JJNY : อีกปม! ซื้อแบล็ค ฮอว์ก│“โฆษกพรรคปชน.”ลั่นไม่ลงถนน│กดภาคผลิตปีนี้ -1.6%│หิมะแรกกรุงโซลอาจสร้างความเสียหายหนัก

อีกปม!ซื้อแบล็ค ฮอว์ก 4 ลำ 4.2 พันล. ไฉน! จ้างเอกชนขนส่งอีก 59 ล้าน
https://www.isranews.org/article/isranews/133706-invessdsd-2.html
 
 
เปิดข้อมูลอีกปมยังไม่กระจ่าง กรณีจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ แบล็คฮอว์ก 4 ลำ 4.2 พันล. ปี 2564 โดยวิธี FMS ความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐ ไฉน!จ้างเอกชนขนส่งอีก 59 ล. ผ่านความเห็นชอบ ก.กลาโหมหรือไม่ ?
 
กรณีกองทัพบกได้จัดซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบใช้งานทั่วไป แบบ 60 รุ่น M หรือ แบล็ค ฮอว์ก ( BLACK HAWK) จำนวน 4 ลำ ราคาประมาณ 4.2 พันล้านบาท ในปีงบประมาณ 2564 โดยวิธี Foreign Military Sales (FMS) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกรอบความช่วยเหลือทางทหารที่รัฐบาลไทยได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือทางทหารกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)
 
ที่มาของโครงการนี้ เดิมเป็นโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตี (ระยะที่ 1 ) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ กองทัพบกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ 2564-2566 วงเงิน 4,226,127,500 บาท และ ส่วนเผื่อเหลือเผื่อขาดร้อยละ 5 จำนวน 211,306,375 บาท ซึ่งได้รับจัดสรรไว้ในปีงบประมาณ 2564
 จำนวน 845,225,500 บาท ปีงบประมาณ 2565 จำนวน 1,690,451,000 บาท และปีงบประมาณ 2566 จำนวน 1,690,451,000 บาท ผู้บังคับบัญชาได้ชะลอการดำเนินโครงการดังกล่าว และนำงบประมาณก้อนนี้ไปสนับสนุนโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์แบบใช้งานทั่วไป (ระยะที่ 1 ห้วงที่ 4 ) วงเงินรวม 128,064,469 ดอลล์สหรัฐ หรือประมาณ 4,226,127,477 บาท โดยขอให้ กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก (กบ.ทบ.) ดำเนินการขออนุมัติแผนจัดหา ในลักษณะผูกพัน 3 ปี งบประมาณ (2564-2566) ซึ่งกองทัพบกโดยสำนักปลัดบัญชีกองทัพบก จะต้องขออนุมัติเปลี่ยนแปลงโครงการดังกล่าวต่อ ครม. และขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ไปยังสำนักงบประมาณ อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.ให้ความ เห็นชอบ เมื่อใด อย่างไร ?

ล่าสุดพบว่า หลังลงนามจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ UH - 60 M แบล็ค ฮอว์ก จำนวน 4 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าว โดยวิธี Foreign Military Sales (FMS)  หน่วยงานของไทยทำสัญญาว่าจ้างเอกชนซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าขนส่งจากท่าเรือต้นทาง เมือง Houston , Texas ประเทศสหรัฐอเมริกา มายังท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย เป็นเงิน 59.1 ล้านบาท
 
จำแนกเป็น
 
ค่าดำเนินการรขนส่งทางเรือ 53,277,063.48 บาท (USD 1,514,844x@35.17 บาท) ,ค่าประกันภัยสินค้า 5,325,728 บาท , ค่าดำเนินการที่ท่าเรือแหลมฉบัง 540,243 บาท , ค่าใช้พื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง 10,000 บาท ,DG SURCHARGE 4,280 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 59,157,314.48 บาท
เรือขนส่งสินค้าชื่อ BBC CORAL ออกจากท่าเรือต้นทางเมือง Houston เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2565 เดินทางถึงท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2565 ก่อนบินไปลพบุรี
 
เอกชนวางบิลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2565 โดยทางกองทัพบกได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าขนส่งเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2566
 
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตในกรณีนี้ ในเมื่อเป็นการจัดซื้อโดยวิธี Foreign Military Sales (FMS) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกรอบความช่วยเหลือทางทหารที่รัฐบาลไทยได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือทางทหารกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

ทำไมหน่วยงานต้องจ้างเอกชนขนส่งสินค้า และผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงกลาโหมหรือไม่?



“โฆษกพรรคปชน.” ลั่นไม่ทำการเมืองลงถนนร่วมม็อบ “สนธิ”ไล่รัฐบาล ขอใช้กลไกสภาฯตรวจสอบอย่างเดียว
https://siamrath.co.th/n/583336

วันที่ 27 พ.ย.2567 เวลา 11.45 น.ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ระบุอาจมีมวลชนจากพรรคประชาชนไปร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เตรียมจะระดมมวลชนขับไล่รัฐบาลว่า  
 
เป็นการคาดการณ์ของนายณัฐวุฒิ ไม่แน่ใจอ้างอิงจากข้อมูลอะไร แต่พรรคประชาชนทำหน้าที่ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อใช้กลไกสส.ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทั้งเรื่องกระบวนการยุติธรรม เอ็มโอยู 44 ที่ดินเขากระโดง แต่หากมีประชาชนกลุ่มใดต้องการแสดงออกทางการเมืองผ่านการชุมนุม แม้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถชุมนุมได้ ไม่ว่าเป็นการชุมนุมที่พรรคประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ แต่เราหวังว่า การชุมนุมดังกล่าวจะไม่ละเมิดหลักการขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน
 
ขณะนี้พรรคประชาชนไม่มีความพยายามเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ในลักษณะการชุมนุม แต่มีความชัดเจนจะทำงานผ่านกลไกสภาฯ เพื่อตรวจสอบรัฐบาล ยืนยันว่าพรรคประชาชนเดินหน้าทำงานตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลผ่านกลไกสภาฯไม่ไปร่วมชุมนุม” นายพริษฐ์ กล่าว



หนี้ครัวเรือน – สินค้าตปท.ทะลัก – ผลเลือกตั้งสหรัฐ กดภาคผลิตปีนี้ -1.6% หวังปี68 ฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4922331

หนี้ครัวเรือน – สินค้าตปท.ทะลัก – ผลเลือกตั้งสหรัฐ กดดัชนีผลผลิตปีนี้ -1.6% หวังปี68 ฟื้น
 
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 93.41 หดตัวร้อยละ 0.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 57.75 ส่งผลให้ภาพรวม 10 เดือนแรกปี 2567 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.63 และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 58.72
 
โดยปัจจัยที่ส่งผลลบต่อภาคการผลิต ได้แก่ ปัญหาขาดกำลังซื้อภายในประเทศ หนี้ครัวเรือน และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ รวมถึงสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้านำเข้ามากขึ้นเนื่องจากราคาถูกกว่า และความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งสหรัฐ
 
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการเงิน 10,000 บาท เฟสแรก การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว และภาคการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคบริการและการผลิตรองรับสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องขยายตัวเพิ่มขึ้น

ด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนพฤศจิกายน 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง” โดยปัจจัยภายในประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง เนื่องจากยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์และพื้นที่การก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ด้านความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากความคาดหวังถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากภาคการผลิตในสหภาพยุโรปที่ซบเซาและญี่ปุ่นที่เริ่มชะลอตัว ส่วนในสหรัฐอเมริกามาจากความกังวลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของรัฐบาลชุดใหม่
 
จากตัวเลขดัชนี MPI 10 เดือนปี 2567 หดตัวร้อยละ 1.63 ส่งผลให้ สศอ. ปรับประมาณการปี 2567 โดยคาดว่าดัชนี MPI หดตัวร้อยละ 1.6 และ  GDP ภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ 1.0 และได้ประมาณการปี 2568 โดยคาดว่าดัชนี MPI จะกลับมาขยายตัวร้อยละ 1.5 – 2.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวร้อยละ 1.5 – 2.5
 
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการค้าระหว่างประเทศของไทยกับคู่ค้าหลักมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการขยายการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เช่นเดียวกันกับภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงมีทิศทางขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐผ่าน การลงทุนขนาดใหญ่
 
แต่ทั้งนี้ยังต้องเฝ้าระวังความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค ซึ่งอาจจะกระทบต่อทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต ราคาพลังงาน ราคาวัตถุดิบ และกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดในสหภาพยุโรป ความไม่แน่นอนของนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ รวมถึงต้นทุนการผลิต ค่าครองชีพ หนี้สินภาคธุรกิจและครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง อาจจะกระทบต่อการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและความต้องการซื้อในสินค้าต่าง ๆ ที่สำคัญได้... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_4922331
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่