ก็คือไม่เอาอภิธรรม
ว่าจะไม่จด แต่พอฟังแล้ว ก็ต้องจดคำสอนของอาจารย์ครับ เพราะน่าอ่านและพิจารณาได้หลายๆเที่ยวครับ

อ้าทีนี้พอเราเข้าใจที่มาของอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์แล้ว
เราก็มาดูความหมายของอภิธรรมสักนิดนึง
นะครับ ความหมาย ความหมายของอภิธรรม นะความหมาย
อภิธรรมะ อภิธรรมะ ปิตะกะ นะ
ภาษาบาลี นะครับ ความหมายก็ต้องใช้คำบาลีเป็น อภิธรรมะ ปิฏะกะ อย่างนี้นะครับ
ก็คำว่า อภิธรรมะในอภิธรรมปิฎกเนี่ย ถ้าพูดโดยคร่าวๆหรือโดยคำแปล
อ่าโดยอรรถก่อน อภิธรรมะเนี่ยจะให้แปลอยู่สองความหมายด้วยกัน
อภิธรรมะมีความหมายเท่ากับ ธัมมาติเรกะ ก็คือธรรมะบวกกับอดิเรกนั่นเอง ก็คือมันไม่ใช่หนึ่ง
ไม่ใช่นัยเดียว ไม่เหมือนในเชิงสุตันตปิฎก
คือด้านธรรมมะจะแบ่งเป็น 2 ก็คือ สุตันตะ กับ อภิธรรมะ นะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าอย่างเดียวก็คือ ว่าโดยรส
ว่าโดยกิจหน้าที่ก็คือ วิมุตติ วิมุตติรส
ถ้าแบ่งเป็นสองก็ ธรรมะ กับ วินัย
ในธรรมมะเนี่ยก็คือแบ่งเป็น สุตันตะ กับ อภิธรรม นะ
สุตตันตะ ปกติแล้วท่านจะแสดงโดยปริยาย โดยแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเงื่อนไข โดยกรณะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า อะเนกะปริยาย นะก็คือ แสดงโดยเอนกปริยาย
ปริยายที่หลากหลาย ส่วนอภิธรรมนี้เป็น ธรรมาติเลขะ ก็คือ มีมากกว่าหนึ่งนัย นะแสดงโดยครบถ้วนสมบูรณ์ หรือบางทีก็เรียกว่า โดย นิปปริยาย
ฉนั้นถ้าแบ่งทางสุตตันตะเนี่ย สุตตันตะ สุตตันตะนี้แสดงโดย ปริยาย ก็คือ โดยแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่งนะ เวลาที่เค้าฟังพระสูตรจบลงเนี่ยเขาก็จะยกย่องคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์แสดงธรรมโดย อเนกปริยาย นะโดย อเนกปริยาย
ก็คือโดยแง่มุมที่หลากหลาย อย่างเงี้ยนะ
ส่วนทางอภิธรรมเนี่ย อภิธรรมก็จะเป็น นิปปริยาย อ่า
ก็คือไม่ได้แสดงโดยแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง หรือหลักใดหลักหนึ่ง เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เรียกว่าแสดง ธรรมที่ครอบคลุมครบถ้วนสมบูรณ์ธรรมะมีเท่าไหร่ก็แสดงเท่านั้นเลย ไม่ได้แสดงเข้าไปเกียวเนื่องกับเงื่อนไขอะไร
ส่วนทางสุตตันตะ ก็แสดงเกี่ยวเนื่องกับเงื่อนไขต่างๆ เรียกว่า โดยปริยาย
ถ้าอภิธรรมก็นิปปริยาย นะฮะ
บางทีภาษาไทยเราก็ ปริยายก็คือโดยอ้อม นะ โดยอ้อม
ถ้า นิปปริยาย ก็คือ โดยตรง นะ
แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่โดยอ้อมจริงๆ ก็คือ อาศัยเงื่อนไขต่างๆ อาสัยลักษณะอินทรีย์ของผู้ฟัง
เงื่อนไขต่างๆหลากหลาย โดยลักษณะ ก็ทั่วไปก็คือ อาศัยการที่บุคคลนั้นจะบรรลุธรรม จะเข้าใจธรรมะเป็นหลักนะ อย่างนี้
ฉนั้น ถ้าเราไปอ่านบางทีก็อาจจะตีความผิดได้ในแง่ เราอาจจะอินทรีย์ไม่เท่ากับคนนั้น นะฮะ อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า ทางสุตตันตะ โดยปริยาย โดยแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง
คือมีเงื่อนไขต่างๆแวดล้อมอยู่
ส่วนอภิธรรมะ มีนิปปริยาย คือธรรมะมีเท่าไหร่แสดงเท่านั้น แสดงแบบนี้เรียกว่า ธรรมาติเรกะ
ธรรมะอดิเรกนั่นเอง
อีกความหมายหนึ่งเวลาให้แปล นะก็แปลว่า ธรรมะวิเสสะ ก็ได้ ธรรมะวิเสษ ธรรมะวิเสษสะ อ่า
วิเศษ ก็คือ พิเศษ
พิเศษ คือ ไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่เหมือนชาวบ้านไม่เหมือนใคร ก็ไม่เหมือนสุตตันตะนั่นแหละนะ
อย่างนี้ทำนองนี้นะครับ
ธรรมะวิเศษ คือแสดงธรรมอีกแบบหนึ่งพิเศษหรือต่างหากจากแนวสูตรต่างๆนั่นเองอย่างนี้นะครับ
ฉนั้นจะเข้าใจอภิธรรมได้ดีก็เทียบกับสูตรต่างๆนั่นแหละ ก็คือเทียบกับพระสูตร
พระสูตร แสดงปริยาย แง่มุมนั้น แง่มุมนี้ แง่มุมกับบุคคลบ้าง กับอินทรีย์ของผู้ฟังบ้าง นะใช้คำที่หลากหลาย
ส่วนอภิธรรมเนี่ย เขามีคำเฉพาะของเค้าก็คือใช้คำที่เป็น มาติกา หรือ ศัพท์วิชาการ นะ
ถ้าเป็นสุตตันตะบางทีใช้คำพูดของชาวบ้านมาแสดง เช่น บุญทาน หรือคำอื่นๆ
คนก็เข้าใจง่าย
ส่วนบุญเนี่ยอภิธรรมเขาไม่มี ก็มี กุศล ไปเลย อกุศลไปเลย อัพพยากตไปเลย อย่างนี้เป็นต้นนะ ก็คือเขาใช้ศัพท์ทางวิชาการนะ แน่นอนว่าจะเข้าใจยากกว่าทางสุตตันตะสักหน่อย นะอ่า ทางสุตตันตะก็มีบุญมีบาป อย่างเงี้ยนะทำนองนี้นะครับ
ก็เวลาแปลก็อภิธรรมก็ ธรรมาติเรกะ หรือธรรมวิเสษสะก็ได้นะครับ
แต่ความหมายที่ลึกซึ้งลงไปของอภิธรรมนี้ก็ต้องวิเคราะห์ความหมายของคำว่าอภิเข้าไป
ไม่เอาความเจริญ ไม่เอาความงอกงาม ไม่เอาสูง
ว่าจะไม่จด แต่พอฟังแล้ว ก็ต้องจดคำสอนของอาจารย์ครับ เพราะน่าอ่านและพิจารณาได้หลายๆเที่ยวครับ
อ้าทีนี้พอเราเข้าใจที่มาของอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์แล้ว
เราก็มาดูความหมายของอภิธรรมสักนิดนึง
นะครับ ความหมาย ความหมายของอภิธรรม นะความหมาย
อภิธรรมะ อภิธรรมะ ปิตะกะ นะ
ภาษาบาลี นะครับ ความหมายก็ต้องใช้คำบาลีเป็น อภิธรรมะ ปิฏะกะ อย่างนี้นะครับ
ก็คำว่า อภิธรรมะในอภิธรรมปิฎกเนี่ย ถ้าพูดโดยคร่าวๆหรือโดยคำแปล
อ่าโดยอรรถก่อน อภิธรรมะเนี่ยจะให้แปลอยู่สองความหมายด้วยกัน
อภิธรรมะมีความหมายเท่ากับ ธัมมาติเรกะ ก็คือธรรมะบวกกับอดิเรกนั่นเอง ก็คือมันไม่ใช่หนึ่ง
ไม่ใช่นัยเดียว ไม่เหมือนในเชิงสุตันตปิฎก
คือด้านธรรมมะจะแบ่งเป็น 2 ก็คือ สุตันตะ กับ อภิธรรมะ นะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าอย่างเดียวก็คือ ว่าโดยรส
ว่าโดยกิจหน้าที่ก็คือ วิมุตติ วิมุตติรส
ถ้าแบ่งเป็นสองก็ ธรรมะ กับ วินัย
ในธรรมมะเนี่ยก็คือแบ่งเป็น สุตันตะ กับ อภิธรรม นะ
สุตตันตะ ปกติแล้วท่านจะแสดงโดยปริยาย โดยแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเงื่อนไข โดยกรณะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า อะเนกะปริยาย นะก็คือ แสดงโดยเอนกปริยาย
ปริยายที่หลากหลาย ส่วนอภิธรรมนี้เป็น ธรรมาติเลขะ ก็คือ มีมากกว่าหนึ่งนัย นะแสดงโดยครบถ้วนสมบูรณ์ หรือบางทีก็เรียกว่า โดย นิปปริยาย
ฉนั้นถ้าแบ่งทางสุตตันตะเนี่ย สุตตันตะ สุตตันตะนี้แสดงโดย ปริยาย ก็คือ โดยแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่งนะ เวลาที่เค้าฟังพระสูตรจบลงเนี่ยเขาก็จะยกย่องคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์แสดงธรรมโดย อเนกปริยาย นะโดย อเนกปริยาย
ก็คือโดยแง่มุมที่หลากหลาย อย่างเงี้ยนะ
ส่วนทางอภิธรรมเนี่ย อภิธรรมก็จะเป็น นิปปริยาย อ่า
ก็คือไม่ได้แสดงโดยแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง หรือหลักใดหลักหนึ่ง เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เรียกว่าแสดง ธรรมที่ครอบคลุมครบถ้วนสมบูรณ์ธรรมะมีเท่าไหร่ก็แสดงเท่านั้นเลย ไม่ได้แสดงเข้าไปเกียวเนื่องกับเงื่อนไขอะไร
ส่วนทางสุตตันตะ ก็แสดงเกี่ยวเนื่องกับเงื่อนไขต่างๆ เรียกว่า โดยปริยาย
ถ้าอภิธรรมก็นิปปริยาย นะฮะ
บางทีภาษาไทยเราก็ ปริยายก็คือโดยอ้อม นะ โดยอ้อม
ถ้า นิปปริยาย ก็คือ โดยตรง นะ
แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่โดยอ้อมจริงๆ ก็คือ อาศัยเงื่อนไขต่างๆ อาสัยลักษณะอินทรีย์ของผู้ฟัง
เงื่อนไขต่างๆหลากหลาย โดยลักษณะ ก็ทั่วไปก็คือ อาศัยการที่บุคคลนั้นจะบรรลุธรรม จะเข้าใจธรรมะเป็นหลักนะ อย่างนี้
ฉนั้น ถ้าเราไปอ่านบางทีก็อาจจะตีความผิดได้ในแง่ เราอาจจะอินทรีย์ไม่เท่ากับคนนั้น นะฮะ อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า ทางสุตตันตะ โดยปริยาย โดยแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง
คือมีเงื่อนไขต่างๆแวดล้อมอยู่
ส่วนอภิธรรมะ มีนิปปริยาย คือธรรมะมีเท่าไหร่แสดงเท่านั้น แสดงแบบนี้เรียกว่า ธรรมาติเรกะ
ธรรมะอดิเรกนั่นเอง
อีกความหมายหนึ่งเวลาให้แปล นะก็แปลว่า ธรรมะวิเสสะ ก็ได้ ธรรมะวิเสษ ธรรมะวิเสษสะ อ่า
วิเศษ ก็คือ พิเศษ
พิเศษ คือ ไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่เหมือนชาวบ้านไม่เหมือนใคร ก็ไม่เหมือนสุตตันตะนั่นแหละนะ
อย่างนี้ทำนองนี้นะครับ
ธรรมะวิเศษ คือแสดงธรรมอีกแบบหนึ่งพิเศษหรือต่างหากจากแนวสูตรต่างๆนั่นเองอย่างนี้นะครับ
ฉนั้นจะเข้าใจอภิธรรมได้ดีก็เทียบกับสูตรต่างๆนั่นแหละ ก็คือเทียบกับพระสูตร
พระสูตร แสดงปริยาย แง่มุมนั้น แง่มุมนี้ แง่มุมกับบุคคลบ้าง กับอินทรีย์ของผู้ฟังบ้าง นะใช้คำที่หลากหลาย
ส่วนอภิธรรมเนี่ย เขามีคำเฉพาะของเค้าก็คือใช้คำที่เป็น มาติกา หรือ ศัพท์วิชาการ นะ
ถ้าเป็นสุตตันตะบางทีใช้คำพูดของชาวบ้านมาแสดง เช่น บุญทาน หรือคำอื่นๆ
คนก็เข้าใจง่าย
ส่วนบุญเนี่ยอภิธรรมเขาไม่มี ก็มี กุศล ไปเลย อกุศลไปเลย อัพพยากตไปเลย อย่างนี้เป็นต้นนะ ก็คือเขาใช้ศัพท์ทางวิชาการนะ แน่นอนว่าจะเข้าใจยากกว่าทางสุตตันตะสักหน่อย นะอ่า ทางสุตตันตะก็มีบุญมีบาป อย่างเงี้ยนะทำนองนี้นะครับ
ก็เวลาแปลก็อภิธรรมก็ ธรรมาติเรกะ หรือธรรมวิเสษสะก็ได้นะครับ
แต่ความหมายที่ลึกซึ้งลงไปของอภิธรรมนี้ก็ต้องวิเคราะห์ความหมายของคำว่าอภิเข้าไป