‘คุณคิดว่าคุกหรือเรือนจำควรจะเป็นสถานที่เปลี่ยนนิสัยคนให้ดีขึ้นไหม?’
‘คุณคิดว่าโลกหลังกำแพงกับโลกข้างนอกที่คุณอยู่มันห่างไกลกันมากไหม?’
ผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดอยู่ในใจว่า ‘ใช่’ ในทั้ง 2 คำถาม เราๆ ท่านๆ เชื่อว่าเมื่อคนทำผิดเข้าไปรับโทษถูกจองจำตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดของแต่ละความผิดแล้วจะช่วยให้คนคนนั้นได้กลับตัวกลับใจ ‘คืนคนดีสู่สังคม’ ( ขนาดกรมราชทัณฑ์ยังมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Department of Corrections ก็แปลว่าแก้ไขพฤติกรรมคน ) และในขณะเดียวกันเราๆ ท่านๆ ก็คงจะคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ก้าวเข้าไปในโลกหลังกำแพงสูงแห่งนั้นอย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริงที่เป็นไป..จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?
ต้องบอกว่าผมทำใจอยู่พอสมควรตั้งแต่เห็นตัวอย่างหนังแล้วครับ ‘วัยหนุ่ม 2544’ ฉายภาพความโหดร้ายและหดหู่ของสถานที่ที่เรียกว่า ‘คุก’ หรือ ‘เรือนจำ’ เมื่อมีคนไปดูรอบสื่อฯ มารีวิว รวมถึง 1-2 วันแรกที่ฉายจริง เริ่มเห็นคอมเมนต์มากมายใน Social Media บอกว่าหนังเรื่องนี้สามารถพาคนดู ‘ดิ่ง’ หรือ ‘จิตตก’ ได้เลย จึงลังเลว่าจะไปดูดีไหม? เพราะผลงานเก่าๆ ของผู้กำกับอย่าง ‘4Kings’ ทั้ง 2 ภาค ผมดูหมดนะและถือว่าทำได้ดีเลย
กระทั่งในที่สุดผมตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปชม..แล้วก็จริงอย่างที่คอมเมนต์ทั้งหลายว่า!!
วัยหนุ่ม 2544 พาเราย้อนกลับไปดูสังคมไทยเมื่อกว่า 2 ทศวรรษก่อน แต่พาไปดู ‘ด้านมืด’ ของมัน ตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้สนใจสิทธิใดๆ ของผู้ถูกจับกุมคุมขัง การถูกทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่อย่างไร้เหตุผลหรือเกินกว่าเหตุถือเป็นชะตากรรมที่ต้องยอมรับ และยิ่งเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่เรือนจำแล้ว หากคุณสามารถอยู่รอดในนั้นจนถึงวันพ้นโทษโดยที่สภาพร่างกายและจิตใจยังเป็นปกติ ถือว่านั่นคือสิ่งที่คุณโชคดีที่สุด
ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่อาจจะโทษเจ้าหน้าที่ได้เต็มปาก เพราะยุคนั้นอย่าว่าแต่คนในคุก แม้แต่นอกคุกสังคมไทยก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องสิทธิหรือความเป็นมนุษย์ ( สมัยนี้ที่บ่นๆ กันว่ายังไม่ดี แต่ถ้าคนที่โตพอรู้ความทันยุค 20-30 ปีก่อน บอกเลยว่ายุคนั้นหนักกว่าเยอะ เพราะจะหาหลักฐานมาร้องเรียนคือยากมาก ) ยังเชื่อกันว่าใครมีปัญหาก็แค่ใช้กำลังเข้ากดปราบข่มขวัญ ภาพนี้จึงสะท้อนออกมาเป็นวิธีการใช้กำลังของตำรวจ ผู้คุม รวมถึงนักโทษขาใหญ่อย่างที่เห็นในภาพยนตร์ วิธีคิดหลักของสังคมยุคนั้นในมุมของผู้มีอำนาจไม่ว่าระดับใดคือเน้นทำให้ผู้อยู่ใต้อำนาจหรือใต้ปกครองกลัวเยอะๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของคนแต่ละคนก่อนเดินมาถึงจุดที่ทำผิดต้องคดีอาญา เป็นคนเลวโดยสันดานหรือไม่ คือรู้ว่าทำผิดมา ( หรือแม้แต่ไม่ได้ทำผิดจริงๆ ด้วยซ้ำแต่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาจึงต้องรับเคราะห์ไป ) ก็โยนใส่คุกแล้วก็จบแค่นั้น รวมถึงยังมองกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ( LGBT ) ในแง่ลบหรือเหมารวมด้วยความเชื่อผิดๆ บางอย่าง
นั่นจึงเป็นที่มาของชะตากรรมที่ตัวละครหลักซึ่งเป็นตัวเล่าเรื่องต้องเผชิญ ซึ่งบอกเลยว่าหดหู่ตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ เพราะแทนที่คุกจะเป็น ‘จุดตั้งต้นใหม่’ ให้คนที่ก้าวพลาดได้เริ่มทบทวนตนเองเพื่อกลับสู่แสงสว่าง กลับกลายเป็นสถานที่ที่กดดันบีบคั้นให้ต้องเอาตัวรอดและจมดิ่งสู่ความมืดมิดหนักกว่าเดิม
ผมชอบตรงที่ภาพยนตร์เปรียบเทียบความเป็นอยู่ของแก๊งใหญ่ 2 แก๊งในเรือนจำ ฝั่งหนึ่งใช้ความรุนแรงกดคนอื่นๆ ไว้ การกระทำทารุณต่อผู้อ่อนแอกว่าถือเป็นเรื่องปกติ กับอีกฝั่งที่แม้จะไม่ได้ปฏิเสธความรุนแรงแต่ก็เลือกจะใช้มันเท่าที่จำเป็น สีหน้า-แววตาทั้งของนักแสดงหลักไม่ว่าบทนำหรือบทสมทบ ไปจนถึงนักแสดงประกอบ (Extra) ของแต่ละฝั่งนี่คือเห็นชัดมากๆ ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และสิ่งนี้ทำให้บรรยากาศในหนังสามารถตัดสลับไปมาระหว่างความรู้สึกอึดอัดกับผ่อนคลายได้อย่างลงตัว
แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างสักคนหนึ่ง ก็ขอเอ่ยชื่อ ‘เป้-อารักษ์’ เพราะนี่น่าจะเป็นบท ‘คนเลว’ แบบสุดๆ เท่าที่เคยเห็นการแสดงทั้งละครและภาพยนตร์แล้ว ที่ผ่านมาคนดูจะคุ้นในบทคนดีบ้าง หรือคนสีเทาๆ บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นดำสนิทเหมือนที่เห็นในวัยหนุ่ม 2544 แล้วยังถ่ายทอดบทของตัวละครออกมาได้ทั้งน่ากลัวและน่ารังเกียจไปพร้อมกัน
กลับมาที่ 2 คำถามที่ผมตั้งไว้ตอนต้น แน่นอนว่าหนังไม่ได้ให้คำตอบหรือทางออกแบบตรงๆ แต่ฉากต่างๆ ไม่ว่าจะในหรือนอกเรือนจำ ผมเชื่อว่าหลายคนดูแล้วคงเข้าใจได้ไม่ยากว่าสภาพแวดล้อมแบบนั้นมันเอื้อให้คนสามารถรักษาความเป็นมนุษย์หรือความเป็นคนดีได้มาก-น้อยเพียงใด และจากชะตากรรมของตัวละครหลักที่เล่าเรื่อง เราๆ ท่านๆ จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าตลอดทั้งชีวิตเราจะไม่เจอแรงกดดันบีบคั้นให้ต้องกระทำการบางอย่าง หรือแม้แต่เป็นคราวเคราะห์ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด แล้วไปจบชีวิตที่เหลือในคุกแบบที่เห็นในภาพยนตร์
โดยสรุปแล้วสิ่งที่ผมคิดว่าได้รับจากภาพยนตร์ ‘วัยหนุ่ม 2544’ แน่นอนในมุมปัจเจกมันทำให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพราะคงไม่มีใครอยากเข้าไปถูกจำกัดอิสรภาพแรมเดือนแรมปีหรือหลายปี แต่ในมุมโครงสร้างสังคม หลายฉากหลายเรื่องในภาพยนตร์ทั้งที่เป็นฉากภายในและภายนอกกำแพงสูง ปัจจุบันผ่านมากว่า 2 ทศวรรษแล้วก็ยังคงมีให้ได้เห็นหรือได้ยินตามสื่อต่างๆ ทั้งที่เป็นและไม่เป็นทางการ ซึ่งหากต้องการทำให้เรือนจำเป็นสถานที่ดัดนิสัย-ดัดสันดาน ในความหมายที่มันเป็นตามถ้อยคำจริงๆ ไม่ใช่คำด่า-คำประชดเอาสะใจ และทำให้โลกภายนอกลดความรุนแรงอันเป็นปัจจัยที่ส่งใครบางคนในสังคมเข้าไปเพิ่มยอดผู้ต้องขังจากความพลั้งพลาดลง ( ก่อนจะนำความรุนแรงกลับออกมาสู่โลกภายนอก ดังที่เห็นในข่าวอยู่เนืองๆ ) นี่คือสิ่งที่ทั้งสังคมไม่ว่าจะอยู่ภาคส่วนใด จะต้องมองเห็นและเข้าใจตรงกัน!!!
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
วัยหนุ่ม2544 : โลกหลังกำแพงอยู่ใกล้เรากว่าที่คิด (NoSpoil)
‘คุณคิดว่าคุกหรือเรือนจำควรจะเป็นสถานที่เปลี่ยนนิสัยคนให้ดีขึ้นไหม?’
‘คุณคิดว่าโลกหลังกำแพงกับโลกข้างนอกที่คุณอยู่มันห่างไกลกันมากไหม?’
ผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดอยู่ในใจว่า ‘ใช่’ ในทั้ง 2 คำถาม เราๆ ท่านๆ เชื่อว่าเมื่อคนทำผิดเข้าไปรับโทษถูกจองจำตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดของแต่ละความผิดแล้วจะช่วยให้คนคนนั้นได้กลับตัวกลับใจ ‘คืนคนดีสู่สังคม’ ( ขนาดกรมราชทัณฑ์ยังมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Department of Corrections ก็แปลว่าแก้ไขพฤติกรรมคน ) และในขณะเดียวกันเราๆ ท่านๆ ก็คงจะคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ก้าวเข้าไปในโลกหลังกำแพงสูงแห่งนั้นอย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริงที่เป็นไป..จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?
ต้องบอกว่าผมทำใจอยู่พอสมควรตั้งแต่เห็นตัวอย่างหนังแล้วครับ ‘วัยหนุ่ม 2544’ ฉายภาพความโหดร้ายและหดหู่ของสถานที่ที่เรียกว่า ‘คุก’ หรือ ‘เรือนจำ’ เมื่อมีคนไปดูรอบสื่อฯ มารีวิว รวมถึง 1-2 วันแรกที่ฉายจริง เริ่มเห็นคอมเมนต์มากมายใน Social Media บอกว่าหนังเรื่องนี้สามารถพาคนดู ‘ดิ่ง’ หรือ ‘จิตตก’ ได้เลย จึงลังเลว่าจะไปดูดีไหม? เพราะผลงานเก่าๆ ของผู้กำกับอย่าง ‘4Kings’ ทั้ง 2 ภาค ผมดูหมดนะและถือว่าทำได้ดีเลย
กระทั่งในที่สุดผมตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปชม..แล้วก็จริงอย่างที่คอมเมนต์ทั้งหลายว่า!!
วัยหนุ่ม 2544 พาเราย้อนกลับไปดูสังคมไทยเมื่อกว่า 2 ทศวรรษก่อน แต่พาไปดู ‘ด้านมืด’ ของมัน ตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้สนใจสิทธิใดๆ ของผู้ถูกจับกุมคุมขัง การถูกทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่อย่างไร้เหตุผลหรือเกินกว่าเหตุถือเป็นชะตากรรมที่ต้องยอมรับ และยิ่งเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่เรือนจำแล้ว หากคุณสามารถอยู่รอดในนั้นจนถึงวันพ้นโทษโดยที่สภาพร่างกายและจิตใจยังเป็นปกติ ถือว่านั่นคือสิ่งที่คุณโชคดีที่สุด
ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่อาจจะโทษเจ้าหน้าที่ได้เต็มปาก เพราะยุคนั้นอย่าว่าแต่คนในคุก แม้แต่นอกคุกสังคมไทยก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องสิทธิหรือความเป็นมนุษย์ ( สมัยนี้ที่บ่นๆ กันว่ายังไม่ดี แต่ถ้าคนที่โตพอรู้ความทันยุค 20-30 ปีก่อน บอกเลยว่ายุคนั้นหนักกว่าเยอะ เพราะจะหาหลักฐานมาร้องเรียนคือยากมาก ) ยังเชื่อกันว่าใครมีปัญหาก็แค่ใช้กำลังเข้ากดปราบข่มขวัญ ภาพนี้จึงสะท้อนออกมาเป็นวิธีการใช้กำลังของตำรวจ ผู้คุม รวมถึงนักโทษขาใหญ่อย่างที่เห็นในภาพยนตร์ วิธีคิดหลักของสังคมยุคนั้นในมุมของผู้มีอำนาจไม่ว่าระดับใดคือเน้นทำให้ผู้อยู่ใต้อำนาจหรือใต้ปกครองกลัวเยอะๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของคนแต่ละคนก่อนเดินมาถึงจุดที่ทำผิดต้องคดีอาญา เป็นคนเลวโดยสันดานหรือไม่ คือรู้ว่าทำผิดมา ( หรือแม้แต่ไม่ได้ทำผิดจริงๆ ด้วยซ้ำแต่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาจึงต้องรับเคราะห์ไป ) ก็โยนใส่คุกแล้วก็จบแค่นั้น รวมถึงยังมองกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ( LGBT ) ในแง่ลบหรือเหมารวมด้วยความเชื่อผิดๆ บางอย่าง
นั่นจึงเป็นที่มาของชะตากรรมที่ตัวละครหลักซึ่งเป็นตัวเล่าเรื่องต้องเผชิญ ซึ่งบอกเลยว่าหดหู่ตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ เพราะแทนที่คุกจะเป็น ‘จุดตั้งต้นใหม่’ ให้คนที่ก้าวพลาดได้เริ่มทบทวนตนเองเพื่อกลับสู่แสงสว่าง กลับกลายเป็นสถานที่ที่กดดันบีบคั้นให้ต้องเอาตัวรอดและจมดิ่งสู่ความมืดมิดหนักกว่าเดิม
ผมชอบตรงที่ภาพยนตร์เปรียบเทียบความเป็นอยู่ของแก๊งใหญ่ 2 แก๊งในเรือนจำ ฝั่งหนึ่งใช้ความรุนแรงกดคนอื่นๆ ไว้ การกระทำทารุณต่อผู้อ่อนแอกว่าถือเป็นเรื่องปกติ กับอีกฝั่งที่แม้จะไม่ได้ปฏิเสธความรุนแรงแต่ก็เลือกจะใช้มันเท่าที่จำเป็น สีหน้า-แววตาทั้งของนักแสดงหลักไม่ว่าบทนำหรือบทสมทบ ไปจนถึงนักแสดงประกอบ (Extra) ของแต่ละฝั่งนี่คือเห็นชัดมากๆ ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และสิ่งนี้ทำให้บรรยากาศในหนังสามารถตัดสลับไปมาระหว่างความรู้สึกอึดอัดกับผ่อนคลายได้อย่างลงตัว
แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างสักคนหนึ่ง ก็ขอเอ่ยชื่อ ‘เป้-อารักษ์’ เพราะนี่น่าจะเป็นบท ‘คนเลว’ แบบสุดๆ เท่าที่เคยเห็นการแสดงทั้งละครและภาพยนตร์แล้ว ที่ผ่านมาคนดูจะคุ้นในบทคนดีบ้าง หรือคนสีเทาๆ บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นดำสนิทเหมือนที่เห็นในวัยหนุ่ม 2544 แล้วยังถ่ายทอดบทของตัวละครออกมาได้ทั้งน่ากลัวและน่ารังเกียจไปพร้อมกัน
กลับมาที่ 2 คำถามที่ผมตั้งไว้ตอนต้น แน่นอนว่าหนังไม่ได้ให้คำตอบหรือทางออกแบบตรงๆ แต่ฉากต่างๆ ไม่ว่าจะในหรือนอกเรือนจำ ผมเชื่อว่าหลายคนดูแล้วคงเข้าใจได้ไม่ยากว่าสภาพแวดล้อมแบบนั้นมันเอื้อให้คนสามารถรักษาความเป็นมนุษย์หรือความเป็นคนดีได้มาก-น้อยเพียงใด และจากชะตากรรมของตัวละครหลักที่เล่าเรื่อง เราๆ ท่านๆ จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าตลอดทั้งชีวิตเราจะไม่เจอแรงกดดันบีบคั้นให้ต้องกระทำการบางอย่าง หรือแม้แต่เป็นคราวเคราะห์ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด แล้วไปจบชีวิตที่เหลือในคุกแบบที่เห็นในภาพยนตร์
โดยสรุปแล้วสิ่งที่ผมคิดว่าได้รับจากภาพยนตร์ ‘วัยหนุ่ม 2544’ แน่นอนในมุมปัจเจกมันทำให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพราะคงไม่มีใครอยากเข้าไปถูกจำกัดอิสรภาพแรมเดือนแรมปีหรือหลายปี แต่ในมุมโครงสร้างสังคม หลายฉากหลายเรื่องในภาพยนตร์ทั้งที่เป็นฉากภายในและภายนอกกำแพงสูง ปัจจุบันผ่านมากว่า 2 ทศวรรษแล้วก็ยังคงมีให้ได้เห็นหรือได้ยินตามสื่อต่างๆ ทั้งที่เป็นและไม่เป็นทางการ ซึ่งหากต้องการทำให้เรือนจำเป็นสถานที่ดัดนิสัย-ดัดสันดาน ในความหมายที่มันเป็นตามถ้อยคำจริงๆ ไม่ใช่คำด่า-คำประชดเอาสะใจ และทำให้โลกภายนอกลดความรุนแรงอันเป็นปัจจัยที่ส่งใครบางคนในสังคมเข้าไปเพิ่มยอดผู้ต้องขังจากความพลั้งพลาดลง ( ก่อนจะนำความรุนแรงกลับออกมาสู่โลกภายนอก ดังที่เห็นในข่าวอยู่เนืองๆ ) นี่คือสิ่งที่ทั้งสังคมไม่ว่าจะอยู่ภาคส่วนใด จะต้องมองเห็นและเข้าใจตรงกัน!!!
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )