การผ่าตัดจิตเวช หรือ psychosurgery เป็นมาตรการในการรักษาที่รุนแรงที่สุด ซึ่งแนะนำเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้ารุนแรงที่สุดเท่านั้น ชนิดที่ว่า ยาจิตเวชไม่สามารถใช้การได้ หรือ การ ECT,TMS & dTMS ซึ่งไม่สามารถรักษา หรือ ช่วยเหลือได้ด้วยวิธีการอื่น
การผ่าตัดจิตเวชเป็นการรักษาโรคจิตเวชโดยการผ่าตัดเอาออกหรือทำลายบริเวณสมองบางส่วน ตัวอย่างที่รู้จักกันดีที่สุดของการผ่าตัดจิตเวชคือการตัดหน้าผาก หรือ การทำ lobotomy ซึ่งในอดีตใช้โดยเฉพาะสำหรับโรคจิตเภท แต่ยังใช้สำหรับความผิดปกติอื่น ๆ อีกมากมาย ก่อนที่จะยกเลิกการผ่าตัดนี้โดยสิ้นเชิง เนื่องจาก ผลข้างเคียงที่สุดจะอันตรายและไม่พึงประสงค์ด้านความปลอดภัย
การผ่าตัดจิตเวชในปัจจุบันไม่เหมือนกับการผ่าตัดตรงสมองส่วนหน้า ที่ทำเมื่อ 80 ถึง 100 ปีก่อน ซึ่งทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่ของสมอง
ปัจจุบัน ศัลยประสาทจะมุ่งเน้นไปที่บริเวณเฉพาะ เช่น แถบเซลล์ประสาทส่วนหน้า หรือ การรักษาแบบ cingulotomy ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย และเห็นผลลัพธ์เชิงบวกในหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย เป็นวิธีการรักษาอาการทางจิตที่ไม่มีทางรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ รักษาด้วยยาก็หมดหนทาง มีอาการที่หนักๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ OCD หรือ ซึมเศร้าชนิดที่ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์โดยเฉพาะและเห็นผลลัพธ์เชิงบวกในหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย (Volpini et al., 2017)
การผ่าตัดจิตเวช
การผ่าตัดจิตเวชเป็นการรักษาโรคจิตเวชโดยการผ่าตัดเอาออกหรือทำลายบริเวณสมองบางส่วน ตัวอย่างที่รู้จักกันดีที่สุดของการผ่าตัดจิตเวชคือการตัดหน้าผาก หรือ การทำ lobotomy ซึ่งในอดีตใช้โดยเฉพาะสำหรับโรคจิตเภท แต่ยังใช้สำหรับความผิดปกติอื่น ๆ อีกมากมาย ก่อนที่จะยกเลิกการผ่าตัดนี้โดยสิ้นเชิง เนื่องจาก ผลข้างเคียงที่สุดจะอันตรายและไม่พึงประสงค์ด้านความปลอดภัย
การผ่าตัดจิตเวชในปัจจุบันไม่เหมือนกับการผ่าตัดตรงสมองส่วนหน้า ที่ทำเมื่อ 80 ถึง 100 ปีก่อน ซึ่งทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่ของสมอง
ปัจจุบัน ศัลยประสาทจะมุ่งเน้นไปที่บริเวณเฉพาะ เช่น แถบเซลล์ประสาทส่วนหน้า หรือ การรักษาแบบ cingulotomy ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย และเห็นผลลัพธ์เชิงบวกในหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย เป็นวิธีการรักษาอาการทางจิตที่ไม่มีทางรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ รักษาด้วยยาก็หมดหนทาง มีอาการที่หนักๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ OCD หรือ ซึมเศร้าชนิดที่ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์โดยเฉพาะและเห็นผลลัพธ์เชิงบวกในหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย (Volpini et al., 2017)