
สือเนื่องจากได้ดูโหนกระแส มีพระภิกษุท่านหนึ่งกล่าวว่าถ้า อ.เบียร์คนตื่นธรรมไปพูดอะไรที่ให้ร้ายคณะสงฆ์อีกตนจะไปฟ้องร้องที่ศาล
และอ.อีกท่านหนึ่ง ก็กล่าวว่า พระภิกษุไม่ควรไปฟ้องร้องโยมเพราะจะเป็นเหตุทำให้เขาเสียหาย และถ้าความเสียหายนั้นได้มูลค่าถึง5มาสกหรือเกินกว่านั้น จะมีโอกาสต้องอาบัติปาราชิกได้
ก็เลยจะขอยกหลังฐานที่ท่านอ.มหาภาคภูมิ ได้เขียนไว้ในเพจของท่านมาอ้างอิง เพื่อเป็นธรรมทานครับ
#วินิจฉัยเรื่องภิกษุฟ้องร้องเพื่อให้ดำเนินคดีแก่บุคคลอื่นสมควรหรือไม่?
ในเรื่องการฟ้องร้องนี้ มีกล่าวไว้ในปทภาชนีย์ (อธิบายสิกขาบท) ของอทินนาทานสิกขาบท (วิ.มหา.๑/๑๑๒/๙๐) ไว้ดังนี้
ธมฺมํ จรนฺโต สามิกํ ปราเชติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺส.
ธมฺมํ จรนฺโต ปรชติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส.
ภิกษุฟ้องร้องศาล ทำให้เจ้าของทรัพย์แพ้ ต้องอาบัติปาราชิก,
หากภิกษุผู้ฟ้องร้องเป็นฝ่ายแพ้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
(ตอนฟ้องร้องเป็นทุกกฏ)
ในภิกขุนีวิภังค์ มีสิกขาบทเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง คือ #อุสสยวาทิกาสิกขาบท (สังฆาทิเสสของภิกษุณี) ดังพุทธบัญญัติว่า
ยา ปน ภิกฺขุนี อุสฺสยวาทิกา วิหเรยฺย คหปตินา วา คหปติปุตฺเตน วา ทาสเกน วา กมฺมกเรน วา อนฺตมโส สมณปริพฺพาชเกนาปิ, อยํ ภิกฺขนี ปฐมปตฺติกํ ธมฺมํ อาปนฺนา นิสฺสารณียํ สํฆาทิเสสํ.
ภิกษุณีใด ก่อคดีกับชาวบ้าน ลูกชาวบ้าน ทาส หรือคนงาน โดยที่สุด แม้กับพวกนักบวช ภิกษุณีนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ชื่อ นิสสารณียะ โดยต้องอาบัติในขณะแรกทำ (คือ ต้องทันทีโดยไม่ต้องสวดสมนุภาสนาก่อน)
คำอธิบายในเรื่องการฟ้องร้องนี้ ท่านกล่าวไว้โดยละเอียดในอรรถกถาของสิกขาบทนี้ แต่จะสรุปความมาให้ดังนี้ :-
*เมื่อพวกตุลาการฟังถ้อยแถลงของทั้ง ๒ ฝ่ายและทำการตัดสินแล้ว คดีเป็นอันถึงที่สุด ในคดีที่ถึงที่สุดนั้น ภิกษุณีจะชนะก็ตาม แพ้ก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส
ถ้าหากภิกษุหรือภิกษุณีถูกทำร้าย ถูกขโมยของ ถูกข่มขู่ หรือถูกรบกวนด้วยเหตุบางอย่างเป็นต้น
*หากไปแจ้งตำรวจว่า "คนนี้ๆ มาทำไม่ดีอย่างนี้ๆ" โดยเจาะจงบุคคล หากเขาถูกปรับ จะเป็นภัณฑไทย (สินใช้) แก่ภิกษุและภิกษุณี คือต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เขา
***หากบอกให้ปรับผู้นั้นเลยหรือบอกให้จับคนๆ นั้นมาลงโทษเลย ถ้าเขาถูกปรับได้ราคาถึง ๕ มาสก (ประมาณ ๔๐๐ บาท) ภิกษุและภิกษุณีนั้น ย่อมต้องอาบัติปาราชิก
***#วิธีการที่สมควร คือ
ไม่ควรบอกเจาะจงบุคคล ควรบอกเพียงแค่ว่า "มีคนมาทำไม่ดีอย่างนี้ๆ" ขอเพียงแต่การอารักขาเพื่อไม่ให้มีคนมาทำอย่างนั้นอีก และขอให้นำของที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาเท่านั้น การบอกไม่เจาะจงอย่างนี้สมควร
(ดูความพิสดารใน วิ.อฏฺ. ๒/๖๗๙/๔๗๒-๔)
*#การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินวัด
ถามว่า ที่ดินของวัดที่มีผู้มาถวายไว้แต่ลูกหลานของเขามาเอาคืนในภายหลังหรือมีคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่นั้นนานๆ ไปออกโฉนดเอาเป็นของตนเอง ภิกษุสามารถฟ้องร้องเอากลับคืนมาได้หรือไม่?
ตอบว่า #สามารถทำได้
เพราะ #ความเป็นของสงฆ์ไม่ได้หายไปเพราะถูกใครโกงเอาไป ที่ดินนั้นจัดว่าเป็นของสงฆ์อยู่นั่นเอง #แต่ต้องไม่ทำให้คู่กรณีเสียหายเกี่ยวกับการถูกจับหรือถูกปรับ
(ดูความพิสดารใน วิ.อฏฺ. ๒/๔๗๓, วิมติ. ๒/๙๔)
*#อทินนาทานสิกขาบท มีองค์ ๕ คือ
๑) ของที่ผู้อื่นครอบครองโดยเป็นสมบัติของบุคคลอื่นที่มีชาติมนุษย์
๒) รู้ว่าเป็นของที่ผู้อื่นครอบครอง
๓) เป็นสิ่งของมีราคา[๑ บาทหรือควร ๑ บาท]
๔) มีจิตคิดจะขโมย
๕) ขโมยมาได้ด้วยอาการขโมยอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอาการขโมย ๒๕ อย่าง
(***หมายเหตุ : #จิตคิดจะขโมย (ไถยจิต) ในอทินนาทานสิกขาบท ไม่ใช่หมายถึงว่าต้องมีเจตนาขโมยมาเป็นของตนอย่างเดียว แต่รวมถึงความต้องการจะให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ไม่ว่าจะโดยการขโมยไปให้คนอื่น ขโมยไปทิ้ง ทำลายทรัพย์สินของเขา หรือฟ้องร้องให้เขาเสียทรัพย์ อย่างนี้เป็นต้น)
*วินิจฉัยนี้มิได้ประสงค์จะตำหนิผู้หนึ่งผู้ใด แต่ต้องการให้ความรู้พระธรรมวินัยแก่พุทธบริษัทเท่านั้น
จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม
ขอพระสัทธรรมจงดำรงมั่นตลอดกาลนาน
นานาวินิจฉัย โดยพระมหาภาคภูมิ สีลานันโท ดูน้อยลง
พระฟ้องร้องโยมไม่ได้ มีโอกาสขาดจากความเป็นพระเลย(ปาราชิก)
สือเนื่องจากได้ดูโหนกระแส มีพระภิกษุท่านหนึ่งกล่าวว่าถ้า อ.เบียร์คนตื่นธรรมไปพูดอะไรที่ให้ร้ายคณะสงฆ์อีกตนจะไปฟ้องร้องที่ศาล
และอ.อีกท่านหนึ่ง ก็กล่าวว่า พระภิกษุไม่ควรไปฟ้องร้องโยมเพราะจะเป็นเหตุทำให้เขาเสียหาย และถ้าความเสียหายนั้นได้มูลค่าถึง5มาสกหรือเกินกว่านั้น จะมีโอกาสต้องอาบัติปาราชิกได้
ก็เลยจะขอยกหลังฐานที่ท่านอ.มหาภาคภูมิ ได้เขียนไว้ในเพจของท่านมาอ้างอิง เพื่อเป็นธรรมทานครับ
#วินิจฉัยเรื่องภิกษุฟ้องร้องเพื่อให้ดำเนินคดีแก่บุคคลอื่นสมควรหรือไม่?
ในเรื่องการฟ้องร้องนี้ มีกล่าวไว้ในปทภาชนีย์ (อธิบายสิกขาบท) ของอทินนาทานสิกขาบท (วิ.มหา.๑/๑๑๒/๙๐) ไว้ดังนี้
ธมฺมํ จรนฺโต สามิกํ ปราเชติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺส.
ธมฺมํ จรนฺโต ปรชติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส.
ภิกษุฟ้องร้องศาล ทำให้เจ้าของทรัพย์แพ้ ต้องอาบัติปาราชิก,
หากภิกษุผู้ฟ้องร้องเป็นฝ่ายแพ้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
(ตอนฟ้องร้องเป็นทุกกฏ)
ในภิกขุนีวิภังค์ มีสิกขาบทเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง คือ #อุสสยวาทิกาสิกขาบท (สังฆาทิเสสของภิกษุณี) ดังพุทธบัญญัติว่า
ยา ปน ภิกฺขุนี อุสฺสยวาทิกา วิหเรยฺย คหปตินา วา คหปติปุตฺเตน วา ทาสเกน วา กมฺมกเรน วา อนฺตมโส สมณปริพฺพาชเกนาปิ, อยํ ภิกฺขนี ปฐมปตฺติกํ ธมฺมํ อาปนฺนา นิสฺสารณียํ สํฆาทิเสสํ.
ภิกษุณีใด ก่อคดีกับชาวบ้าน ลูกชาวบ้าน ทาส หรือคนงาน โดยที่สุด แม้กับพวกนักบวช ภิกษุณีนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ชื่อ นิสสารณียะ โดยต้องอาบัติในขณะแรกทำ (คือ ต้องทันทีโดยไม่ต้องสวดสมนุภาสนาก่อน)
คำอธิบายในเรื่องการฟ้องร้องนี้ ท่านกล่าวไว้โดยละเอียดในอรรถกถาของสิกขาบทนี้ แต่จะสรุปความมาให้ดังนี้ :-
*เมื่อพวกตุลาการฟังถ้อยแถลงของทั้ง ๒ ฝ่ายและทำการตัดสินแล้ว คดีเป็นอันถึงที่สุด ในคดีที่ถึงที่สุดนั้น ภิกษุณีจะชนะก็ตาม แพ้ก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส
ถ้าหากภิกษุหรือภิกษุณีถูกทำร้าย ถูกขโมยของ ถูกข่มขู่ หรือถูกรบกวนด้วยเหตุบางอย่างเป็นต้น
*หากไปแจ้งตำรวจว่า "คนนี้ๆ มาทำไม่ดีอย่างนี้ๆ" โดยเจาะจงบุคคล หากเขาถูกปรับ จะเป็นภัณฑไทย (สินใช้) แก่ภิกษุและภิกษุณี คือต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เขา
***หากบอกให้ปรับผู้นั้นเลยหรือบอกให้จับคนๆ นั้นมาลงโทษเลย ถ้าเขาถูกปรับได้ราคาถึง ๕ มาสก (ประมาณ ๔๐๐ บาท) ภิกษุและภิกษุณีนั้น ย่อมต้องอาบัติปาราชิก
***#วิธีการที่สมควร คือ
ไม่ควรบอกเจาะจงบุคคล ควรบอกเพียงแค่ว่า "มีคนมาทำไม่ดีอย่างนี้ๆ" ขอเพียงแต่การอารักขาเพื่อไม่ให้มีคนมาทำอย่างนั้นอีก และขอให้นำของที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาเท่านั้น การบอกไม่เจาะจงอย่างนี้สมควร
(ดูความพิสดารใน วิ.อฏฺ. ๒/๖๗๙/๔๗๒-๔)
*#การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินวัด
ถามว่า ที่ดินของวัดที่มีผู้มาถวายไว้แต่ลูกหลานของเขามาเอาคืนในภายหลังหรือมีคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่นั้นนานๆ ไปออกโฉนดเอาเป็นของตนเอง ภิกษุสามารถฟ้องร้องเอากลับคืนมาได้หรือไม่?
ตอบว่า #สามารถทำได้
เพราะ #ความเป็นของสงฆ์ไม่ได้หายไปเพราะถูกใครโกงเอาไป ที่ดินนั้นจัดว่าเป็นของสงฆ์อยู่นั่นเอง #แต่ต้องไม่ทำให้คู่กรณีเสียหายเกี่ยวกับการถูกจับหรือถูกปรับ
(ดูความพิสดารใน วิ.อฏฺ. ๒/๔๗๓, วิมติ. ๒/๙๔)
*#อทินนาทานสิกขาบท มีองค์ ๕ คือ
๑) ของที่ผู้อื่นครอบครองโดยเป็นสมบัติของบุคคลอื่นที่มีชาติมนุษย์
๒) รู้ว่าเป็นของที่ผู้อื่นครอบครอง
๓) เป็นสิ่งของมีราคา[๑ บาทหรือควร ๑ บาท]
๔) มีจิตคิดจะขโมย
๕) ขโมยมาได้ด้วยอาการขโมยอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอาการขโมย ๒๕ อย่าง
(***หมายเหตุ : #จิตคิดจะขโมย (ไถยจิต) ในอทินนาทานสิกขาบท ไม่ใช่หมายถึงว่าต้องมีเจตนาขโมยมาเป็นของตนอย่างเดียว แต่รวมถึงความต้องการจะให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ไม่ว่าจะโดยการขโมยไปให้คนอื่น ขโมยไปทิ้ง ทำลายทรัพย์สินของเขา หรือฟ้องร้องให้เขาเสียทรัพย์ อย่างนี้เป็นต้น)
*วินิจฉัยนี้มิได้ประสงค์จะตำหนิผู้หนึ่งผู้ใด แต่ต้องการให้ความรู้พระธรรมวินัยแก่พุทธบริษัทเท่านั้น
จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม
ขอพระสัทธรรมจงดำรงมั่นตลอดกาลนาน
นานาวินิจฉัย โดยพระมหาภาคภูมิ สีลานันโท ดูน้อยลง