เศรษฐกิจไทยปี 68 ส่อนิ่งยาว ห่วงกระทบตัวเลขว่างงานพุ่ง
https://www.tnnthailand.com/news/economy/183245/
ทิศทางการจ้างงาน ปี 2568 เศรษฐกิจอยู่ในสภาวะนิ่งยาวอย่างน้อยครึ่งปี กระทบการว่างงานพุ่งแน่ ตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงไตรมาสแรกปีหน้า
ดร.
ธนิต โสรัตน์ ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ และรองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการจ้างงาน ปี 2568 ว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยปี 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงอย่างน้อยครึ่งปี 2568
เศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะค่อนข้างนิ่ง ด้วยสภาวะแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมอัตราว่างงานไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ไปจนถึงไตรมาสแรกปี 2568 อาจมีผู้ว่างงานมากขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดแรงงานและการจ้างงานนั้น ดร.ธนิต ระบุว่า การขยายตัวหรือหดตัวทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานอย่างเป็นนัย หากภาวะเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้ดี จะทำให้เกิดการบริโภค ตามด้วยการขยายกิจการและการลงทุนส่งผลต่อเสถียรภาพการจ้างงาน
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจ้างงาน เช่น การขับเคลื่อนการส่งออก ซึ่งเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย โซ่อุปทานการส่งออกเกี่ยวข้องตั้งแต่อุตสาหกรรมนำเข้า-อุตสาหกรรมผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ รวมถึงภาคเกษตรกรรมและภาคโลจิสติกส์
ขณะที่อัตราการว่างงานนั้น จากข้อมูลตลาดแรงงานของไทย ณ เดือนตุลาคม 2567 พบว่า มีจำนวนผู้มีงานทำ 39.63 ล้านคน โดยมีผู้ว่างงานประมาณ 387,000 - 390,000 คน ซึ่งอัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 0.97 – 1 โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 41.3 ของผู้ว่างงานจบระดับอุดมศึกษาและสูงกว่า
อีกทั้งผู้ว่างงานใหม่ซึ่งไม่เคยทำงานมาก่อน มีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของผู้ว่างงานทั้งหมดรวมกัน อัตราว่างงานของไทยอาจไม่สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากยังไม่รวมผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อวันจำนวนประมาณ 184,000 คน คิดเป็นร้อยละ 0.46 ของผู้มีงานทำ
ด้านอัตราการว่างงานของแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ณ เดือนตุลาคม 2567 มีจำนวน 216,213 คนสัดส่วนร้อยละ 1.8 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 อัตราการว่างงานร้อยละ 1.93 ในจำนวนนี้มีผู้ที่ว่างงานรายใหม่จำนวน 75,885 คน สูงสุดในรอบ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอัตราว่างงานไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ไปจนถึงไตรมาสแรกปี 2568 อาจมีผู้ว่างงานมากขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะนิ่ง การจ้างงานใหม่ชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากขาดสภาพคล่องจนต้องเข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้
กกร. แสดงจุดยืน ชง 7 ข้อเสนอค้านขึ้นค่าแรง 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1156994
ข้อเสนอจุดยืนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ชง 7 ข้อเสนอ ต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย
นาย
สนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความผันผวนและเปราะบางจากภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อประเทศและภาคธุรกิจไทยให้เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน
ดังนั้น กกร. จึงขอเสนอแนะแนวทางการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงบริบททางเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.) สถานการณ์สภาพเศรษฐกิจต่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ กกร. เห็นว่า การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศนั้นไม่สอดคล้อง กับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่จังหวัด ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการจ้างงานของทุกภาคส่วนที่ใช้แรงงานทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการภาคเกษตร ภาคบริการ และภาคธุรกิจในทุกระดับ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย
อีกทั้งจากผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ มากกว่าร้อยละ 90 ไม่ เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ และร้อยละ 30 มี มติไม่ขอปรับขึ้นค่าจ้าง โดยทั้งนี้คณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดมีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าจ้าง ตามตัวแปรปัจจัยทางเศรษฐกิจและความสามารถของแต่ละจังหวัด
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ ต้องการที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น หากคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีกลางจะพิจารณาในทิศทางที่แตกต่างและไม่สอดคล้องตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ควรมีหลักการสูตรคำนวณและเหตุผลที่ชัดเจน โปร่งใสที่สามารถชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไตรภาคีจังหวัด และ ผู้ประกอบการ/นายจ้างผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมากได้
นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังขยายตัวรุนแรงและความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างประเทศของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาทิ สหรัฐอเมริกาซึ่งประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้า ยิ่งเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจ เกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อภาคธุรกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2.) เหตุผลและข้อกังวลต่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
• ความแตกต่างระหว่างพื้นที่ เศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดของประเทศไทย มีระดับการพัฒนา โครงสร้างเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค การกำหนด อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และ ก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้ประกอบการและประชาชนในหลายพื้นที่
• ผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคเกษตร ภาคบริการ และภาคธุรกิจในทุกระดับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจ้างงาน ทั้งนี้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างก้าวกระโดด จะส่งผล กระทบต่อต้นทุนการผลิต ความสามารถในการแข่งขัน และการจ้างงาน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวในปัจจุบัน
• ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ยังคงมีความเปราะบางและความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ อาทิ สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
3.) ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
• การเลิกจ้างและลดการจ้างงาน : ผู้ประกอบการที่มีการใช้แรงงานจะต้องลดจำนวนพนักงาน หรือชะลอการจ้างงานใหม่ เพื่อลดต้นทุน หรือหยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ และปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อ ลดต้นทุนให้อยู่รอด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอัตราการว่างงานของ ประเทศ
• การย้ายฐานการผลิต ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศ จะไม่สามารถแบกรับต้นทุน และอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศ เพื่อนบ้านที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการ แข่งขันของเศรษฐกิจไทยในที่สุด
• เงินเฟ้อ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนที่ไม่ได้ประโยชน์จากการปรับค่าแรงขั้นต่ำจะต้อง แบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นทันที
4.) จุดยืนและข้อเสนอแนะต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย
กกร. ขอแสดงจุดยืนและข้อเสนอแนะต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ของประเทศไทย โดยให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ดังนี้
4.1 กกร. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต้องคำนึงถึงมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จังหวัดและการปรับที่ไม่คำนึงถึงตัวเลขที่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจตามที่กฎหมายก าหนดนั้น ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม (The Rule of Law) ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ใช้ แรงงานทุกประเภท หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ หรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อลดต้นทุนให้อยู่รอด เป็นต้น
4.2 กกร. มีความคิดเห็นว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั้น ควรใช้กลไกคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ซึ่งควรจะต้องสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการ พิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งได้ศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นโดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุน การผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวม และสภาพทาง เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความสามารถของประเภทกิจการ/อุตสาหกรรมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะท าให้เกิดความสมดุลและเป็นธรรมโดยทั่วกัน
4.3 กกร. มีความคิดเห็นว่าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ควรจะปรับเมื่อมีเหตุจำเป็นและปัจจัยทางเศรษฐกิจบ่งชี้แต่ไม่ควรเกินปี ละ 1 ครั้งเท่านั้น และจะต้องดำเนินการตามกระบวนการ/ขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
4.4 หากรัฐบาลมีนโยบายต้องการที่จะพิจารณาปรับค่าจ้างแบบจำเพาะนั้น ก็ควร มีการศึกษาความพร้อมของแต่ละประเภทกิจการหรืออุตสาหกรรม ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใน ห่วงโซ่อุปทาน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของผู้ประกอบการประเภทกิจการในแต่ละภูมิภาค ตลอดจนข้อจำกัด ข้อได้เปรียบเสียเปรียบ และศักยภาพในการแข่งขันของแต่ละประเภทกิจการ และอุตสาหกรรม เป็นต้น
5.กกร. สนับสนุนการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝี มือแรงงาน และให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถ ลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน
6.กกร. สนับสนุนให้เร่งรัดการประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝี มือให้ครบตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติซึ่ง 280 สาขา จากปัจจุบันที่มีการประกาศไว้เพียง 129 สาขา พร้อมทั้งให้มีการขยายสาขาอาชีพมาตรฐานฝีมือรวมทั้งอัตราค่าจ้างตามาร ฐานฝีมือให้ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับแรงงานไทย
7.กกร. ขอให้รัฐบาลมีมาตรการดูแลค่าครองชีพเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนเร่งรัดมาตรการเยียวยา ผู้ประกอบการ โดยการส่งเสริมมาตรการทางภาษี มาตรการลดเงินสมทบประกันสังคม มาตรการส่งเสริมการปรับปรุงเครื่องมือและเครื่องจักร มาตรการส่งเสริมและพัฒนาฝีมือแรงงาน ฯลฯ เพื่อลดผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เป็นต้น
คณะกรรมการ กกร. เชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมภายใต้กรอบกฎหมาย และตามมติของคณะอนุกรรมการ พิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนข้อเท็จจริงจากพื้นที่จังหวัด จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนทุกภาคส่วน
JJNY : ศก.ไทยปี 68 ส่อนิ่งยาว│"กกร."ชง 7 ข้อเสนอค้านขึ้นค่าแรง│โคราชน่าห่วง เขื่อนลำตะคอง│ชาวเกาหลีใต้เดินหน้าประท้วงต่อ
https://www.tnnthailand.com/news/economy/183245/
ทิศทางการจ้างงาน ปี 2568 เศรษฐกิจอยู่ในสภาวะนิ่งยาวอย่างน้อยครึ่งปี กระทบการว่างงานพุ่งแน่ ตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงไตรมาสแรกปีหน้า
ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ และรองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการจ้างงาน ปี 2568 ว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยปี 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงอย่างน้อยครึ่งปี 2568
เศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะค่อนข้างนิ่ง ด้วยสภาวะแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมอัตราว่างงานไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ไปจนถึงไตรมาสแรกปี 2568 อาจมีผู้ว่างงานมากขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดแรงงานและการจ้างงานนั้น ดร.ธนิต ระบุว่า การขยายตัวหรือหดตัวทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานอย่างเป็นนัย หากภาวะเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้ดี จะทำให้เกิดการบริโภค ตามด้วยการขยายกิจการและการลงทุนส่งผลต่อเสถียรภาพการจ้างงาน
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจ้างงาน เช่น การขับเคลื่อนการส่งออก ซึ่งเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย โซ่อุปทานการส่งออกเกี่ยวข้องตั้งแต่อุตสาหกรรมนำเข้า-อุตสาหกรรมผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ รวมถึงภาคเกษตรกรรมและภาคโลจิสติกส์
ขณะที่อัตราการว่างงานนั้น จากข้อมูลตลาดแรงงานของไทย ณ เดือนตุลาคม 2567 พบว่า มีจำนวนผู้มีงานทำ 39.63 ล้านคน โดยมีผู้ว่างงานประมาณ 387,000 - 390,000 คน ซึ่งอัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 0.97 – 1 โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 41.3 ของผู้ว่างงานจบระดับอุดมศึกษาและสูงกว่า
อีกทั้งผู้ว่างงานใหม่ซึ่งไม่เคยทำงานมาก่อน มีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของผู้ว่างงานทั้งหมดรวมกัน อัตราว่างงานของไทยอาจไม่สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากยังไม่รวมผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อวันจำนวนประมาณ 184,000 คน คิดเป็นร้อยละ 0.46 ของผู้มีงานทำ
ด้านอัตราการว่างงานของแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ณ เดือนตุลาคม 2567 มีจำนวน 216,213 คนสัดส่วนร้อยละ 1.8 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 อัตราการว่างงานร้อยละ 1.93 ในจำนวนนี้มีผู้ที่ว่างงานรายใหม่จำนวน 75,885 คน สูงสุดในรอบ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอัตราว่างงานไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ไปจนถึงไตรมาสแรกปี 2568 อาจมีผู้ว่างงานมากขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะนิ่ง การจ้างงานใหม่ชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากขาดสภาพคล่องจนต้องเข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้
กกร. แสดงจุดยืน ชง 7 ข้อเสนอค้านขึ้นค่าแรง 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1156994
ข้อเสนอจุดยืนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ชง 7 ข้อเสนอ ต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความผันผวนและเปราะบางจากภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อประเทศและภาคธุรกิจไทยให้เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน
ดังนั้น กกร. จึงขอเสนอแนะแนวทางการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงบริบททางเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.) สถานการณ์สภาพเศรษฐกิจต่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ กกร. เห็นว่า การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศนั้นไม่สอดคล้อง กับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่จังหวัด ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการจ้างงานของทุกภาคส่วนที่ใช้แรงงานทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการภาคเกษตร ภาคบริการ และภาคธุรกิจในทุกระดับ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย
อีกทั้งจากผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ มากกว่าร้อยละ 90 ไม่ เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ และร้อยละ 30 มี มติไม่ขอปรับขึ้นค่าจ้าง โดยทั้งนี้คณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดมีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าจ้าง ตามตัวแปรปัจจัยทางเศรษฐกิจและความสามารถของแต่ละจังหวัด
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ ต้องการที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น หากคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีกลางจะพิจารณาในทิศทางที่แตกต่างและไม่สอดคล้องตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ควรมีหลักการสูตรคำนวณและเหตุผลที่ชัดเจน โปร่งใสที่สามารถชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไตรภาคีจังหวัด และ ผู้ประกอบการ/นายจ้างผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมากได้
นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังขยายตัวรุนแรงและความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างประเทศของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาทิ สหรัฐอเมริกาซึ่งประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้า ยิ่งเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจ เกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อภาคธุรกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2.) เหตุผลและข้อกังวลต่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
• ความแตกต่างระหว่างพื้นที่ เศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดของประเทศไทย มีระดับการพัฒนา โครงสร้างเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค การกำหนด อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และ ก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้ประกอบการและประชาชนในหลายพื้นที่
• ผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคเกษตร ภาคบริการ และภาคธุรกิจในทุกระดับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจ้างงาน ทั้งนี้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างก้าวกระโดด จะส่งผล กระทบต่อต้นทุนการผลิต ความสามารถในการแข่งขัน และการจ้างงาน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวในปัจจุบัน
• ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ยังคงมีความเปราะบางและความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ อาทิ สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
3.) ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
• การเลิกจ้างและลดการจ้างงาน : ผู้ประกอบการที่มีการใช้แรงงานจะต้องลดจำนวนพนักงาน หรือชะลอการจ้างงานใหม่ เพื่อลดต้นทุน หรือหยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ และปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อ ลดต้นทุนให้อยู่รอด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอัตราการว่างงานของ ประเทศ
• การย้ายฐานการผลิต ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศ จะไม่สามารถแบกรับต้นทุน และอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศ เพื่อนบ้านที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการ แข่งขันของเศรษฐกิจไทยในที่สุด
• เงินเฟ้อ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนที่ไม่ได้ประโยชน์จากการปรับค่าแรงขั้นต่ำจะต้อง แบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นทันที
4.) จุดยืนและข้อเสนอแนะต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย
กกร. ขอแสดงจุดยืนและข้อเสนอแนะต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ของประเทศไทย โดยให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ดังนี้
4.1 กกร. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต้องคำนึงถึงมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จังหวัดและการปรับที่ไม่คำนึงถึงตัวเลขที่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจตามที่กฎหมายก าหนดนั้น ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม (The Rule of Law) ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ใช้ แรงงานทุกประเภท หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ หรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อลดต้นทุนให้อยู่รอด เป็นต้น
4.2 กกร. มีความคิดเห็นว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั้น ควรใช้กลไกคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ซึ่งควรจะต้องสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการ พิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งได้ศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นโดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุน การผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวม และสภาพทาง เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความสามารถของประเภทกิจการ/อุตสาหกรรมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะท าให้เกิดความสมดุลและเป็นธรรมโดยทั่วกัน
4.3 กกร. มีความคิดเห็นว่าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ควรจะปรับเมื่อมีเหตุจำเป็นและปัจจัยทางเศรษฐกิจบ่งชี้แต่ไม่ควรเกินปี ละ 1 ครั้งเท่านั้น และจะต้องดำเนินการตามกระบวนการ/ขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
4.4 หากรัฐบาลมีนโยบายต้องการที่จะพิจารณาปรับค่าจ้างแบบจำเพาะนั้น ก็ควร มีการศึกษาความพร้อมของแต่ละประเภทกิจการหรืออุตสาหกรรม ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใน ห่วงโซ่อุปทาน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของผู้ประกอบการประเภทกิจการในแต่ละภูมิภาค ตลอดจนข้อจำกัด ข้อได้เปรียบเสียเปรียบ และศักยภาพในการแข่งขันของแต่ละประเภทกิจการ และอุตสาหกรรม เป็นต้น
5.กกร. สนับสนุนการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝี มือแรงงาน และให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถ ลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน
6.กกร. สนับสนุนให้เร่งรัดการประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝี มือให้ครบตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติซึ่ง 280 สาขา จากปัจจุบันที่มีการประกาศไว้เพียง 129 สาขา พร้อมทั้งให้มีการขยายสาขาอาชีพมาตรฐานฝีมือรวมทั้งอัตราค่าจ้างตามาร ฐานฝีมือให้ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับแรงงานไทย
7.กกร. ขอให้รัฐบาลมีมาตรการดูแลค่าครองชีพเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนเร่งรัดมาตรการเยียวยา ผู้ประกอบการ โดยการส่งเสริมมาตรการทางภาษี มาตรการลดเงินสมทบประกันสังคม มาตรการส่งเสริมการปรับปรุงเครื่องมือและเครื่องจักร มาตรการส่งเสริมและพัฒนาฝีมือแรงงาน ฯลฯ เพื่อลดผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เป็นต้น
คณะกรรมการ กกร. เชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมภายใต้กรอบกฎหมาย และตามมติของคณะอนุกรรมการ พิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนข้อเท็จจริงจากพื้นที่จังหวัด จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนทุกภาคส่วน