ริดสีดวงทวาร เป็นภาวะที่เกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อและเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก ซึ่งพบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะช่วงอายุ 30–40 ปี หลายคนที่เป็นอาจเคยประสบปัญหา "ริดสีดวงแตก" ซึ่งมักมีเลือดไหลออกมา ทำให้กังวลว่าอาการนี้อันตรายหรือไม่ และควรรักษาอย่างไร
ริดสีดวงทวาร คืออะไร
ริดสีดวงเกิดจากเส้นเลือดบริเวณทวารหนักโป่งพองและเกิดก้อนเนื้อที่ปากทวาร ซึ่งอาจมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการอาจรุนแรงขึ้น
สาเหตุของริดสีดวงแตก
-เบ่งอุจจาระมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดที่โป่งพองอยู่แล้วแตก
-อุจจาระแข็งเกินไป เมื่อถ่ายอุจจาระ ก้อนแข็งจะเสียดสีกับเส้นเลือดจนทำให้แตก
อาการของริดสีดวงแตก
1.เลือดไหลออกจากรูทวาร
2.รู้สึกเจ็บแสบบริเวณทวารหนัก
3.ในบางกรณีอาจมีเลือดไหลไม่หยุด
ริดสีดวงแตก อันตรายไหม?
ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเกิด ภาวะซีดจากการขาดเลือด ซึ่งส่งผลให้หน้ามืด เป็นลม หรือมือเท้าเย็นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออายุมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
วิธีดูแลตัวเองเมื่อริดสีดวงแตก
-ซับเลือดให้สะอาด
-ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าอนามัยซับเลือดที่ไหลออกมา เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่แผล
-งดแช่น้ำอุ่น
แม้การแช่น้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แต่สำหรับริดสีดวงแตก ความร้อนอาจทำให้เลือดไหลมากขึ้น
-ประคบเย็น
-ใช้แผ่นเย็นหรือผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณรอบ ๆ ริดสีดวงครั้งละ 2–3 นาที ทำซ้ำประมาณ 3 รอบ ช่วยลดการอักเสบและเลือดไหล
-ใช้ว่านหางจระเข้บรรเทาอาการ
ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เย็นและช่วยสมานแผล ล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาด แล้วใช้เนื้อวุ้นทาบริเวณริดสีดวง
วิธีป้องกันริดสีดวงแตก
-กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช เพื่อให้อุจจาระนิ่มขึ้น
-ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันละ 8–10 แก้ว
-เลี่ยงการเบ่งอุจจาระแรง ๆ เพราะเพิ่มแรงดันที่ทำให้เลือดไหล
-ไม่ควรนั่งนานเกินไป ลุกเดินบ่อย ๆ เพื่อลดแรงกดทับที่ทวารหนัก
-ดูแลความสะอาด ใช้กระดาษชำระแบบนุ่มหรือชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดก้นหลังถ่าย
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
-ถ้าก้อนริดสีดวงมีขนาดใหญ่ หรือดันกลับเข้าไปไม่ได้
-เลือดไหลไม่หยุด หรือมีเลือดออกปริมาณมาก
-มีอาการเจ็บหรือแผลอักเสบ
-ดูแลตัวเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
ริดสีดวงทวาร ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ การดูแลตัวเองเบื้องต้นและไปพบแพทย์ตามความเหมาะสมจะช่วยให้คุณกลับมาแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว!
อ่านเพิ่มเติม ที่
HDcare Blog
วิธีรับมือกับปัญหาริดสีดวงแตก อาการแบบไหนควรพบแพทย์
ริดสีดวงทวาร คืออะไร
ริดสีดวงเกิดจากเส้นเลือดบริเวณทวารหนักโป่งพองและเกิดก้อนเนื้อที่ปากทวาร ซึ่งอาจมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการอาจรุนแรงขึ้น
สาเหตุของริดสีดวงแตก
-เบ่งอุจจาระมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดที่โป่งพองอยู่แล้วแตก
-อุจจาระแข็งเกินไป เมื่อถ่ายอุจจาระ ก้อนแข็งจะเสียดสีกับเส้นเลือดจนทำให้แตก
อาการของริดสีดวงแตก
1.เลือดไหลออกจากรูทวาร
2.รู้สึกเจ็บแสบบริเวณทวารหนัก
3.ในบางกรณีอาจมีเลือดไหลไม่หยุด
ริดสีดวงแตก อันตรายไหม?
ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเกิด ภาวะซีดจากการขาดเลือด ซึ่งส่งผลให้หน้ามืด เป็นลม หรือมือเท้าเย็นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออายุมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
วิธีดูแลตัวเองเมื่อริดสีดวงแตก
-ซับเลือดให้สะอาด
-ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าอนามัยซับเลือดที่ไหลออกมา เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่แผล
-งดแช่น้ำอุ่น
แม้การแช่น้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แต่สำหรับริดสีดวงแตก ความร้อนอาจทำให้เลือดไหลมากขึ้น
-ประคบเย็น
-ใช้แผ่นเย็นหรือผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณรอบ ๆ ริดสีดวงครั้งละ 2–3 นาที ทำซ้ำประมาณ 3 รอบ ช่วยลดการอักเสบและเลือดไหล
-ใช้ว่านหางจระเข้บรรเทาอาการ
ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เย็นและช่วยสมานแผล ล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาด แล้วใช้เนื้อวุ้นทาบริเวณริดสีดวง
วิธีป้องกันริดสีดวงแตก
-กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช เพื่อให้อุจจาระนิ่มขึ้น
-ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันละ 8–10 แก้ว
-เลี่ยงการเบ่งอุจจาระแรง ๆ เพราะเพิ่มแรงดันที่ทำให้เลือดไหล
-ไม่ควรนั่งนานเกินไป ลุกเดินบ่อย ๆ เพื่อลดแรงกดทับที่ทวารหนัก
-ดูแลความสะอาด ใช้กระดาษชำระแบบนุ่มหรือชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดก้นหลังถ่าย
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
-ถ้าก้อนริดสีดวงมีขนาดใหญ่ หรือดันกลับเข้าไปไม่ได้
-เลือดไหลไม่หยุด หรือมีเลือดออกปริมาณมาก
-มีอาการเจ็บหรือแผลอักเสบ
-ดูแลตัวเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
ริดสีดวงทวาร ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ การดูแลตัวเองเบื้องต้นและไปพบแพทย์ตามความเหมาะสมจะช่วยให้คุณกลับมาแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว!
อ่านเพิ่มเติม ที่ HDcare Blog