กระทู้นี้สำหรับคนที่ยังไม่ทราบว่า
เหตุผลที่ "ไอดอล" หรือคนในวงการบันเทิงเกาหลี "ไม่ถือว่าเป็นพนักงาน" บางเรื่องจึงทำให้ขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย
ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับ
HANNI (NewJeans) เมื่อเช้านี้ ซึ่งถือเป็นเคสตัวอย่างที่ช่วยให้เห็นปัญหาในโครงสร้างระบบแรงงานของวงการบันเทิงเกาหลี
.
ตามกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้นั้น
ไอดอล ไม่ได้ถือว่าเป็น "พนักงาน" ในความหมายตามกฎหมายแรงงานทั่วไป แต่จะมีสถานะเป็น "ศิลปิน" หรือ "ผู้รับจ้างอิสระ" (Freelancer) ที่ทำงานภายใต้สัญญากับบริษัทบันเทิงหรือค่ายเพลงที่ดูแลพวกเขา
เหตุผลที่ไอดอลมักไม่ได้ถือเป็นพนักงาน
1. ลักษณะของสัญญา
สัญญาที่ไอดอลเซ็นกับบริษัทมักจะเรียกว่า สัญญาการจัดการ หรือ สัญญาพิเศษ (Exclusive Contract) ซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างไอดอลกับบริษัทในฐานะ "ผู้รับจ้างงาน" มากกว่าความสัมพันธ์แบบนายจ้าง-ลูกจ้าง
2. ขอบเขตของงาน
ไอดอลทำงานหลากหลาย เช่น ร้องเพลง, ทำการแสดง, ถ่ายแบบ ซึ่งไม่ใช่งานที่เข้าเกณฑ์ "งานประจำ" ในความหมายกฎหมายแรงงาน และมักขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างสองฝ่ายมากกว่าการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงาน
3. ประเด็นการจ่ายเงิน
รายได้ของไอดอลมักขึ้นอยู่กับผลกำไรจากกิจกรรมที่ทำ เช่น การขายอัลบั้ม, ค่าจ้างงานแสดง, โฆษณา หรือคอนเสิร์ต โดยรายได้จะถูกแบ่งตาม % ที่กำหนดไว้ในสัญญา ต่างจากพนักงานทั่วไปที่ได้รับค่าจ้างคงที่
4. กฎหมายแรงงาน
ไอดอลอาจไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ประกันสังคม หรือการคุ้มครองจากชั่วโมงการทำงานเหมือนพนักงานทั่วไป เพราะถูกจัดเป็น "ผู้รับจ้างอิสระ"
⚠️
ข้อเสียของสถานะนี้
ความไม่มั่นคง: หากไม่ได้รับความนิยม รายได้อาจไม่แน่นอน
การเอาเปรียบจากสัญญา: เช่น สัญญาทาส (Slave Contract) ซึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ในอดีต
ขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย: ไอดอลที่ไม่ได้รับสถานะพนักงานอาจไม่ได้รับสิทธิ์ในการยื่นคำร้องเรื่องชั่วโมงทำงานที่หนักเกินไป
📌 ไม่ใช่แค่ไอดอลเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกจัดว่าเป็น "พนักงาน" ในความหมายทั่วไป แต่
คนในวงการบันเทิงเกาหลีโดยรวม เช่น นักแสดง, นักร้อง, นักเต้น, และนักดนตรี มักถูกจัดให้อยู่ในสถานะ "ศิลปิน" หรือ "ผู้รับจ้างอิสระ" (Freelancer) ด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน ได้แก่ ลักษณะของสัญญาและรูปแบบการทำงานที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานปกติ
1. นักแสดง
นักแสดงที่ทำงานภายใต้บริษัทบันเทิงจะเซ็นสัญญาเพื่อให้เอเจนซี่ดูแลและจัดหาโอกาสในงาน เช่น ซีรีส์หรือภาพยนตร์ แต่รายได้จะมาจากโปรเจกต์งานที่รับมากกว่าเงินเดือน
2. นักร้อง-นักดนตรีอิสระ
สำหรับนักร้องและนักดนตรีที่ไม่ได้อยู่ในวงไอดอลหรือค่ายใหญ่ ส่วนใหญ่มักทำงานแบบโปรเจกต์และรับรายได้เป็นครั้งๆ โดยไม่มีรายได้ประจำ
3. พิธีกร (MC )และนักแสดงตลก
คนกลุ่มนี้บางครั้งอาจมีสัญญากับสถานีโทรทัศน์หรือบริษัทบันเทิง แต่จะทำงานตามโครงการหรือรายการที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งรายได้ขึ้นอยู่กับค่าตัวในแต่ละงาน
4. ทีมเบื้องหลัง
เช่น ครูสอนเต้น, ครูสอนร้องเพลง, หรือโปรดิวเซอร์เพลง หลายคนก็ไม่ได้เป็นพนักงานประจำของบริษัทบันเทิง แต่ทำงานแบบสัญญาจ้าง
👷
ข้อแตกต่างระหว่างศิลปิน/ไอดอล กับพนักงานทั่วไป
พนักงานทั่วไป: มีเงินเดือนประจำ, ประกันสังคม, และสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน
ศิลปิน/ไอดอล: รายได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของงาน, ไม่มีความมั่นคงทางการเงิน, และไม่ได้รับสิทธิ์คุ้มครองชั่วโมงทำงานเหมือนพนักงานทั่วไป
📌 การที่ไอดอลเกาหลีไม่ได้ถูกจัดให้เป็น "พนักงาน" มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองของทั้งศิลปินและบริษัทต้นสังกัด โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
🟢
ข้อดี - สำหรับไอดอล
1. ความยืดหยุ่นในการทำงาน
ไอดอลสามารถทำงานหลากหลาย เช่น ร้องเพลง, แสดง, ถ่ายแบบ หรือโปรเจกต์อื่นที่ไม่ได้จำกัดตามหน้าที่งานเหมือนพนักงานทั่วไป มีโอกาสในการเซ็นสัญญากับแบรนด์อื่น ๆ หรือรับงานนอกต้นสังกัด เช่น การ feat.ในเพลง หรือ การร่วมแสดงมิวสิค หากเงื่อนไขในสัญญาอนุญาต
2. รายได้ตามผลงาน
ไอดอลที่ประสบความสำเร็จจะได้รับรายได้ที่สูงจากการแบ่งผลกำไร โดยไม่มีข้อจำกัดแบบเงินเดือนคงที่
3. สร้างภาพลักษณ์ส่วนตัว
การไม่ได้เป็นพนักงานช่วยให้ไอดอลสามารถสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่หลากหลายได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยบทบาทในองค์กร
🟢
ข้อดี สำหรับบริษัทต้นสังกัด
1. ลดภาระต้นทุน
บริษัทไม่ต้องจ่ายเงินเดือนประจำหรือสวัสดิการต่าง ๆ ที่พนักงานทั่วไปควรได้รับ เช่น ประกันสังคม หรือค่าทำงานล่วงเวลา
2. ควบคุมและจัดการง่าย
บริษัทสามารถควบคุมการทำงานของไอดอลผ่านสัญญาการจัดการ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านแรงงานเหมือนกับการจ้างพนักงานทั่วไป
3. เพิ่มโอกาสสร้างกำไร
สัญญาแบบผู้รับจ้างอิสระช่วยให้บริษัทสามารถเจรจาแบ่งรายได้ในสัดส่วนที่เอื้อต่อการทำกำไรได้สูง
🔴
ข้อเสีย สำหรับไอดอล
1. ขาดความมั่นคงทางการเงิน
หากไม่มีผลงานหรือไม่ได้รับความนิยม รายได้อาจไม่แน่นอน เพราะไม่ได้รับเงินเดือนประจำ
2. ขาดการคุ้มครองทางกฎหมายแรงงาน
ไม่มีสิทธิประโยชน์ เช่น ประกันสุขภาพ, เงินชดเชยเมื่อเลิกจ้าง, หรือการควบคุมชั่วโมงทำงานที่หนักเกินไป
3. เสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากสัญญา
ในอดีตมีกรณีของ "สัญญาทาส" ที่บริษัทใช้ข้อผูกมัดที่ไม่เป็นธรรม เช่น สัญญาระยะยาวเกินไปหรือส่วนแบ่งรายได้ไม่ยุติธรรม
4. อาชีพที่กดดันสูง
ไอดอลต้องพึ่งพาความนิยมและผลงาน ซึ่งอาจสร้างความเครียดหรือปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว
🔴
ข้อเสีย สำหรับบริษัทต้นสังกัด
1. เสี่ยงต่อการสูญเสียศิลปิน
ศิลปินอาจตัดสินใจยกเลิกสัญญาเมื่อหมดอายุ หรือฟ้องร้องในกรณีที่สัญญาไม่เป็นธรรม
2. ภาพลักษณ์เสียหาย
หากมีกรณีเอาเปรียบไอดอล เช่น การไม่แบ่งรายได้อย่างเหมาะสม หรือการบังคับให้ทำงานหนักเกินไป บริษัทอาจถูกสังคมประณาม
3. ไม่สามารถควบคุมทุกด้านได้
ศิลปินที่ไม่ได้เป็นพนักงานมีอิสระในบางกรณี เช่น การเซ็นสัญญากับแบรนด์ หรือรับงานที่บริษัทไม่ได้รับส่วนแบ่ง
การที่ไอดอลไม่ถูกจัดว่าเป็นพนักงานเปิดโอกาสให้ทั้งไอดอลและบริษัทมีความยืดหยุ่น แต่ก็สร้างปัญหาในแง่ความมั่นคงและความเป็นธรรมในระบบแรงงาน ซึ่งทำให้เกิดการเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายและสัญญาในอุตสาหกรรมบันเทิงมากขึ้น
เหตุผลที่ "ไอดอล" หรือคนในวงการบันเทิงเกาหลี "ไม่ถือว่าเป็นพนักงาน" บางเรื่องจึงทำให้ขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย
ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับ HANNI (NewJeans) เมื่อเช้านี้ ซึ่งถือเป็นเคสตัวอย่างที่ช่วยให้เห็นปัญหาในโครงสร้างระบบแรงงานของวงการบันเทิงเกาหลี
.
ตามกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้นั้น ไอดอล ไม่ได้ถือว่าเป็น "พนักงาน" ในความหมายตามกฎหมายแรงงานทั่วไป แต่จะมีสถานะเป็น "ศิลปิน" หรือ "ผู้รับจ้างอิสระ" (Freelancer) ที่ทำงานภายใต้สัญญากับบริษัทบันเทิงหรือค่ายเพลงที่ดูแลพวกเขา
เหตุผลที่ไอดอลมักไม่ได้ถือเป็นพนักงาน
1. ลักษณะของสัญญา
สัญญาที่ไอดอลเซ็นกับบริษัทมักจะเรียกว่า สัญญาการจัดการ หรือ สัญญาพิเศษ (Exclusive Contract) ซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างไอดอลกับบริษัทในฐานะ "ผู้รับจ้างงาน" มากกว่าความสัมพันธ์แบบนายจ้าง-ลูกจ้าง
2. ขอบเขตของงาน
ไอดอลทำงานหลากหลาย เช่น ร้องเพลง, ทำการแสดง, ถ่ายแบบ ซึ่งไม่ใช่งานที่เข้าเกณฑ์ "งานประจำ" ในความหมายกฎหมายแรงงาน และมักขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างสองฝ่ายมากกว่าการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงาน
3. ประเด็นการจ่ายเงิน
รายได้ของไอดอลมักขึ้นอยู่กับผลกำไรจากกิจกรรมที่ทำ เช่น การขายอัลบั้ม, ค่าจ้างงานแสดง, โฆษณา หรือคอนเสิร์ต โดยรายได้จะถูกแบ่งตาม % ที่กำหนดไว้ในสัญญา ต่างจากพนักงานทั่วไปที่ได้รับค่าจ้างคงที่
4. กฎหมายแรงงาน
ไอดอลอาจไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ประกันสังคม หรือการคุ้มครองจากชั่วโมงการทำงานเหมือนพนักงานทั่วไป เพราะถูกจัดเป็น "ผู้รับจ้างอิสระ"
⚠️ ข้อเสียของสถานะนี้
ความไม่มั่นคง: หากไม่ได้รับความนิยม รายได้อาจไม่แน่นอน
การเอาเปรียบจากสัญญา: เช่น สัญญาทาส (Slave Contract) ซึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ในอดีต
ขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย: ไอดอลที่ไม่ได้รับสถานะพนักงานอาจไม่ได้รับสิทธิ์ในการยื่นคำร้องเรื่องชั่วโมงทำงานที่หนักเกินไป
📌 ไม่ใช่แค่ไอดอลเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกจัดว่าเป็น "พนักงาน" ในความหมายทั่วไป แต่ คนในวงการบันเทิงเกาหลีโดยรวม เช่น นักแสดง, นักร้อง, นักเต้น, และนักดนตรี มักถูกจัดให้อยู่ในสถานะ "ศิลปิน" หรือ "ผู้รับจ้างอิสระ" (Freelancer) ด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน ได้แก่ ลักษณะของสัญญาและรูปแบบการทำงานที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานปกติ
1. นักแสดง
นักแสดงที่ทำงานภายใต้บริษัทบันเทิงจะเซ็นสัญญาเพื่อให้เอเจนซี่ดูแลและจัดหาโอกาสในงาน เช่น ซีรีส์หรือภาพยนตร์ แต่รายได้จะมาจากโปรเจกต์งานที่รับมากกว่าเงินเดือน
2. นักร้อง-นักดนตรีอิสระ
สำหรับนักร้องและนักดนตรีที่ไม่ได้อยู่ในวงไอดอลหรือค่ายใหญ่ ส่วนใหญ่มักทำงานแบบโปรเจกต์และรับรายได้เป็นครั้งๆ โดยไม่มีรายได้ประจำ
3. พิธีกร (MC )และนักแสดงตลก
คนกลุ่มนี้บางครั้งอาจมีสัญญากับสถานีโทรทัศน์หรือบริษัทบันเทิง แต่จะทำงานตามโครงการหรือรายการที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งรายได้ขึ้นอยู่กับค่าตัวในแต่ละงาน
4. ทีมเบื้องหลัง
เช่น ครูสอนเต้น, ครูสอนร้องเพลง, หรือโปรดิวเซอร์เพลง หลายคนก็ไม่ได้เป็นพนักงานประจำของบริษัทบันเทิง แต่ทำงานแบบสัญญาจ้าง
👷 ข้อแตกต่างระหว่างศิลปิน/ไอดอล กับพนักงานทั่วไป
พนักงานทั่วไป: มีเงินเดือนประจำ, ประกันสังคม, และสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน
ศิลปิน/ไอดอล: รายได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของงาน, ไม่มีความมั่นคงทางการเงิน, และไม่ได้รับสิทธิ์คุ้มครองชั่วโมงทำงานเหมือนพนักงานทั่วไป
📌 การที่ไอดอลเกาหลีไม่ได้ถูกจัดให้เป็น "พนักงาน" มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองของทั้งศิลปินและบริษัทต้นสังกัด โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
🟢 ข้อดี - สำหรับไอดอล
1. ความยืดหยุ่นในการทำงาน
ไอดอลสามารถทำงานหลากหลาย เช่น ร้องเพลง, แสดง, ถ่ายแบบ หรือโปรเจกต์อื่นที่ไม่ได้จำกัดตามหน้าที่งานเหมือนพนักงานทั่วไป มีโอกาสในการเซ็นสัญญากับแบรนด์อื่น ๆ หรือรับงานนอกต้นสังกัด เช่น การ feat.ในเพลง หรือ การร่วมแสดงมิวสิค หากเงื่อนไขในสัญญาอนุญาต
2. รายได้ตามผลงาน
ไอดอลที่ประสบความสำเร็จจะได้รับรายได้ที่สูงจากการแบ่งผลกำไร โดยไม่มีข้อจำกัดแบบเงินเดือนคงที่
3. สร้างภาพลักษณ์ส่วนตัว
การไม่ได้เป็นพนักงานช่วยให้ไอดอลสามารถสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่หลากหลายได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยบทบาทในองค์กร
🟢 ข้อดี สำหรับบริษัทต้นสังกัด
1. ลดภาระต้นทุน
บริษัทไม่ต้องจ่ายเงินเดือนประจำหรือสวัสดิการต่าง ๆ ที่พนักงานทั่วไปควรได้รับ เช่น ประกันสังคม หรือค่าทำงานล่วงเวลา
2. ควบคุมและจัดการง่าย
บริษัทสามารถควบคุมการทำงานของไอดอลผ่านสัญญาการจัดการ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านแรงงานเหมือนกับการจ้างพนักงานทั่วไป
3. เพิ่มโอกาสสร้างกำไร
สัญญาแบบผู้รับจ้างอิสระช่วยให้บริษัทสามารถเจรจาแบ่งรายได้ในสัดส่วนที่เอื้อต่อการทำกำไรได้สูง
🔴 ข้อเสีย สำหรับไอดอล
1. ขาดความมั่นคงทางการเงิน
หากไม่มีผลงานหรือไม่ได้รับความนิยม รายได้อาจไม่แน่นอน เพราะไม่ได้รับเงินเดือนประจำ
2. ขาดการคุ้มครองทางกฎหมายแรงงาน
ไม่มีสิทธิประโยชน์ เช่น ประกันสุขภาพ, เงินชดเชยเมื่อเลิกจ้าง, หรือการควบคุมชั่วโมงทำงานที่หนักเกินไป
3. เสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากสัญญา
ในอดีตมีกรณีของ "สัญญาทาส" ที่บริษัทใช้ข้อผูกมัดที่ไม่เป็นธรรม เช่น สัญญาระยะยาวเกินไปหรือส่วนแบ่งรายได้ไม่ยุติธรรม
4. อาชีพที่กดดันสูง
ไอดอลต้องพึ่งพาความนิยมและผลงาน ซึ่งอาจสร้างความเครียดหรือปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว
🔴 ข้อเสีย สำหรับบริษัทต้นสังกัด
1. เสี่ยงต่อการสูญเสียศิลปิน
ศิลปินอาจตัดสินใจยกเลิกสัญญาเมื่อหมดอายุ หรือฟ้องร้องในกรณีที่สัญญาไม่เป็นธรรม
2. ภาพลักษณ์เสียหาย
หากมีกรณีเอาเปรียบไอดอล เช่น การไม่แบ่งรายได้อย่างเหมาะสม หรือการบังคับให้ทำงานหนักเกินไป บริษัทอาจถูกสังคมประณาม
3. ไม่สามารถควบคุมทุกด้านได้
ศิลปินที่ไม่ได้เป็นพนักงานมีอิสระในบางกรณี เช่น การเซ็นสัญญากับแบรนด์ หรือรับงานที่บริษัทไม่ได้รับส่วนแบ่ง
การที่ไอดอลไม่ถูกจัดว่าเป็นพนักงานเปิดโอกาสให้ทั้งไอดอลและบริษัทมีความยืดหยุ่น แต่ก็สร้างปัญหาในแง่ความมั่นคงและความเป็นธรรมในระบบแรงงาน ซึ่งทำให้เกิดการเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายและสัญญาในอุตสาหกรรมบันเทิงมากขึ้น