นส่วนประกอบสำคัญของ "ส้มตำ" มีคุณค่าสูง ดีต่อสุขภาพ แต่ก็มีคนอีกหลายกลุ่มที่ไม่ควรกินมัน…
“มะละกอ” ผลไม้ยอดนิยมของคนไทย รับประทานตอนสุกมีรสชาติหวานอร่อยมาก ส่วนตอนดิบก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารประจำชาติอย่าง “ส้มตำ” เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อสุขภาพ
มะละกออุดมไปด้วยวิตามิน A, B, C, E และ K พร้อมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น โฟเลต แมกนีเซียม ทองแดง และแคลเซียม นอกจากนี้ มะละกอยังมีไฟเบอร์ อัลฟ่า เบต้าแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทีน โพแทสเซียม และไลโคปีน ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม
แม้จะเป็นผลไม้ที่อร่อย และมีคุณค่าสูง แต่คนไทยขาดแทบไม่ได้ เพราะเป็นวัตถุดิบหลักของ “ส้มตำ” แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มคนที่ไม่ควรกินผลไม้ชนิดนี้ เพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกาย หากคุณอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการกิน “มะละกอ” รวมทั้งต้องระมัดระวังในการกินส้มตำ
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ควรกิน “มะละกอ”
คนที่เป็นโรคนิ่วในไต
มะละกอมีวิตามินซีจำนวนมาก มะละกอ 100 กรัม มีวิตามินซี 60.9 มก. ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน แต่การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดนิ่วในไต หรือทำให้อาการแย่ลงในผู้ที่เป็นโรคอยู่แล้ว
คนที่เป็นโรคภูมิแพ้
หากคุณเป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด หรืออาการแพ้ใดๆ ควรระมัดระวังเมื่อรับประทานมะละกอ บางครั้งละอองเกสรดอกไม้อาจเกาะติดผิวมะละกอได้ ดังนั้นควรสวมถุงมือเมื่อปอกเปลือกมะละกอ ทิ้งเปลือกและถุงมือลงในถังขยะทันที หลังจากปอกเปลือก คุณควรปิดปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดตัวเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ โรคภูมิแพ้มะละกอมักมีอาการดังต่อไปนี้ ปากบวม คันบริเวณใบหน้าและลำคอ ผื่นที่ลิ้น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดท้อง หายใจลำบาก และกลืนลำบาก
คนที่เป็นโรคดีซ่าน
มะละกอสุกมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และให้วิตามินเอ อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนมากเกินไป เช่น มะละกอ ฟักทอง แครอท และมะม่วง อาจทำให้เกิดอาการตัวเหลือง โดยเฉพาะที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และผิวหนังบริเวณอื่นๆ เนื่องจากการสะสมของเบต้าแคโรทีนในร่างกายมากเกินไป เพื่อปรับปรุงอาการนี้ คุณควรหยุดรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนชั่วคราว และติดตามอาการของคุณ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ และวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง
คนที่มีภาวะพร่องไทรอยด์
ไซยาโนเจนไกลโคไซด์ในมะละกอ ไม่เพียงส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเท่านั้น แต่ยังรบกวนการสังเคราะห์ และการเผาผลาญไอโอดีนในร่างกาย ทำให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้นในผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่กินมะละกอมากเกินไปเท่านั้น
คนที่เป็นโรคโลหิตจาง
ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอ เพราะมะละกอมีคุณสมบัติในการทำให้เลือดจางได้ ดังนั้นหากคุณกำลังใช้ยาลดความอ้วน หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ให้หลีกเลี่ยงมะละกอ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านการแข็งตัวของเลือด
คนที่มีปัญหาเรื่องท้องไส้
มะละกอสุกมักช่วยสนับสนุนการย่อยอาหาร ลดอาการอาหารไม่ย่อยและท้องผูก อย่างไรก็ตาม การกินมะละกอมากเกินไป อาจทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหารได้ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด เหตุผลก็คือปริมาณเส้นใย และเรซินในมะละกอ อาจทำให้กระเพาะอาหารกระตุก และกระตุ้นกระเพาะอาหารทำให้อาเจียนได้ ดังนั้นหากมีปัญหาเรื่องกระเพาะ ให้บริโภคมะละกอในปริมาณที่พอเหมาะ และติดตามปฏิกิริยาของร่างกาย
คนที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี
มะละกอถือเป็นยารักษาอาการท้องผูกตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีเส้นใยสูง อย่างไรก็ตาม การใช้มะละกอมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาทางเดินอาหารอยู่แล้ว อาจทำให้อุจจาระแข็งและท้องผูกได้ สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย การกินมะละกอมากเกินไปอาจทำให้ภาวะขาดน้ำแย่ลงได้ ดังนั้นหากคุณมีปัญหาในการย่อยอาหาร ต้องพิจารณาการบริโภคมะละกออย่างรอบคอบ และปรับการบริโภคให้เหมาะสม
คนที่มีอาการท้องร่วง
เช่นเดียวกับผลไม้ที่มีเส้นใยสูง มะละกอไม่สามารถรับประทานมากเกินไปในช่วงที่มีอาการท้องร่วงได้ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ คุณจะตกอยู่ในภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง.
ที่มาและภาพ : Soha...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4258400/