โตโยต้า หวั่นผลกระทบจาก “สงครามราคา” กลุ่มรถอีวีจีน ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งห่วงโซ่อุปทาน ย้ำชัด ต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้า-ความต้องการใช้งานเป็นหลัก แย้มปีหน้าได้เห็นรถ ปิกอัพ BEV ชัวร์
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยถึงสถานการณ์การแข่งขัน ของอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในปัจจุบันว่า การแข่งขันด้านราคา หรือสงครามราคา ของรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะพฤติกรรมที่ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อรถ
เห็นได้จากการลดราคาจำหน่ายลง 200,000 ถึง 300,000 บาท ของค่ายรถจีนบางยี่ห้อนั้น ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถลดได้ขนาดนี้และยังสามารถสร้างกำไรได้นั้น
ต้องต้องยอมรับว่าผู้ผลิตจีนมีศักยภาพแข่งขันค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามการลดราคาดังกล่าวจะอยู่ในกลุ่มรถยนต์ BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% เท่านั้น ซึ่งโตโยต้านั้น ไม่มีนโยบายในการที่จะไปลดราคาเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
ทั้งนี้โตโยต้าต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย หากลดลงราคามากขนาดนี้ จะมีผลกระทบต่อการขายต่อแน่นอน และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมอย่างแน่นอน
และโตโยต้ามองว่า การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนคงจะไม่มีตัวเลือกเพียงแค่รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) แต่รถไฮบริด (HEV), ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) และรวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นตัวเลือกที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ด้วย
“เราคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีใดจะมีความเหมาะสม โดยจะเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ไฮบริด ในช่วงที่ผ่านมา เพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า 100% มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1% ซึ่งตัวเลขทั้งสองนี้ คงจะเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”
นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้ คงจะใช้มากกว่า 10 ปี การบริหารหลังขาย โปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เป็น แวลูเชนจ์สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่พึงได้รับ
และในปลายปี 2568 ที่โตโยต้าได้ประกาศไว้ว่า โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปีหน้า ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากต้นทุนแล้ว ในเรื่องของการใช้งานตามความต้องการของลูกค้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่โตโยต้าให้ความสำคัญ
“รถปิกอัพเป็นเสาหลักของเรา ซึ่งเราจะพัฒนารถปิกอัพ BEV ใหม่ออกมาให้ได้ดีตอบรับความต้องการของลูกค้า”
นอกจากนี้นายยามาชิตะยังได้ประเมินยอดขายโดยรวมในปีนี้ว่าจะมียอดขายไม่ถึง 600,000 คัน ถือว่าต่ำมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น GDP ในไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัว 3% และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ของธนาคารแห่งประเทศไทย คงจะทำให้สถานการณ์ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/motoring/news-1705061#m4478s780rfgtelhieim
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
โตโยต้า ห่วง “สงครามราคา” ส่งผลต่อห่วงโซอุปทานยานยนต์ทั้งระบบ
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยถึงสถานการณ์การแข่งขัน ของอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในปัจจุบันว่า การแข่งขันด้านราคา หรือสงครามราคา ของรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะพฤติกรรมที่ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อรถ
เห็นได้จากการลดราคาจำหน่ายลง 200,000 ถึง 300,000 บาท ของค่ายรถจีนบางยี่ห้อนั้น ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถลดได้ขนาดนี้และยังสามารถสร้างกำไรได้นั้น
ต้องต้องยอมรับว่าผู้ผลิตจีนมีศักยภาพแข่งขันค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามการลดราคาดังกล่าวจะอยู่ในกลุ่มรถยนต์ BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% เท่านั้น ซึ่งโตโยต้านั้น ไม่มีนโยบายในการที่จะไปลดราคาเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
ทั้งนี้โตโยต้าต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย หากลดลงราคามากขนาดนี้ จะมีผลกระทบต่อการขายต่อแน่นอน และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมอย่างแน่นอน
และโตโยต้ามองว่า การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนคงจะไม่มีตัวเลือกเพียงแค่รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) แต่รถไฮบริด (HEV), ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) และรวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นตัวเลือกที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ด้วย
“เราคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีใดจะมีความเหมาะสม โดยจะเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ไฮบริด ในช่วงที่ผ่านมา เพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า 100% มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1% ซึ่งตัวเลขทั้งสองนี้ คงจะเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”
นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้ คงจะใช้มากกว่า 10 ปี การบริหารหลังขาย โปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เป็น แวลูเชนจ์สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่พึงได้รับ
และในปลายปี 2568 ที่โตโยต้าได้ประกาศไว้ว่า โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปีหน้า ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากต้นทุนแล้ว ในเรื่องของการใช้งานตามความต้องการของลูกค้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่โตโยต้าให้ความสำคัญ
“รถปิกอัพเป็นเสาหลักของเรา ซึ่งเราจะพัฒนารถปิกอัพ BEV ใหม่ออกมาให้ได้ดีตอบรับความต้องการของลูกค้า”
นอกจากนี้นายยามาชิตะยังได้ประเมินยอดขายโดยรวมในปีนี้ว่าจะมียอดขายไม่ถึง 600,000 คัน ถือว่าต่ำมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น GDP ในไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัว 3% และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ของธนาคารแห่งประเทศไทย คงจะทำให้สถานการณ์ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/motoring/news-1705061#m4478s780rfgtelhieim
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ