สอท.หั่นเป้า ผลิตรถยนต์ ลงอีก 2 แสนคัน ฉุดปี 67 เหลือ 1.5 ล้านคัน ต่ำสุดในรอบ 4 ปี
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9520296
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หั่นเป้า ผลิตรถยนต์ ลงอีก 2 แสนคัน ฉุดปี 67 เหลือ 1.5 ล้านคัน ต่ำสุดในรอบ 4 ปี เผยสาเหตุปัจจัย
วันที่ 25 พ.ย.2567 นาย
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ปรับตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2567 ลดลง 200,000 คัน จาก 1,700,000 คัน เป็น 1,500,000 คัน ซึ่งเป็นเป้าหมายต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2564 อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน
โดยครั้งนี้เป็นการปรับลดในส่วนของการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลงจาก 550,000 คัน เป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน
โดยเป็นผลพวงจากยอดผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.2567) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลงจากปีก่อน 19.28% โดยเป็นการลดลงของยอดผลิตเพื่อส่งออก 4.69% อยู่ที่ 861,916 คัน และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง 39.89% อยู่ที่ 384,952 คัน
ส่วนยอดผลิตรถยนต์ในเดือนต.ค.2567 มีทั้งสิ้น 118,842 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.13% เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7% อยู่ที่ 87,741 คัน และการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลง 51.70% อยู่ที่ 31,101 คัน
ทั้งนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 37,691 คัน ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 36.08% ต่ำสุดในรอบ 54 เดือนนับตั้งแต่ยกเลิกล็อกดาวน์จากการระบาดโรคโควิด-19 เดือน ปี 2563 เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์เป็นหลัก ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 ของปีนี้มี 6,365,571 บัญชี ลดลงจากปีก่อน 199,655 บัญชี คิดเป็น 3.0%
และลดลงจากไตรมาสก่อน 75,377 บัญชี คิดเป็น 1.2% มีจำนวนเงินหนี้รถยนต์ 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 5.8% โดยเฉพาะรถบรรทุกลดลงจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำ และหนี้ครัวเรือนสูง ดัชนีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่ 0.1% ในไตรมาส 3
ส่วนการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนต.ค.2567 ส่งออกได้ 84,334 คัน ลดลงจากปีก่อน 20.23% เพราะฐานสูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 ที่ส่งออกถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรปที่สงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายมากขึ้น
อาจส่งผลกระทบการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวน้อยลง อีกความขัดแย้งที่ต้องติดตามแบบไม่กระพริบตาที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกคือ สงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจขยายไปประเทศอื่นซึ่งกระทบการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่นๆ
“พิธา” ยินดีเพื่อไทยชนะเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี มองบวก แพ้แต่พัฒนา
https://www.thairath.co.th/news/politic/2827447
“พิธา” ยินดี “ศราวุธ” ชนะเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี มองบวก แพ้แต่พัฒนา ได้คะแนนมากขึ้น ขอบคุณชาวอุดรฯ ออกมาใช้สิทธิ ปลุกพรรคประชาชนสู้ต่อไป ก้าวสู่ปี 2570 พร้อมขอให้พิจารณา 3 ข้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน
โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเมื่อคืนวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับ นาย
ศราวุธ เพชรพนมพร, นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทีมงานพรรคเพื่อไทย กับความสำเร็จของผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้
“
ขอส่งกำลังใจให้ นายคณิศร พรรคประชาชนและทีมงานทุกคน ถึงเราแพ้แต่พัฒนา ได้คะแนนเยอะกว่าก้าวไกลอีกนะครับ ช่องว่างคะแนนก็แคบลง ทั้งๆ ที่ voting turnout ต่ำกว่า สู้ต่อไปนะครับ สักวันต้องถึงเป้าหมายของเรา”
สำคัญที่สุด ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับพ่อแม่พี่น้องชาวอุดรธานีที่ออกมาใช้สิทธิ์ โดยเฉพาะทุกท่านที่ยอมเดินทาง นั่งรถไฟ รถทัวร์ ขึ้นเครื่องบินกลับมาอุดรธานี เพื่อเลือกตั้งท้องถิ่น เปรียบเป็นพาวเวอร์แบงก์ให้พวกเราเดินทางไกลต่อ ก้าวไปข้างหน้าและเคียงข้างกันไป
ต่อมาเมื่อเวลา 10.56 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 นาย
พิธา โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กอีกครั้งในเชิงวิเคราะห์ ว่า ปีที่แล้วเป็นการเลือกตั้งระดับประเทศ มีผู้มาใช้สิทธิ์ 800,000 คน (69%) และพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียง 220,000 คะแนน ปีนี้ (2567) เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น โดยมีผู้มาใช้สิทธิลดลงเหลือ 640,000 คน (52%) แต่พรรคประชาชนกลับได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 268,000 คะแนน นี่ถือเป็นคะแนนที่มากกว่าครั้งที่พรรคก้าวไกลเคยได้รับ แม้ว่าจะมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ลดลงก็ตาม
“
แม้เราจะไม่ได้ชัยชนะ แต่ก็ได้สร้างความก้าวหน้าสำคัญในหนึ่งในสมรภูมิที่ยากที่สุดนับตั้งแต่พรรคก้าวไกลก่อตั้งขึ้นมา อุดรธานีเคยเป็นฐานเสียงที่แข็งแกร่งของอีกฝ่ายมาโดยตลอด แต่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเรากำลังลดช่องว่างลงได้อย่างต่อเนื่อง”
นาย
พิธา ระบุต่อไปว่า อีก 3 ปีข้างหน้า เมื่อถึงรอบการเลือกตั้งระดับประเทศอีกครั้ง มันจะเป็นเกมที่แตกต่างออกไป การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีการเปิดให้ลงคะแนนเสียงจากต่างประเทศ (ซึ่งพี่น้องแรงงานจาก อ.หนองหาน, อ.เพ็ญ และ อ.บ้านผือ จำนวนมาก จะมีสิทธิ์ลงคะแนนจากต่างประเทศ) การลงคะแนนล่วงหน้า และการลงคะแนนนอกเขต ทำให้กระบวนการเลือกตั้งมีความครอบคลุมและเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย จุด tipping point (จุดพลิกผัน) พวกเราสามารถเพิ่มอัตราผู้มาใช้สิทธิ เปลี่ยนแปลงคะแนนเสียงในหน่วยเลือกตั้ง และสร้างอนาคตที่เสียงของทุกคนได้รับการได้ยินและนับอย่างแท้จริง
ก้าวสู่ปี 2570 ขอให้ทุกคนพิจารณา 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. ลองเทียบคะแนนรายอำเภอ จะเห็นเลยว่ามีโอกาสได้ สส. มากกว่า เขต 1 แน่นอน
2. เกาะติดพื้นที่แบบไม่ใช่แค่ระดับอำเภอ แต่ระดับตำบล หรือหมู่บ้านในเขตนั้นๆ
3. ใช้ กมธ. ที่ดิน เกษตร แรงงาน ท่องเที่ยว ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนในเขตนั้นๆ
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid02ezfqvh5u7oz1NpHXsPoojY14WdYaQasYPeBfjBn4kspfDhTCMcfTq2DMe9Q2kHZFl
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid031wJe3XcCc9peVKKMHxKfcAvLN6iKoBeemKTgFzA9GTqZubLrF9E35ui9rUUA8T5zl
"ทนายอั๋น" พร้อมผู้สมัคร สว. หอบกล้วยบุก กกต. ทวงคดีฮั้วเลือก สว.-หมอเกศ
https://ch3plus.com/news/political/morning/425951
25 พ.ย. 2567 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นาย
ภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนาย
อั๋น บุรีรัมย์ พร้อมผู้สมัคร สว.ทั่วประเทศ เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการฮั้วเลือกตั้ง สว. โดยแต่ละคนถือกล้วยมาหลายตะกร้า เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
โดย นาย
ภัทรพงศ์ กล่าวว่า คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่า แม้ไม่ได้เป็น สว. แต่หลายคนมีศักยภาพมากกว่าหลายตัวที่อยู่ในวุฒิสภาอีก ผ่านมาแล้ว 4 เดือน ย่างเข้าสู่เดือนที่ 5 ไม่มีอะไรคืบหน้า มีแค่ให้ตื่นเต้นนิดหน่อยกรณีคดี พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. หรือแม้กระทั่งคดีที่มีคำพิพากษาศาลสูงสุดว่าไม่สามารถลง สว.ได้ ก็ยังไม่ได้เอาออกหรือถีบไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
นาย
ภัทรพงศ์ กล่าวต่อว่า นาย
แสวง บุญมี เลขา กกต. เลื่อนกรณีของบุคคลทั้งสองคน หรือกรณีการดำเนินการตามปกติหน้าที่ กกต.ก็ยังไม่ทำ ดึงเชงกันไปมา หรือเอาป้าเชงเป็นสรณะ ดึงเชงกันตลอด วันนี้เลยเอาป้าเชงมาคล้องคอนายแสวง ซึ่งสว.ที่มากับตนวันนี้ ล้วนมีเกียรติมากกว่าคนที่อยู่ในวุฒิสภาหลายคน ทั้งนี้ตนมีคลิปเสียงของ สว.คนหนึ่ง ที่อยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) วุฒิสภา แต่ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งระดับประเทศ เป็นนักวิ่งที่วิ่งไปหาโหวตเตอร์ ไปเสนอเงินให้เขาจำนวน 1 แสนบาท โดยให้เขาไปก่อน 5 หมื่น แต่เมื่อเข้ามากรุงเทพฯ จะให้อีก 5 หมื่น คนแบบนี้หรือที่อยู่ในกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งวันนี้ตนจะส่งคลิปเสียงให้กับ กกต.ด้วย คนแบบนี้ทาง กกต.จะเอาอย่างไร
นาย
ภัทรพงศ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วันนี้ตนได้นำกล้วย หีบบัตรเลือกตั้ง ซึ่งที่ต้องมีหีบบัตรเลือกตั้งนั้น เพราะหลายการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นสังคม ผู้สมัคร สว. มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการฮั้วกัน วันนี้เรามาท้า กกต.ทั้งหมดให้ลงมาว่าใครที่จะสามารถกาเหมือนกันได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เขาขอให้เปิดหีบ นาย
แสวงก็ไม่ให้เปิด ในหีบนั้นมีอะไร ทั้งนี้ พวกตนเคยไปที่ศาลรัฐธรรมนูญมา ศาลรัฐธรรมนูญก็ปัดตกคำร้อง ไปศาลฎีกาและศาลปกครอง ก็ไม่รับคำร้อง แต่ก็ได้ยื่นที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร
“
ว่ากันแล้วแสวง บุญมี กับพวกอีก 7 คน ตอนนี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คดี เตรียมไปขึ้นศาลหลังเกษียณ แต่ตอนนี้เท่าที่ทราบคือนายแสวง ยังวาดฝันภาพหลังเกษียณไว้อย่างสวยงาม คือเข้ามาเป็น 1 ใน 7 กกต. และมีว่ากันว่าเตรียมชงให้เป็นประธาน กกต.คนถัดไป แต่พวกเราไม่ยอม และให้โอกาสนายแสวงเรื่องคดีหมอเกศ กับสว.อีกท่าน ที่มีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง ที่จะมีการประชุมกันวันพฤหัสหรือศุกร์นี้ หากวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์นี้ หมอเกศไม่กระเด็นไปศาลรัฐธรรมนูญ เจอกันลอตใหญ่ จะดึงเชงไปถึงไหน เขาบอกว่าสีน้ำเงินนั้น ไม่เอาเจ้าตัวแล้ว มีการวิ่งเอากล้วยไปให้คนนั้นคนนี้ แล้วพี่แหวงจะเอาอยู่หรือไม่” นาย
ภัทรพงศ์ กล่าว
JJNY : สอท.หั่นเป้า ผลิตรถยนต์│“พิธา” ยินดีเพื่อไทยชนะลือกตั้ง│"ทนายอั๋น"บุก กกต.ทวงคดี│ยูเครนศึกษาซาก ‘โอเรชนิค’
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9520296
วันที่ 25 พ.ย.2567 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ปรับตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2567 ลดลง 200,000 คัน จาก 1,700,000 คัน เป็น 1,500,000 คัน ซึ่งเป็นเป้าหมายต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2564 อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน
โดยครั้งนี้เป็นการปรับลดในส่วนของการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลงจาก 550,000 คัน เป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน
โดยเป็นผลพวงจากยอดผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.2567) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลงจากปีก่อน 19.28% โดยเป็นการลดลงของยอดผลิตเพื่อส่งออก 4.69% อยู่ที่ 861,916 คัน และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง 39.89% อยู่ที่ 384,952 คัน
ส่วนยอดผลิตรถยนต์ในเดือนต.ค.2567 มีทั้งสิ้น 118,842 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.13% เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 7% อยู่ที่ 87,741 คัน และการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลง 51.70% อยู่ที่ 31,101 คัน
ทั้งนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 37,691 คัน ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 36.08% ต่ำสุดในรอบ 54 เดือนนับตั้งแต่ยกเลิกล็อกดาวน์จากการระบาดโรคโควิด-19 เดือน ปี 2563 เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์เป็นหลัก ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 ของปีนี้มี 6,365,571 บัญชี ลดลงจากปีก่อน 199,655 บัญชี คิดเป็น 3.0%
และลดลงจากไตรมาสก่อน 75,377 บัญชี คิดเป็น 1.2% มีจำนวนเงินหนี้รถยนต์ 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 5.8% โดยเฉพาะรถบรรทุกลดลงจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำ และหนี้ครัวเรือนสูง ดัชนีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่ 0.1% ในไตรมาส 3
ส่วนการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนต.ค.2567 ส่งออกได้ 84,334 คัน ลดลงจากปีก่อน 20.23% เพราะฐานสูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 ที่ส่งออกถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรปที่สงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายมากขึ้น
อาจส่งผลกระทบการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวน้อยลง อีกความขัดแย้งที่ต้องติดตามแบบไม่กระพริบตาที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกคือ สงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจขยายไปประเทศอื่นซึ่งกระทบการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่นๆ
“พิธา” ยินดีเพื่อไทยชนะเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี มองบวก แพ้แต่พัฒนา
https://www.thairath.co.th/news/politic/2827447
“พิธา” ยินดี “ศราวุธ” ชนะเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี มองบวก แพ้แต่พัฒนา ได้คะแนนมากขึ้น ขอบคุณชาวอุดรฯ ออกมาใช้สิทธิ ปลุกพรรคประชาชนสู้ต่อไป ก้าวสู่ปี 2570 พร้อมขอให้พิจารณา 3 ข้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเมื่อคืนวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับ นายศราวุธ เพชรพนมพร, นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทีมงานพรรคเพื่อไทย กับความสำเร็จของผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้
“ขอส่งกำลังใจให้ นายคณิศร พรรคประชาชนและทีมงานทุกคน ถึงเราแพ้แต่พัฒนา ได้คะแนนเยอะกว่าก้าวไกลอีกนะครับ ช่องว่างคะแนนก็แคบลง ทั้งๆ ที่ voting turnout ต่ำกว่า สู้ต่อไปนะครับ สักวันต้องถึงเป้าหมายของเรา”
สำคัญที่สุด ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับพ่อแม่พี่น้องชาวอุดรธานีที่ออกมาใช้สิทธิ์ โดยเฉพาะทุกท่านที่ยอมเดินทาง นั่งรถไฟ รถทัวร์ ขึ้นเครื่องบินกลับมาอุดรธานี เพื่อเลือกตั้งท้องถิ่น เปรียบเป็นพาวเวอร์แบงก์ให้พวกเราเดินทางไกลต่อ ก้าวไปข้างหน้าและเคียงข้างกันไป
ต่อมาเมื่อเวลา 10.56 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 นายพิธา โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กอีกครั้งในเชิงวิเคราะห์ ว่า ปีที่แล้วเป็นการเลือกตั้งระดับประเทศ มีผู้มาใช้สิทธิ์ 800,000 คน (69%) และพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียง 220,000 คะแนน ปีนี้ (2567) เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น โดยมีผู้มาใช้สิทธิลดลงเหลือ 640,000 คน (52%) แต่พรรคประชาชนกลับได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 268,000 คะแนน นี่ถือเป็นคะแนนที่มากกว่าครั้งที่พรรคก้าวไกลเคยได้รับ แม้ว่าจะมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ลดลงก็ตาม
“แม้เราจะไม่ได้ชัยชนะ แต่ก็ได้สร้างความก้าวหน้าสำคัญในหนึ่งในสมรภูมิที่ยากที่สุดนับตั้งแต่พรรคก้าวไกลก่อตั้งขึ้นมา อุดรธานีเคยเป็นฐานเสียงที่แข็งแกร่งของอีกฝ่ายมาโดยตลอด แต่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเรากำลังลดช่องว่างลงได้อย่างต่อเนื่อง”
นายพิธา ระบุต่อไปว่า อีก 3 ปีข้างหน้า เมื่อถึงรอบการเลือกตั้งระดับประเทศอีกครั้ง มันจะเป็นเกมที่แตกต่างออกไป การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีการเปิดให้ลงคะแนนเสียงจากต่างประเทศ (ซึ่งพี่น้องแรงงานจาก อ.หนองหาน, อ.เพ็ญ และ อ.บ้านผือ จำนวนมาก จะมีสิทธิ์ลงคะแนนจากต่างประเทศ) การลงคะแนนล่วงหน้า และการลงคะแนนนอกเขต ทำให้กระบวนการเลือกตั้งมีความครอบคลุมและเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย จุด tipping point (จุดพลิกผัน) พวกเราสามารถเพิ่มอัตราผู้มาใช้สิทธิ เปลี่ยนแปลงคะแนนเสียงในหน่วยเลือกตั้ง และสร้างอนาคตที่เสียงของทุกคนได้รับการได้ยินและนับอย่างแท้จริง
ก้าวสู่ปี 2570 ขอให้ทุกคนพิจารณา 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. ลองเทียบคะแนนรายอำเภอ จะเห็นเลยว่ามีโอกาสได้ สส. มากกว่า เขต 1 แน่นอน
2. เกาะติดพื้นที่แบบไม่ใช่แค่ระดับอำเภอ แต่ระดับตำบล หรือหมู่บ้านในเขตนั้นๆ
3. ใช้ กมธ. ที่ดิน เกษตร แรงงาน ท่องเที่ยว ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนในเขตนั้นๆ
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid02ezfqvh5u7oz1NpHXsPoojY14WdYaQasYPeBfjBn4kspfDhTCMcfTq2DMe9Q2kHZFl
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid031wJe3XcCc9peVKKMHxKfcAvLN6iKoBeemKTgFzA9GTqZubLrF9E35ui9rUUA8T5zl
"ทนายอั๋น" พร้อมผู้สมัคร สว. หอบกล้วยบุก กกต. ทวงคดีฮั้วเลือก สว.-หมอเกศ
https://ch3plus.com/news/political/morning/425951
25 พ.ย. 2567 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมผู้สมัคร สว.ทั่วประเทศ เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการฮั้วเลือกตั้ง สว. โดยแต่ละคนถือกล้วยมาหลายตะกร้า เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
โดย นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่า แม้ไม่ได้เป็น สว. แต่หลายคนมีศักยภาพมากกว่าหลายตัวที่อยู่ในวุฒิสภาอีก ผ่านมาแล้ว 4 เดือน ย่างเข้าสู่เดือนที่ 5 ไม่มีอะไรคืบหน้า มีแค่ให้ตื่นเต้นนิดหน่อยกรณีคดี พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. หรือแม้กระทั่งคดีที่มีคำพิพากษาศาลสูงสุดว่าไม่สามารถลง สว.ได้ ก็ยังไม่ได้เอาออกหรือถีบไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
นายภัทรพงศ์ กล่าวต่อว่า นายแสวง บุญมี เลขา กกต. เลื่อนกรณีของบุคคลทั้งสองคน หรือกรณีการดำเนินการตามปกติหน้าที่ กกต.ก็ยังไม่ทำ ดึงเชงกันไปมา หรือเอาป้าเชงเป็นสรณะ ดึงเชงกันตลอด วันนี้เลยเอาป้าเชงมาคล้องคอนายแสวง ซึ่งสว.ที่มากับตนวันนี้ ล้วนมีเกียรติมากกว่าคนที่อยู่ในวุฒิสภาหลายคน ทั้งนี้ตนมีคลิปเสียงของ สว.คนหนึ่ง ที่อยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) วุฒิสภา แต่ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งระดับประเทศ เป็นนักวิ่งที่วิ่งไปหาโหวตเตอร์ ไปเสนอเงินให้เขาจำนวน 1 แสนบาท โดยให้เขาไปก่อน 5 หมื่น แต่เมื่อเข้ามากรุงเทพฯ จะให้อีก 5 หมื่น คนแบบนี้หรือที่อยู่ในกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งวันนี้ตนจะส่งคลิปเสียงให้กับ กกต.ด้วย คนแบบนี้ทาง กกต.จะเอาอย่างไร
นายภัทรพงศ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วันนี้ตนได้นำกล้วย หีบบัตรเลือกตั้ง ซึ่งที่ต้องมีหีบบัตรเลือกตั้งนั้น เพราะหลายการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นสังคม ผู้สมัคร สว. มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการฮั้วกัน วันนี้เรามาท้า กกต.ทั้งหมดให้ลงมาว่าใครที่จะสามารถกาเหมือนกันได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เขาขอให้เปิดหีบ นายแสวงก็ไม่ให้เปิด ในหีบนั้นมีอะไร ทั้งนี้ พวกตนเคยไปที่ศาลรัฐธรรมนูญมา ศาลรัฐธรรมนูญก็ปัดตกคำร้อง ไปศาลฎีกาและศาลปกครอง ก็ไม่รับคำร้อง แต่ก็ได้ยื่นที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร
“ว่ากันแล้วแสวง บุญมี กับพวกอีก 7 คน ตอนนี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คดี เตรียมไปขึ้นศาลหลังเกษียณ แต่ตอนนี้เท่าที่ทราบคือนายแสวง ยังวาดฝันภาพหลังเกษียณไว้อย่างสวยงาม คือเข้ามาเป็น 1 ใน 7 กกต. และมีว่ากันว่าเตรียมชงให้เป็นประธาน กกต.คนถัดไป แต่พวกเราไม่ยอม และให้โอกาสนายแสวงเรื่องคดีหมอเกศ กับสว.อีกท่าน ที่มีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง ที่จะมีการประชุมกันวันพฤหัสหรือศุกร์นี้ หากวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์นี้ หมอเกศไม่กระเด็นไปศาลรัฐธรรมนูญ เจอกันลอตใหญ่ จะดึงเชงไปถึงไหน เขาบอกว่าสีน้ำเงินนั้น ไม่เอาเจ้าตัวแล้ว มีการวิ่งเอากล้วยไปให้คนนั้นคนนี้ แล้วพี่แหวงจะเอาอยู่หรือไม่” นายภัทรพงศ์ กล่าว