ไอกรน โรคระบบทางเดินหายใจที่ป้องกันได้

วันนี้พี่หมอฝี่งธนจะมาให้...ความรู้   ideaไอกรน โรคระบบทางเดินหายใจที่ป้องกันได้ idea

โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากแบคทีเรีย Bordetella pertussis
ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่มีอาการเด่นชัดคือการไอรุนแรงจนเสียงเหมือน "ไอกรน"
โรคนี้สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่มีความรุนแรงมากในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
แม้ว่าปัจจุบันจะมีวัคซีนป้องกันโรคไอกรน แต่การแพร่ระบาดยังคงเกิดขึ้นในบางพื้นที่ทั่วโลก

ideaโรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิด Bordetella pertussis ซึ่งมีลักษณะเป็นแบคทีเรียแกรมลบ
เชื้อชนิดนี้ผลิตสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบและมีอาการไอรุนแรง
การแพร่เชื้อ โรคนี้ติดต่อผ่านการสูดดมละอองน้ำลายขนาดเล็ก (Droplets) ที่ผู้ป่วยไอหรือจามออกมา
ระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ประมาณ 7-10 วัน แต่สามารถนานถึง 21 วัน

กลุ่มเสี่ยง
เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบ
ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันลดลง
ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้นตามกำหนด


 
ideaโรคไอกรนมีลักษณะอาการที่แบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้
ระยะที่ 1: ระยะไข้หวัด (Catarrhal Stage)
มีไข้ต่ำ ๆ น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย
คล้ายไข้หวัดทั่วไป ระยะนี้ติดต่อได้ง่ายที่สุด

ระยะที่ 2: ระยะไอรุนแรง (Paroxysmal Stage)
ไอเป็นชุดติดต่อกันหลายครั้ง และตามด้วยเสียงกรน (Whooping sound)
ไอจนหน้าแดง หรือหายใจไม่ออก อาจมีอาเจียนหลังไอ
ระยะนี้กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์

ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (Convalescent Stage)
อาการไอเริ่มลดลง แต่ยังมีอาการเหนื่อยล้า
ระยะนี้อาจกินเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

ideaการวินิจฉัยโรคไอกรนอาจอาศัยปัจจัยดังต่อไปนี้
ประวัติทางการแพทย์ สอบถามอาการและประวัติการได้รับวัคซีน
การตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอดเพื่อดูว่ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากจมูกเพื่อตรวจหาเชื้อ
การตรวจ PCR เพื่อยืนยันการติดเชื้อ
การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาระดับภูมิคุ้มกัน
 
ideaการรักษาโรคไอกรนแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก
การใช้ยาปฏิชีวนะ ยาที่นิยมใช้ เช่น Azithromycin, Clarithromycin หรือ Erythromycin
ยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพในการลดการแพร่เชื้อ แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการไอได้ทันที

การดูแลอาการ ให้ผู้ป่วยพักผ่อนเพียงพอ จัดพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
ดูแลให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นการไอ เช่น ควันบุหรี่หรืออากาศเย็น

กรณีที่มีอาการรุนแรง
เด็กเล็กหรือผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ให้การช่วยหายใจในกรณีที่มีภาวะขาดออกซิเจน


 
ideaภาวะแทรกซ้อน โรคไอกรนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เช่น
ปอดอักเสบ (Pneumonia) ภาวะหยุดหายใจ สมองบวมจากการขาดออกซิเจน
หูชั้นกลางอักเสบ การแตกของเส้นเลือดฝอยที่ตาหรือใบหน้า
 
การป้องกันโรคไอกรน การฉีดวัคซีน
วัคซีนป้องกันไอกรนเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน DTP (ป้องกันไอกรน คอตีบ และบาดทะยัก)
ฉีดในเด็กอายุ 2, 4, 6 เดือน กระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่ออายุ 18 เดือน
กระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี

การดูแลอื่น ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอ ให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ
 
โรคไอกรนเป็นโรคที่ควรตระหนักถึง โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบ
อาการของโรคที่รุนแรงและภาวะแทรกซ้อนอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยได้
อย่างไรก็ตาม การป้องกันด้วยวัคซีนและการดูแลสุขอนามัยที่ดีสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก
หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดอาจป่วยด้วยโรคไอกรน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมคะ

ความรู้เพิ่มเติม
https://www.thonburihospital.com/package/pk_vaccines-for-babies/
https://www.youtube.com/watch?v=9ZA7sEKfahA
https://www.facebook.com/thonburihospitalclub/videos/1161664051960168

lovelovelovelove
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่