ตั้งใจสมัครสมาชิกเพื่อแชร์มุมมองในฐานะที่ผมเป็นแพทย์คนนึง ที่ทำงานทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนมายาวนานหลายปี
จากการวิเคราะห์และจากใจแพทย์ที่ทำงานใกล้ชิด คลุกคลีอยู่กับระบบแบบนี้มานาน
ไม่รู้นะว่าหมอท่านอื่นจะมีความเห็นกับเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้อย่างไร เอาเป็นว่าเพื่อนๆผมที่เป็นหมอด้วยกัน กลับเห็นด้วยกันหมดและมองว่ามันเป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน ควรต้องได้รับการรื้อระบบใหม่สักที ได้แต่หวังได้แต่คิด แต่ไม่มีใครทำสักที
เนื่องด้วยที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ ที่ทางสภาเภสัชจะคิดโครงการร้านยาอบอุ่นขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนไข้ผู้มีสิทธิบัตรทองในกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อย แต่ทางแพทยสภาไม่เห็นด้วยนั้น
ผมมองว่าทุกฝ่ายมีเหตุผลของกันและกัน แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้ว ผลกระทบมันตกไปอยู่ที่คนไข้หรือผู้ที่ต้องการมารับการรักษาอาการเจ็บไข้ และอยากหายหรือหลุดพ้นจากอาการเหล่านั้น
ทำไมผมถึงเห็นด้วยกับสิ่งที่ทางสภาเภสัชหลายเรื่อง ก็เพราะว่าเรื่องดังกล่าวมันก็เป็นปัญหามานานนะ ไม่ใช่แค่แพทย์ผู้ปฎิบัติงาน ที่ทำงานตรวจคนไข้เป็นล่ำเป็นสันอย่างบ้าคลั่งอย่างเดียว มันเป็นปัญหาจนกระทบทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบดูแย่และเชื่องช้าไปด้วย ทั้งกลุ่มพยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล
แน่นอนว่า ขาดพวกเขาเหล่านี้ไปไม่ได้ แพทย์ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ จะให้ในโรงพยาบาลมีแต่แพทย์โดยไม่มีทีมงานอื่นเลย มีแต่หมอกับพยาบาล ก็คงเป็นไม่ได้ โรงพยาบาลเหมือนลำตัว โรงพยาบาลคือหัวใจ แพทย์คือสมอง พยาบาลคือแขนสองข้าง บุคคลากรและเจ้าหน้าที่ต่างๆทุกส่วน คือแข้งขาและส่วนอื่นๆที่ร่างกายต้องมี จึงจะครบ 32 ประการคือมนุษย์ที่สมบูรณ์ ฉะนั้นทุกส่วนมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน จึงไปต่อได้
ผมแค่อยากจะบอกว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์กับโครงการนี้จริงๆ คนที่ได้รับประโยชน์ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นพวกเราทุกคน
มันเป็นเพียงการกระจายความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนที่มีรับสิทธิประกันสังคมก็กำลังเจอปัญหาคนไข้เยอะเหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวล มันควรจะต้องจัดการจริงๆสักที เพื่อเป็นการปรับให้อะไรหลายๆอย่างที่คนทำงานข้างในอยากจะพูด อยากมีปากมีเสียง แต่กลับทำไม่ได้ พูดไปก็ไม่ได้รับการแก้ไข มันเป็นแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว ระบบการทำงานที่ผ่านมาก็แค่เหมือนรอระเบิดเวลาที่นับถอยหลังไปอย่างช้าๆ ที่สักวัน ตัวผมเองที่เป็นแพทย์ยังรู้ว่าสักวันยังไงมันก็พัง
สิ่งที่คนไข้หรือผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่บุคลากร จะได้จากประโยชน์เรื่องนี้ และมันเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ได้อย่างแท้จริงกับตาและเริ่มทันทีคือ
1.
คนไข้ไม่ต้องเสียเวลากับการรอคิวตรวจกับแพทย์นาน ขอโทษนะที่บางครั้งการมาโรงพยาบาลของคนไข้กลับเป็นเรื่องที่ต้องยก 1 วันเพื่อมาเจอหมอ ด่าหมอว่าทำไมหมอถึงมาช้าจังเลย แต่ข้อแจ้งว่าหมอๆเขาต้องราวด์วอร์ดคนไข้ที่นอนรักษาในโรงพยาบาลก่อนครับ พอเสร็จจากจุดนั้นแล้ว ถึงจะลงมาตรวจอาการ พูดคุย กับคนไข้ที่มาปรึกษาอาการกันได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหมอถึงลงตรวจช้า ตัวหมอมาโรงพยาบาลเช้านะ บางวันตี 5 ก็มาโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็แพ้คนไข้อยู่ดี (ผู้ป่วยนอก) มาก่อนหมอและพยาบาลซะอีก มาตี3ตี4 เพียงเพื่อมารับบัตรคิว หวังจะได้เจอหมอเร็วและกลับบ้านก่อน 9-10 โมงเช้า แต่ความจริงได้เจอหมอทีเกือบ 9 โมงเช้า รอรับยาก็ตอนใกล้เที่ยง... นั่นแหละครับ หมอราวด์ตึกผู้ป่วยในอยู่ครับ ไม่ได้นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือหรือไปวิ่งจ็อกกิงช่วงเช้าก่อนมาทำงานแต่อย่างใด
คนไข้แห่กันมาโรงพยาบาล โดยเฉพาะ รพท ซึ่งคนไข้จะรู้สึกว่าเป็นอะไรก็ต้องมา รพท นี่แหละชัวร์สุด ได้เจอหมอเฉพาะทางได้เจอหมอเก่งหมอดีๆ แต่พอทุกคนแห่กันมาเยอะจนเกินความสามารถที่ทางโรงพยาบาลจะรองรับได้ มันกลับทำให้พวกผมดูแลคนไข้ได้ไม่ทั่วถึง หรือไม่ละเอียดมากพอ เนื่องด้วยแพทย์ 1 คนต้องตรวจคนไข้ 150-200 คน ในภาคเช้าและด้วยเวลามีจำกัด อาจจะไม่ได้ซักอาการกับคนไข้ที่ละเอียดมากนัก แต่ถ้าเป็นของเอกชน หมอมีเวลาให้คนไข้เต็มที่จนกว่าจะหายข้อสงสัย (ก็นะเอกชนไง)
พอได้คุยกับหมอ 2 นาทีแล้วให้ไปรับยา (ถามอาการเสร็จแล้วและมั่นใจว่าเป็นอะไร) ลองทานยาดูก่อนนะ ...คนไข้ก็มาด่าหมออีก ว่าหมอทำไมถามสองสามคำ แล้วจ่ายยาเลย ทำไมไม่ถามให้ละเอียด
อันนี้ก็ต้องมาดูกันว่าแต่ละคนเป็นอะไรครับ หากมันยังอยู่ในขั้นต้นไม่ร้ายแรง ยังไงแพทย์มีการติดตามอาการคนไข้ทุกคนเสมอ จึงเป็นที่มาว่าแพทย์จะลงวันนัดของคนไข้ให้มาหาหมออีกครั้ง แม้ว่าคนไข้จะหายแล้วก็ตาม มา follow อาการกันหน่อย เป็นยังไงรู้สึกยังไงมาพูดคุย คนไข้บางคนพอหายแล้ว ไม่มาตามนัดก็มีเยอะ หรือบางคนมานอกเวลาแทน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน แล้วแต่ความสะดวกแต่ละคน ให้มาพบแพทย์อีกครั้ง
ก็เพื่อที่ว่าแพทย์จะได้ใช้กรณีของคุณ ไว้เป็นทางเพื่อรักษาคนไข้ที่มีอาการเช่นเดียวกันต่อไปได้ จะบอกว่าเวลารักษาคนไข้แล้วหาย หมอดีใจนะครับ และได้มีการเรียนรู้อยู่ตลอด ในทุกๆครั้งที่รักษาคนไข้ เรียนหมอแค่ 6 ปี มันยังไงรู้ไม่หมดทุกเรื่องหรอกครับ มี case by case ตลอด
แจกแจงแต่ละประเด็น ให้มองเห็นสองด้าน ของแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของโรงพยาบาล
2.
หากคนไข้อาการไม่ใช่ฉุกเฉินหรือเลือดตกยางออก ต้องได้รับการผ่าตัดทันที แค่เจ็บคอ ไอเล็กน้อย ปวดท้องเล็กๆน้อยๆ การที่ต้องลางานหรือต้องหยุดงานเพื่อมาเจอหมอ และมารอคิวนานหลายชั่วโมง มันเป็นเรื่องเสียเวลาใช่ไหม กับการที่จะต้องมารับบัตรคิวยาวเหยียด และสุดท้ายบางคนอาจจะคิดว่า ยานี้ อาการนี้ ไปร้านขายยาก็ได้ เพราะทางเภสัชกรที่ร้านถามอาการละเอียดและให้เวลาปรึกษาที่นานกว่ามาเจอหมอที่โรงพยาบาล
ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูก และจริงด้วย เพราะอาการของท่านไม่ได้ฉุกเฉิน หากไม่ได้ทานยา บางครั้งก็หายเองได้ บางโรคเกิดจากความเครียด การพักผ่อน การทานอาหาร หากคุณไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แค่หยุดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น อาการหายได้โดยไม่ต้องพึ่งยาเคมีด้วยซ้ำ
พอไปร้านยาเภสัชกร บางคนทำงานไม่มีเวลาไปโรงพยาบาล การไปร้านขายยาที่มีเภสัชกรถูกต้องตามกฎหมายและมีใบอนุญาต ก็ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คนไข้ไม่ต้องเสียเวลาในข้อเสียที่กล่าวไปเลย ประหยัดเวลา ไม่ต้องลางาน เลิกงานก็ไปร้านขายยาได้เลย
ส่วนอีกฝั่งนึง ก็เป็นการลดความแออัดคนไข้ในโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน พอคนไข้ที่ไม่ใช่อาการร้ายแรงไม่พากันแห่มา รพท ที่มีที่เดียวของจังหวัด ก็ทำให้การทำงานในระบบดีขึ้น ดูแลคนไข้ได้ทั่วถึงขึ้นนั่นเอง จะได้ไม่โดนด่าก็ไม่พ้นประเด็นเดิมๆคือ
การชอบให้คนไข้รู้สึกไม่ดีทุกครั้งเวลามาโรงพยาบาล ต้องมารับบัตรคิวเพื่อเจอหมอ รอก็นาน และด่าหมอ ด่าโรงพยาบาล ว่ามาทีไรก็เสียเวลา รอพบหมอ 3-4 ชั่วโมง แต่พอได้เจอหมอกลับได้คุยไม่ถึง 2 นาทื ถามสิบคำก็เขียนใบสั่งยาและให้รับยากลับบ้าน
ถามในใจว่าแล้วฉันจะมาทำไม ไปร้านขายยาดีกว่ามั้ย เพราะฉันแค่ ฉันแค่ปวดท้อง ฉันแค่ถ่ายยาก ฉันแค่ท้องเสีย ฉันแค่เป็นไข้ ปวดหัว ไอ เจ็บคอ... อาการพวกนี้ถือว่าเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อยครับผม มันทำให้คนไข้ที่ต้องรักษาเร่งด่วน กลับได้รับการดูแลรักษาที่ช้าไปด้วย
แต่หากเรื่องนี้มันสำเร็จขึ้นจริง
แน่อนอนว่า อาการเล็กน้อย การไปร้านขายยา ปรึกษาเภสัชกรเบื้องต้น เป็นการลดปัญหาทั้งปวงที่คนไข้ไม่อยากพบเจอ ก็จบปัญหาเรื่องนี้ที่คุณกังวลใจหรือรู้สึกเสียเวลา เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลามารอคิวนาน ส่วนทางโรงพยาบาลและบุคลากรในโรงพยาบาลก็ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ดูแลคนไข้ที่อาการหนักจริงๆได้เร็วขึ้น ครอบคลุมทั่วถึง ถือว่าทุกคนทุกฝ่ายได้ประโยชน์
แต่ถึงอย่างไร ขอยืนยันว่าหากท่านเป็นอะไรเกินควบคุมที่ทางเภสัชกรจะรักษาให้ท่านได้ ท่านต้องมาที่โรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอยู่ดี เพราะเภสัชกรไม่สามารถวิจัยฉัยโรคของท่านได้ หากเกินความสามารถ ท่านต้องมาโรงพยาบาลเท่านั้น
3.
เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มารับบริการ ในกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อย อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง
บางคนบ้านอยู่ไกลจาก รพท มากกกกกก มาทีก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เติมน้ำมันรถ 1,000 หรือบางคนรู้จักมาส่ง เสียเงินทั้งจ้างไปส่งไปรับ กลายเป็นว่าการมาโรงพยาบาลเพียงเพื่อรักษาอาการเป็นหวัด เป็นไข้ ปวดท้อง เสียเงินหลายพัน แถมยังรู้สึกไม่ดีกับการมาโรงพยาบาลเพราะรู้ว่ากว่าจะได้กลับเจอหมอ กว่าจะได้รับยา คือนาน กินเวลาไปค่อนวัน
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นไปร้านขายยา ที่จ่ายยาโดยเภสัชกรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง คุณตัดปัญหาเหล่านี้ออกไปได้เลย
ประหยัดเงิน ไม่ต้องเสียเวลานาน ไม่ต้องลางาน โรงพยาบาลไม่แออัด
หากวันนี้มีคนมาโรงพยาบาล 400 คน มีกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อยถึง 300 คน กลุ่มเจ็บป่วยที่ต้องพบหมอเร่งด่วนมี 100 คน ลองนึกภาพตามครับว่าจะเป็นอย่างไร มันควรจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ แค่หมอเห็นกลุ่มคนเจ็บป่วยเล็กน้อย 300 คนก็เหนื่อยแล้วครับ ไม่ได้เหนื่อยกายนะ แต่บางคนไม่มีความจำเป็นต้องมาโรงพยาบาลด้วยซ้ำ อาการของท่าน หากเทียบกับเวลาที่ต้องแลกเพื่อมาเจอหมอ สู้ไปร้านขายยาจะดีกว่า จริงไหม
4.
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาของระบบ ระหว่าง โรงพยาบาล(ระบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยทั้งในและนอก) + แพทย์ + พยาบาล + เภสัชกร + เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ อยู่อีกหลายเรื่องเหมือนกัน
อยากให้ทุกฝ่ายลองมาจับเข่าคุยกันถึงปัญหาสักที หากคิดถึงและห่วงใยคนไข้ทั้งประเทศอย่างใจจริง ไม่ใช่ผลประโยชน์
.
ผมก็รู้สึกอะไรหลายๆอย่างและมองเห็นปัญหาเหล่านี้มานานแล้วเหมือนกัน
บางครั้งก็สงสารน้องๆ extern-intern เหมือนกัน งานมันหนักมาก จนบางครั้งเด็กๆนิสิตชั้น pre พากันกำหมัดกันเลยเมื่อมาเห็นงานรุ่นพี่ที่รอส่งต่อให้รุ่นน้อง
ผมก็ผ่านจุดนั้นมานานแล้ว หากไม่นับช่วงตอนเป็น intern, resident+fellow gi 5 ปี + ต่อยอดด้าน colon + ผ่าตัดอีกหลายปีเลยกว่าจะรู้ทั้งหมดแต่ก็เหนื่อยนะ แต่สนุกดีท้าทาย ได้ช่วยเหลือคนไข้เยอะขึ้น ทำเอกชนก็ได้เครดิตที่เยอะมากขึ้น พอไปรพ.รัฐก็ได้ช่วยเหลือคนไข้เยอะขึ้น แบ่งเบาภาระแพทย์อื่นได้ ช่วยๆกันไป ตามกำลังที่มีและไหว
แต่ถ้าให้เรียนต่อสาขาที่แตกต่างกันแบบก้าวกระโดดคนละเส้น คงไม่เอา เพราะเหนื่อยเหมือนกัน ต่อด้านที่คล้ายๆกันมันง่ายกว่า555
จะบอกว่า การลุยทุกด่าน มีการแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่เงินนะ แต่เป็นสุขภาพและเวลา อยู่ที่ว่าจะเห็นถึงความคุณค่าและประโยชน์มากน้อยแค่ไหน บางคนอยากทำงานเลย แต่ผมกลับมองเห็นประโยชน์มหาศาลจากการต่อยอดเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่าแพทย์รุ่นเก่าเจอแบบไหนมา เขายังทนและผ่านกันไปได้ แพทย์รุ่นใหม่ จบทีหลังก็ต้องทนเหมือนกัน
หากพากันคิดแบบนี้ ปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาจนแทบจะฝังรากลึกจนกลายเป็นธรรมเนียมที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ จะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ได้แก้ไขกันสักที
การเป็น staff แล้วต้องรับผิดชอบคอยควบคุมอะไรหลายอย่าง มันก็เหนื่อยแหละ แต่เป็นการเหนื่อยที่เราเต็มใจรับไว้แล้ว น้องๆทุกคนที่ผมเคยสอน ผมจะพูดเสมอว่า จงรักษาคนไข้ทุกคนเหมือนเขาคือคนในครอบครัวของเรา ไม่มีใครอยากเห็นคนที่เรารักป่วย เอาใจเขามาใส่ใจเรา ชีวิตคนมีค่าเท่ากัน
ผมเพียงแค่แสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมเท่านั้น ขอย้ำว่าเป็นแค่มุมมองความคิด
แต่ประเด็นนี้ กลับมีเพื่อนแพทย์หลายคนมาก ที่ให้เหตุผลเห็นตรงกันเหมือนผมจนเยอะแบบไม่แตกแถว
แต่มันดังไปไม่ถึงข้างบนครับ
จากใจแพทย์คนนึงที่อยากมาแชร์ความคิดเห็นส่วนตัว และดูเหมือนว่าปัญหานี้มันก็มีความอืดอัดเรื้อรังมานาน
จากการวิเคราะห์และจากใจแพทย์ที่ทำงานใกล้ชิด คลุกคลีอยู่กับระบบแบบนี้มานาน
ไม่รู้นะว่าหมอท่านอื่นจะมีความเห็นกับเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้อย่างไร เอาเป็นว่าเพื่อนๆผมที่เป็นหมอด้วยกัน กลับเห็นด้วยกันหมดและมองว่ามันเป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน ควรต้องได้รับการรื้อระบบใหม่สักที ได้แต่หวังได้แต่คิด แต่ไม่มีใครทำสักที
เนื่องด้วยที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ ที่ทางสภาเภสัชจะคิดโครงการร้านยาอบอุ่นขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนไข้ผู้มีสิทธิบัตรทองในกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อย แต่ทางแพทยสภาไม่เห็นด้วยนั้น
ผมมองว่าทุกฝ่ายมีเหตุผลของกันและกัน แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้ว ผลกระทบมันตกไปอยู่ที่คนไข้หรือผู้ที่ต้องการมารับการรักษาอาการเจ็บไข้ และอยากหายหรือหลุดพ้นจากอาการเหล่านั้น
ทำไมผมถึงเห็นด้วยกับสิ่งที่ทางสภาเภสัชหลายเรื่อง ก็เพราะว่าเรื่องดังกล่าวมันก็เป็นปัญหามานานนะ ไม่ใช่แค่แพทย์ผู้ปฎิบัติงาน ที่ทำงานตรวจคนไข้เป็นล่ำเป็นสันอย่างบ้าคลั่งอย่างเดียว มันเป็นปัญหาจนกระทบทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบดูแย่และเชื่องช้าไปด้วย ทั้งกลุ่มพยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล
แน่นอนว่า ขาดพวกเขาเหล่านี้ไปไม่ได้ แพทย์ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ จะให้ในโรงพยาบาลมีแต่แพทย์โดยไม่มีทีมงานอื่นเลย มีแต่หมอกับพยาบาล ก็คงเป็นไม่ได้ โรงพยาบาลเหมือนลำตัว โรงพยาบาลคือหัวใจ แพทย์คือสมอง พยาบาลคือแขนสองข้าง บุคคลากรและเจ้าหน้าที่ต่างๆทุกส่วน คือแข้งขาและส่วนอื่นๆที่ร่างกายต้องมี จึงจะครบ 32 ประการคือมนุษย์ที่สมบูรณ์ ฉะนั้นทุกส่วนมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน จึงไปต่อได้
ผมแค่อยากจะบอกว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์กับโครงการนี้จริงๆ คนที่ได้รับประโยชน์ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นพวกเราทุกคน
มันเป็นเพียงการกระจายความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนที่มีรับสิทธิประกันสังคมก็กำลังเจอปัญหาคนไข้เยอะเหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวล มันควรจะต้องจัดการจริงๆสักที เพื่อเป็นการปรับให้อะไรหลายๆอย่างที่คนทำงานข้างในอยากจะพูด อยากมีปากมีเสียง แต่กลับทำไม่ได้ พูดไปก็ไม่ได้รับการแก้ไข มันเป็นแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว ระบบการทำงานที่ผ่านมาก็แค่เหมือนรอระเบิดเวลาที่นับถอยหลังไปอย่างช้าๆ ที่สักวัน ตัวผมเองที่เป็นแพทย์ยังรู้ว่าสักวันยังไงมันก็พัง
สิ่งที่คนไข้หรือผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่บุคลากร จะได้จากประโยชน์เรื่องนี้ และมันเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ได้อย่างแท้จริงกับตาและเริ่มทันทีคือ
1.
คนไข้ไม่ต้องเสียเวลากับการรอคิวตรวจกับแพทย์นาน ขอโทษนะที่บางครั้งการมาโรงพยาบาลของคนไข้กลับเป็นเรื่องที่ต้องยก 1 วันเพื่อมาเจอหมอ ด่าหมอว่าทำไมหมอถึงมาช้าจังเลย แต่ข้อแจ้งว่าหมอๆเขาต้องราวด์วอร์ดคนไข้ที่นอนรักษาในโรงพยาบาลก่อนครับ พอเสร็จจากจุดนั้นแล้ว ถึงจะลงมาตรวจอาการ พูดคุย กับคนไข้ที่มาปรึกษาอาการกันได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหมอถึงลงตรวจช้า ตัวหมอมาโรงพยาบาลเช้านะ บางวันตี 5 ก็มาโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็แพ้คนไข้อยู่ดี (ผู้ป่วยนอก) มาก่อนหมอและพยาบาลซะอีก มาตี3ตี4 เพียงเพื่อมารับบัตรคิว หวังจะได้เจอหมอเร็วและกลับบ้านก่อน 9-10 โมงเช้า แต่ความจริงได้เจอหมอทีเกือบ 9 โมงเช้า รอรับยาก็ตอนใกล้เที่ยง... นั่นแหละครับ หมอราวด์ตึกผู้ป่วยในอยู่ครับ ไม่ได้นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือหรือไปวิ่งจ็อกกิงช่วงเช้าก่อนมาทำงานแต่อย่างใด
คนไข้แห่กันมาโรงพยาบาล โดยเฉพาะ รพท ซึ่งคนไข้จะรู้สึกว่าเป็นอะไรก็ต้องมา รพท นี่แหละชัวร์สุด ได้เจอหมอเฉพาะทางได้เจอหมอเก่งหมอดีๆ แต่พอทุกคนแห่กันมาเยอะจนเกินความสามารถที่ทางโรงพยาบาลจะรองรับได้ มันกลับทำให้พวกผมดูแลคนไข้ได้ไม่ทั่วถึง หรือไม่ละเอียดมากพอ เนื่องด้วยแพทย์ 1 คนต้องตรวจคนไข้ 150-200 คน ในภาคเช้าและด้วยเวลามีจำกัด อาจจะไม่ได้ซักอาการกับคนไข้ที่ละเอียดมากนัก แต่ถ้าเป็นของเอกชน หมอมีเวลาให้คนไข้เต็มที่จนกว่าจะหายข้อสงสัย (ก็นะเอกชนไง)
พอได้คุยกับหมอ 2 นาทีแล้วให้ไปรับยา (ถามอาการเสร็จแล้วและมั่นใจว่าเป็นอะไร) ลองทานยาดูก่อนนะ ...คนไข้ก็มาด่าหมออีก ว่าหมอทำไมถามสองสามคำ แล้วจ่ายยาเลย ทำไมไม่ถามให้ละเอียด
อันนี้ก็ต้องมาดูกันว่าแต่ละคนเป็นอะไรครับ หากมันยังอยู่ในขั้นต้นไม่ร้ายแรง ยังไงแพทย์มีการติดตามอาการคนไข้ทุกคนเสมอ จึงเป็นที่มาว่าแพทย์จะลงวันนัดของคนไข้ให้มาหาหมออีกครั้ง แม้ว่าคนไข้จะหายแล้วก็ตาม มา follow อาการกันหน่อย เป็นยังไงรู้สึกยังไงมาพูดคุย คนไข้บางคนพอหายแล้ว ไม่มาตามนัดก็มีเยอะ หรือบางคนมานอกเวลาแทน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน แล้วแต่ความสะดวกแต่ละคน ให้มาพบแพทย์อีกครั้ง
ก็เพื่อที่ว่าแพทย์จะได้ใช้กรณีของคุณ ไว้เป็นทางเพื่อรักษาคนไข้ที่มีอาการเช่นเดียวกันต่อไปได้ จะบอกว่าเวลารักษาคนไข้แล้วหาย หมอดีใจนะครับ และได้มีการเรียนรู้อยู่ตลอด ในทุกๆครั้งที่รักษาคนไข้ เรียนหมอแค่ 6 ปี มันยังไงรู้ไม่หมดทุกเรื่องหรอกครับ มี case by case ตลอด
แจกแจงแต่ละประเด็น ให้มองเห็นสองด้าน ของแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของโรงพยาบาล
2.
หากคนไข้อาการไม่ใช่ฉุกเฉินหรือเลือดตกยางออก ต้องได้รับการผ่าตัดทันที แค่เจ็บคอ ไอเล็กน้อย ปวดท้องเล็กๆน้อยๆ การที่ต้องลางานหรือต้องหยุดงานเพื่อมาเจอหมอ และมารอคิวนานหลายชั่วโมง มันเป็นเรื่องเสียเวลาใช่ไหม กับการที่จะต้องมารับบัตรคิวยาวเหยียด และสุดท้ายบางคนอาจจะคิดว่า ยานี้ อาการนี้ ไปร้านขายยาก็ได้ เพราะทางเภสัชกรที่ร้านถามอาการละเอียดและให้เวลาปรึกษาที่นานกว่ามาเจอหมอที่โรงพยาบาล
ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูก และจริงด้วย เพราะอาการของท่านไม่ได้ฉุกเฉิน หากไม่ได้ทานยา บางครั้งก็หายเองได้ บางโรคเกิดจากความเครียด การพักผ่อน การทานอาหาร หากคุณไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แค่หยุดสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น อาการหายได้โดยไม่ต้องพึ่งยาเคมีด้วยซ้ำ
พอไปร้านยาเภสัชกร บางคนทำงานไม่มีเวลาไปโรงพยาบาล การไปร้านขายยาที่มีเภสัชกรถูกต้องตามกฎหมายและมีใบอนุญาต ก็ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คนไข้ไม่ต้องเสียเวลาในข้อเสียที่กล่าวไปเลย ประหยัดเวลา ไม่ต้องลางาน เลิกงานก็ไปร้านขายยาได้เลย
ส่วนอีกฝั่งนึง ก็เป็นการลดความแออัดคนไข้ในโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน พอคนไข้ที่ไม่ใช่อาการร้ายแรงไม่พากันแห่มา รพท ที่มีที่เดียวของจังหวัด ก็ทำให้การทำงานในระบบดีขึ้น ดูแลคนไข้ได้ทั่วถึงขึ้นนั่นเอง จะได้ไม่โดนด่าก็ไม่พ้นประเด็นเดิมๆคือ
การชอบให้คนไข้รู้สึกไม่ดีทุกครั้งเวลามาโรงพยาบาล ต้องมารับบัตรคิวเพื่อเจอหมอ รอก็นาน และด่าหมอ ด่าโรงพยาบาล ว่ามาทีไรก็เสียเวลา รอพบหมอ 3-4 ชั่วโมง แต่พอได้เจอหมอกลับได้คุยไม่ถึง 2 นาทื ถามสิบคำก็เขียนใบสั่งยาและให้รับยากลับบ้าน
ถามในใจว่าแล้วฉันจะมาทำไม ไปร้านขายยาดีกว่ามั้ย เพราะฉันแค่ ฉันแค่ปวดท้อง ฉันแค่ถ่ายยาก ฉันแค่ท้องเสีย ฉันแค่เป็นไข้ ปวดหัว ไอ เจ็บคอ... อาการพวกนี้ถือว่าเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อยครับผม มันทำให้คนไข้ที่ต้องรักษาเร่งด่วน กลับได้รับการดูแลรักษาที่ช้าไปด้วย
แต่หากเรื่องนี้มันสำเร็จขึ้นจริง
แน่อนอนว่า อาการเล็กน้อย การไปร้านขายยา ปรึกษาเภสัชกรเบื้องต้น เป็นการลดปัญหาทั้งปวงที่คนไข้ไม่อยากพบเจอ ก็จบปัญหาเรื่องนี้ที่คุณกังวลใจหรือรู้สึกเสียเวลา เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลามารอคิวนาน ส่วนทางโรงพยาบาลและบุคลากรในโรงพยาบาลก็ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ดูแลคนไข้ที่อาการหนักจริงๆได้เร็วขึ้น ครอบคลุมทั่วถึง ถือว่าทุกคนทุกฝ่ายได้ประโยชน์
แต่ถึงอย่างไร ขอยืนยันว่าหากท่านเป็นอะไรเกินควบคุมที่ทางเภสัชกรจะรักษาให้ท่านได้ ท่านต้องมาที่โรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอยู่ดี เพราะเภสัชกรไม่สามารถวิจัยฉัยโรคของท่านได้ หากเกินความสามารถ ท่านต้องมาโรงพยาบาลเท่านั้น
3.
เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มารับบริการ ในกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อย อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง
บางคนบ้านอยู่ไกลจาก รพท มากกกกกก มาทีก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เติมน้ำมันรถ 1,000 หรือบางคนรู้จักมาส่ง เสียเงินทั้งจ้างไปส่งไปรับ กลายเป็นว่าการมาโรงพยาบาลเพียงเพื่อรักษาอาการเป็นหวัด เป็นไข้ ปวดท้อง เสียเงินหลายพัน แถมยังรู้สึกไม่ดีกับการมาโรงพยาบาลเพราะรู้ว่ากว่าจะได้กลับเจอหมอ กว่าจะได้รับยา คือนาน กินเวลาไปค่อนวัน
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นไปร้านขายยา ที่จ่ายยาโดยเภสัชกรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง คุณตัดปัญหาเหล่านี้ออกไปได้เลย
ประหยัดเงิน ไม่ต้องเสียเวลานาน ไม่ต้องลางาน โรงพยาบาลไม่แออัด
หากวันนี้มีคนมาโรงพยาบาล 400 คน มีกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อยถึง 300 คน กลุ่มเจ็บป่วยที่ต้องพบหมอเร่งด่วนมี 100 คน ลองนึกภาพตามครับว่าจะเป็นอย่างไร มันควรจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ แค่หมอเห็นกลุ่มคนเจ็บป่วยเล็กน้อย 300 คนก็เหนื่อยแล้วครับ ไม่ได้เหนื่อยกายนะ แต่บางคนไม่มีความจำเป็นต้องมาโรงพยาบาลด้วยซ้ำ อาการของท่าน หากเทียบกับเวลาที่ต้องแลกเพื่อมาเจอหมอ สู้ไปร้านขายยาจะดีกว่า จริงไหม
4.
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาของระบบ ระหว่าง โรงพยาบาล(ระบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยทั้งในและนอก) + แพทย์ + พยาบาล + เภสัชกร + เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ อยู่อีกหลายเรื่องเหมือนกัน
อยากให้ทุกฝ่ายลองมาจับเข่าคุยกันถึงปัญหาสักที หากคิดถึงและห่วงใยคนไข้ทั้งประเทศอย่างใจจริง ไม่ใช่ผลประโยชน์
.
ผมก็รู้สึกอะไรหลายๆอย่างและมองเห็นปัญหาเหล่านี้มานานแล้วเหมือนกัน
บางครั้งก็สงสารน้องๆ extern-intern เหมือนกัน งานมันหนักมาก จนบางครั้งเด็กๆนิสิตชั้น pre พากันกำหมัดกันเลยเมื่อมาเห็นงานรุ่นพี่ที่รอส่งต่อให้รุ่นน้อง
ผมก็ผ่านจุดนั้นมานานแล้ว หากไม่นับช่วงตอนเป็น intern, resident+fellow gi 5 ปี + ต่อยอดด้าน colon + ผ่าตัดอีกหลายปีเลยกว่าจะรู้ทั้งหมดแต่ก็เหนื่อยนะ แต่สนุกดีท้าทาย ได้ช่วยเหลือคนไข้เยอะขึ้น ทำเอกชนก็ได้เครดิตที่เยอะมากขึ้น พอไปรพ.รัฐก็ได้ช่วยเหลือคนไข้เยอะขึ้น แบ่งเบาภาระแพทย์อื่นได้ ช่วยๆกันไป ตามกำลังที่มีและไหว
แต่ถ้าให้เรียนต่อสาขาที่แตกต่างกันแบบก้าวกระโดดคนละเส้น คงไม่เอา เพราะเหนื่อยเหมือนกัน ต่อด้านที่คล้ายๆกันมันง่ายกว่า555
จะบอกว่า การลุยทุกด่าน มีการแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่เงินนะ แต่เป็นสุขภาพและเวลา อยู่ที่ว่าจะเห็นถึงความคุณค่าและประโยชน์มากน้อยแค่ไหน บางคนอยากทำงานเลย แต่ผมกลับมองเห็นประโยชน์มหาศาลจากการต่อยอดเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่าแพทย์รุ่นเก่าเจอแบบไหนมา เขายังทนและผ่านกันไปได้ แพทย์รุ่นใหม่ จบทีหลังก็ต้องทนเหมือนกัน
หากพากันคิดแบบนี้ ปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาจนแทบจะฝังรากลึกจนกลายเป็นธรรมเนียมที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ จะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ได้แก้ไขกันสักที
การเป็น staff แล้วต้องรับผิดชอบคอยควบคุมอะไรหลายอย่าง มันก็เหนื่อยแหละ แต่เป็นการเหนื่อยที่เราเต็มใจรับไว้แล้ว น้องๆทุกคนที่ผมเคยสอน ผมจะพูดเสมอว่า จงรักษาคนไข้ทุกคนเหมือนเขาคือคนในครอบครัวของเรา ไม่มีใครอยากเห็นคนที่เรารักป่วย เอาใจเขามาใส่ใจเรา ชีวิตคนมีค่าเท่ากัน
ผมเพียงแค่แสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมเท่านั้น ขอย้ำว่าเป็นแค่มุมมองความคิด
แต่ประเด็นนี้ กลับมีเพื่อนแพทย์หลายคนมาก ที่ให้เหตุผลเห็นตรงกันเหมือนผมจนเยอะแบบไม่แตกแถว
แต่มันดังไปไม่ถึงข้างบนครับ