ชัยธวัช งงปธ.ชิงปิดสภา ยื้อร่างนิรโทษ ‘ปกรณ์วุฒิ’ คาใจ เสถียรภาพพรรคร่วม รบ.ง่อนแง่น?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4851828
‘ชัยธวัช’ งงปิดประชุมสภา ยื้อร่างนิรโทษทำไม ชี้ประชุมสัปดาห์หน้าก็เข้าเรื่องเดิม ด้าน ‘ปกรณ์วุฒิ’ ถาม เป็นเพราะเสถียรภาพพรรคร่วม รบ.ง่อนแง่นหรือไม่ ขณะที่ ‘โรม’ ชี้บรรยากาศเป็นเช่นนี้จะถอนฟืนออกจากกองไฟได้อย่างไร
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 17 ตุลาคม ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคประชาชน นำโดย นาย
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค และ นาย
ชัยธวัช ตุลาธน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังประธานในที่ประชุมสภาปิดประชุม ขณะที่กำลังถกเถียงว่าจะโหวตรับ หรือไม่รับรายงานผลการศึกษาของ กมธ.นิรโทษกรรม
นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ประธานสภาชิงปิดการประชุมก่อน เนื่องจากการพิจารณาควรจะเสร็จในวันนี้ (17 ต.ค.) เพื่อให้สภาได้พิจารณาวาระอื่นๆ ที่มีอยู่ต่อไป เพราะเข้าใจว่าได้มีการคุยกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมีญัตติด่วนกรณีการร้องเรียนบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป และยังมีวาระอื่นๆ ที่ควรจะรีบพิจารณาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก่อนที่สมัยประชุมจะปิด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยและไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะเห็นว่า กมธ.แทบไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย ขนาด นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธาน กมธ. ก็ได้แจงเพียงภาพกว้าง ก่อนจะเปิดให้ ส.ส.ได้แสดงความคิดเห็นกัน ซึ่ง กมธ.มีความตั้งใจว่าเมื่อฟัง ส.ส.อภิปรายจนครบหมดแล้วจะลุกขึ้นชี้แจงเนื้อหาสาระที่สำคัญของข้อเสนอ รวมถึงประเด็นที่ ส.ส.ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่ายรัฐบาล ทำให้เสียโอกาสที่สภาจะได้ผลักดันวาระที่สำคัญ และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีปัญหา จนกระทั่งไม่สามารถพิจารณารายงานฉบับนี้ให้แล้วเสร็จภายในสมัยประชุมนี้ได้หรือไม่
นาย
ชัยธวัชกล่าวต่อว่า หากครั้งหน้ามีประเด็นปัญหาอีกก็น่าเสียดาย เพราะไม่ว่ารายงาน กมธ.นี้จะผ่านการพิจารณาของสภาหรือไม่ ในการเปิดสมัยประชุมสภาหน้าก็จะมีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจ่อรออยู่แล้ว 4 ฉบับ ซึ่งเมื่อเช้านี้ได้ดูวาระแล้วว่าร่างของอดีตพรรคก้าวไกลอยู่ในลำดับที่ 6 อย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น ไม่ควรมีการเตะถ่วงการพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อให้ทุกพรรค รวมถึงรัฐบาลรีบนำข้อสรุปความเห็นที่ ส.ส.และสาธารณะได้ฟังสาระสำคัญของ กมธ.นำไปเสนอร่างกฎหมายของตัวเองเพื่อมาพิจารณาพร้อมกับร่างกฎหมายอื่นๆ ที่รอเข้าสภาอยู่แล้วในต้นสมัยประชุมหน้า ทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ด้านนาย
รังสิมันต์กล่าวว่า ตกลงแล้วความชัดเจนของรัฐบาลต่อการนิรโทษกรรมจะมีทิศทางเป็นอย่างไร เนื่องจากต้องยอมรับว่าหากดูตามรายงานจะมีเรื่องการนิรโทษกรรม ซึ่งไม่ได้เป็นข้อสรุป แต่เป็นความเห็นของฝ่ายหนึ่งที่เห็นว่าควรรวมมาตรา 112 หรือไม่ควรรวม และยังมีข้อสังเกตอีกหลายประการที่รัฐบาลสามารถทำได้เลย และการที่รายงานฉบับนี้ล่าช้าออกไปทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าตกลงแล้วรัฐบาลจะเอาอย่างไร
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า แน่นอนว่าการปิดประชุมเป็นอำนาจของประธานสภา แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้อำนาจนี้ก็ถูกมองได้ว่าเป็นจุดยืนของรัฐบาลหรือไม่ที่ไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้มีความชัดเจนในเร็วๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก และอยากให้สังคมตั้งคำถามดังๆ ต่อรัฐบาลว่าตกลงแล้วจะเอาอย่างไร โดยรายงานฉบับนี้พยายามหาจุดที่จะประนีประนอมคุยกันได้
“
วันนี้สิ่งที่เราอยากจะได้ความชัดเจนที่สุดคือแนวทางของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งที่ผ่านมาถูกมองว่าการนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการถอนฟืนออกจากกองไฟ แต่ถ้าบรรยากาศของสภาเป็นเช่นนี้ เราจะถอนฟืนออกจากกองไฟได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพื่อทำให้สภาเป็นที่แห่งการพูดคุยเพื่อคลายความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ และยิ่งยากมากขึ้น” นาย
รังสิมันต์กล่าว
ขณะที่นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า หากติดตามการประชุมสภาสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ประธานสภาได้ปิดประชุมก่อนเวลาที่วิป 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ และไม่มีครั้งไหนที่เราสามารถดำเนินการประชุมตามที่วิป 2 ฝ่ายตกลงกันไว้ หากเราติดตามกันตั้งแต่สภาชุดที่แล้ว จะเห็นว่ามีรองประธานสภาที่เป็นมือปิด มักจะเป็นตัวแทนมาจากพรรคแกนนำรัฐบาล สาเหตุหนึ่งคือกลัวองค์ประชุมล่ม จะทำให้ประชาชนเห็นว่าฝั่งรัฐบาลอยู่ไม่ครบองค์ประชุม และไม่สามารถประชุมต่อได้ แต่วันนี้พรรคประชาชนแสดงอย่างชัดเจนว่าเราไม่ล่มองค์ประชุมอย่างแน่นอน พร้อมที่จะโหวตไม่ว่าใครจะเห็นอย่างไรกับรายงานฉบับดังกล่าว เพราะถือเป็นวิถีทางประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยก็ส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หากเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็ตีตกไป สภาว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น
นายปกรณ์วุฒิกล่าวต่อว่า อีกสัญญาณหนึ่งที่ส่งผ่านมาจากการปิดประชุมคือเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้พรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติก็ประกาศชัดเจนว่าพร้อมจะลงมติ มั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็ทราบว่าวันนี้องค์ประชุมครบและไม่ล่มอย่างแน่นอน
“
การปิดประชุมหนีแบบนี้อาจเป็นการไม่อยากให้ทางสาธารณะได้เห็นภาพความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลกันเองที่อาจส่อถึงเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลที่เริ่มจะงัวเงียง่อนแง่น สถานการณ์แบบนี้ครั้งที่แล้วเกิดขึ้นช่วงปลายรัฐบาล ที่พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องและเห็นไม่ตรงกันในหลายเรื่อง ต้องปิดการประชุม เพราะองค์ประชุมล่มกันบ่อยครั้ง” นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าว
นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า การปิดประชุมในวันนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะวันที่ 24 ต.ค.ก็ต้องกลับมาพูดคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง ส่วนการที่มีสมาชิกระบุว่าให้ปิดการอภิปรายเลยนั้น ต้องเข้าใจว่าสภาแต่งตั้ง กมธ.ขึ้นมา เป็นตัวแทนไปพิจารณาเรื่องที่เราสนใจ และได้ผลการศึกษากลับมา การอภิปรายของ ส.ส.ควรให้เกียรติ กมธ.ที่ไปศึกษารายงานฉบับดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและขจัดความเข้าใจผิด หากจะพูดกันแค่ใน ส.ส. และไม่ให้ กมธ.อธิบาย ประชาชนอาจจะเข้าใจผิดในบางประเด็น
“
เท่าที่ผมฟัง ส.ส.หลายคนก็อภิปรายโดยที่ไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง บางท่านอภิปรายเลยไปถึงเป็นการพิจารณาการแก้ไขมาตรา 112 หรือการพิจารณา พ.ร.บ. นิรโทษกรรมโดยตรง จะมีผลบังคับใช้วันนี้เลย ซึ่งที่จริงไม่ใช่แบบนั้น ทางกรรมาธิการก็มีหลายตัวเลือก เพื่อ ครม.นำความเห็นนี้ไปเป็นประโยชน์ในการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในอนาคตเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งที่รุนแรงที่ผ่านมา” นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าว
เมื่อถามว่า จากการปิดประชุมบ่อยจะต้องมีการคุยนอกรอบกับพรรครัฐบาลหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุขึ้นอีก นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เราคุยมาตลอดแล้วเมื่อเช้าตนรับรู้ถึงสัญญาบางอย่าง ซึ่งได้พยายามเจรจาแล้ว แต่ก็เข้าใจดีว่าการเจรจาอาจจะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ซึ่งต้องยอมรับกันตามตรงว่าอำนาจในการปิดประชุมเป็นของประธานสภาโดยแท้ ซึ่งกระบวนการเจรจาก็สำคัญเช่นเดียวกัน แต่อยู่ที่เหตุผลการปิดว่าเพราะอะไร มองว่าประชาชนและสื่อมวลชนต้องกดดันให้สภาสามารถดำเนินวาระต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์สูงสุด
เมื่อถามว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จะมีการเสนอญัตติ หรือวาระอื่นแทรก เพื่อยื้อเวลาไม่ให้เกิดการลงมติ นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เป็นทางหนึ่งที่สามารถทำได้ แต่ในวาระนี้จะเป็นวาระลำดับแรกของเรื่องที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว หากมีอะไรมาแทรกจะต้องเป็นรายงานของหน่วยงานต่างๆ ที่จะต้องรายงานต่อสภา เมื่อหมดเรื่องเหล่านั้น วาระนี้ก็ต้องเป็นวาระแรก หากจะขยับก็ต้องขอเลื่อนวาระ อาจมีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องนี้จะจบแล้ว แค่ให้ กมธ.ชี้แจงในประเด็นต่างๆ และลงมติกันก็ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้น ยืนยันว่าหากไม่ทันสมัยประชุมนี้ รายงานดังกล่าวจะไม่ตก สมัยหน้าเปิดประชุมมาก็ยังพิจารณาได้
เมื่อถามถึงในวันที่ 21 ต.ค. พรรคร่วมรัฐบาลนัดรับประทานอาหารค่ำ คิดว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวไปถกหรือไม่ นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องหาทางออกในเรื่องนี้ให้ได้ ซึ่ง กมธ.นี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีผลการศึกษาก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างกฎหมาย ยิ่งยื้อไปก็ยิ่งเปล่าประโยชน์ ทำให้ กมธ.ไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อกฎหมายเข้ามาเราก็ยังไม่ผ่านการตกผลึกใดๆ เลย ซึ่งนาย
ชูศักดิ์ก็อยู่ใน ครม. คิดว่าคงมีการพูดคุยกันตลอดอยู่แล้ว โดยในสัปดาห์หน้ารัฐบาลจำเป็นที่จะต้องหาทางออกว่าความเห็นต่างในพรรคร่วมรัฐบาลจะจัดการอย่างไร
ส.ส.ประชาชน บี้ทวงคืนสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ภูมิธรรม ลุกแจงที่ดินพิเศษ ต้องดูรอบด้าน ไม่ใช่เอาแต่ใจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4850640
“ภูมิธรรม” แนะรอผลศึกษา กมธ.ถ่ายโอนภารกิจกองทัพ ก่อนเคาะ เปลี่ยน สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์เพื่อประโยชน์อื่น ย้ำต้องดูให้รอบด้าน ไม่ใช่เอาแต่ใจ เหตุเป็นที่ดินพิเศษ เกี่ยวความมั่นคง-ปลอดภัย ระดับวีวีไอพี-วีไอพี
เมื่อเวลา 11.10 น.วันที่ 17 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณากระทู้ถามทั่วไปของ นาย
เชตวัน เตือประโคน ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาชน ถึงปัญหาการใช้ที่ดินไม่เกิดประโยชน์ คุ้มค่า กรณีสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ของกองทัพอากาศ โดย นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า ในเรื่องดังกล่าวคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น หรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาที่มีนาย
จิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นประธาน กมธ.ได้คุยกันอยู่ ซึ่งมีนายพลที่เกี่ยวข้อง 3 คน ได้พูดคุยว่ามีส่วนใดที่ใช้ประโยชน์ได้บ้าง
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องคำนึงถึงหัวใจประชาชนด้วย และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่สามารถจัดการได้ทันที เพราะไม่ใช่ที่ดินปกติ เป็นเรื่องของความมั่นคง ระบบป้องกันภัยเครื่องบินพาณิชย์ รวมถึงความมั่นคงของบุคคลระดับวีวีไอพี และวีไอพี หากผลการศึกษาของ กมธ.วิสามัญฯชัดเจน ศึกษาแล้วไม่มีผลกระทบจริง จะปรับเปลี่ยนได้
“
หากศึกษาร่วมกันและมีผลชัดเจน อาจต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพราะไม่ใช่ที่ดินปกติ ทั้งนี้ อย่าคิดอะไรด้านเดียว หรือเอาแต่ใจตัวเอง ต้องมองให้รอบด้าน รัฐบาลพร้อมรับการตรวจสอบ และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านสามารถคุยกันได้ด้วยเหตุและผล ไม่มีปัญหา หาก กมธ.วิสามัญฯ ศึกษาแล้วระบุว่าไม่มีผลกระทบ แต่ไม่ใช่ใครพูดต้องเอาเป็นเอาตายในการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลไม่สามารถทำให้ได้” นาย
ภูมิธรรมกล่าว
UN ร้องไทย ทบทวนการส่งตัว 'ผู้ลี้ภัย-นักปกป้องสิทธิชนพื้นเมือง' กลับเวียดนาม
https://prachatai.com/journal/2024/10/111080
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจาก UN เรียกร้องถึงทางการไทย ทบทวนการส่งตัว 'เบดั๊บ' ผู้ลี้ภัยและนักปกป้องสิทธิชนพื้นเมือง ชาวมองตานญาด กลับประเทศเวียดนาม เนื่องจากมีความเสี่ยงถูกทรมานหรือเผชิญการกระทำอันโหดร้ายอื่นๆ และถือเป็นการละเมิดหลัก 'Non-refoulement'
17 ต.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งวานนี้ (16 ต.ค.) ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสิทธิมนุษยชนจากสหประชาชาติ เผยว่า เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งหลังศาลอาญาไทยมีคำสั่งควบคุมตัว
อี ควิน เบดั๊บ ผู้ลี้ภัย และนักปกป้องสิทธิชาวมองตานญาด เพื่อรอผลักดันกลับประเทศในข้อหาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำร้องขอของรัฐบาลเวียดนาม และขอให้ทางการไทยทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง
JJNY : 5in1 ชัยธวัช งงปธ.ชิงปิดสภา│ส.ส.ปชน.บี้ทวงคืนสนามกอล์ฟ│UN ร้องไทย│ค่าฝุ่นเกิน 11 จว.│เคเอ็นยู บุกยึดฐานปืนใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4851828
‘ชัยธวัช’ งงปิดประชุมสภา ยื้อร่างนิรโทษทำไม ชี้ประชุมสัปดาห์หน้าก็เข้าเรื่องเดิม ด้าน ‘ปกรณ์วุฒิ’ ถาม เป็นเพราะเสถียรภาพพรรคร่วม รบ.ง่อนแง่นหรือไม่ ขณะที่ ‘โรม’ ชี้บรรยากาศเป็นเช่นนี้จะถอนฟืนออกจากกองไฟได้อย่างไร
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 17 ตุลาคม ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคประชาชน นำโดย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค และ นายชัยธวัช ตุลาธน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังประธานในที่ประชุมสภาปิดประชุม ขณะที่กำลังถกเถียงว่าจะโหวตรับ หรือไม่รับรายงานผลการศึกษาของ กมธ.นิรโทษกรรม
นายชัยธวัชกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ประธานสภาชิงปิดการประชุมก่อน เนื่องจากการพิจารณาควรจะเสร็จในวันนี้ (17 ต.ค.) เพื่อให้สภาได้พิจารณาวาระอื่นๆ ที่มีอยู่ต่อไป เพราะเข้าใจว่าได้มีการคุยกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมีญัตติด่วนกรณีการร้องเรียนบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป และยังมีวาระอื่นๆ ที่ควรจะรีบพิจารณาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก่อนที่สมัยประชุมจะปิด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
นายชัยธวัชกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยและไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะเห็นว่า กมธ.แทบไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย ขนาด นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธาน กมธ. ก็ได้แจงเพียงภาพกว้าง ก่อนจะเปิดให้ ส.ส.ได้แสดงความคิดเห็นกัน ซึ่ง กมธ.มีความตั้งใจว่าเมื่อฟัง ส.ส.อภิปรายจนครบหมดแล้วจะลุกขึ้นชี้แจงเนื้อหาสาระที่สำคัญของข้อเสนอ รวมถึงประเด็นที่ ส.ส.ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่ายรัฐบาล ทำให้เสียโอกาสที่สภาจะได้ผลักดันวาระที่สำคัญ และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีปัญหา จนกระทั่งไม่สามารถพิจารณารายงานฉบับนี้ให้แล้วเสร็จภายในสมัยประชุมนี้ได้หรือไม่
นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า หากครั้งหน้ามีประเด็นปัญหาอีกก็น่าเสียดาย เพราะไม่ว่ารายงาน กมธ.นี้จะผ่านการพิจารณาของสภาหรือไม่ ในการเปิดสมัยประชุมสภาหน้าก็จะมีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจ่อรออยู่แล้ว 4 ฉบับ ซึ่งเมื่อเช้านี้ได้ดูวาระแล้วว่าร่างของอดีตพรรคก้าวไกลอยู่ในลำดับที่ 6 อย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น ไม่ควรมีการเตะถ่วงการพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อให้ทุกพรรค รวมถึงรัฐบาลรีบนำข้อสรุปความเห็นที่ ส.ส.และสาธารณะได้ฟังสาระสำคัญของ กมธ.นำไปเสนอร่างกฎหมายของตัวเองเพื่อมาพิจารณาพร้อมกับร่างกฎหมายอื่นๆ ที่รอเข้าสภาอยู่แล้วในต้นสมัยประชุมหน้า ทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ด้านนายรังสิมันต์กล่าวว่า ตกลงแล้วความชัดเจนของรัฐบาลต่อการนิรโทษกรรมจะมีทิศทางเป็นอย่างไร เนื่องจากต้องยอมรับว่าหากดูตามรายงานจะมีเรื่องการนิรโทษกรรม ซึ่งไม่ได้เป็นข้อสรุป แต่เป็นความเห็นของฝ่ายหนึ่งที่เห็นว่าควรรวมมาตรา 112 หรือไม่ควรรวม และยังมีข้อสังเกตอีกหลายประการที่รัฐบาลสามารถทำได้เลย และการที่รายงานฉบับนี้ล่าช้าออกไปทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าตกลงแล้วรัฐบาลจะเอาอย่างไร
นายรังสิมันต์กล่าวว่า แน่นอนว่าการปิดประชุมเป็นอำนาจของประธานสภา แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้อำนาจนี้ก็ถูกมองได้ว่าเป็นจุดยืนของรัฐบาลหรือไม่ที่ไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้มีความชัดเจนในเร็วๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก และอยากให้สังคมตั้งคำถามดังๆ ต่อรัฐบาลว่าตกลงแล้วจะเอาอย่างไร โดยรายงานฉบับนี้พยายามหาจุดที่จะประนีประนอมคุยกันได้
“วันนี้สิ่งที่เราอยากจะได้ความชัดเจนที่สุดคือแนวทางของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งที่ผ่านมาถูกมองว่าการนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการถอนฟืนออกจากกองไฟ แต่ถ้าบรรยากาศของสภาเป็นเช่นนี้ เราจะถอนฟืนออกจากกองไฟได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพื่อทำให้สภาเป็นที่แห่งการพูดคุยเพื่อคลายความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ และยิ่งยากมากขึ้น” นายรังสิมันต์กล่าว
ขณะที่นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า หากติดตามการประชุมสภาสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ประธานสภาได้ปิดประชุมก่อนเวลาที่วิป 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ และไม่มีครั้งไหนที่เราสามารถดำเนินการประชุมตามที่วิป 2 ฝ่ายตกลงกันไว้ หากเราติดตามกันตั้งแต่สภาชุดที่แล้ว จะเห็นว่ามีรองประธานสภาที่เป็นมือปิด มักจะเป็นตัวแทนมาจากพรรคแกนนำรัฐบาล สาเหตุหนึ่งคือกลัวองค์ประชุมล่ม จะทำให้ประชาชนเห็นว่าฝั่งรัฐบาลอยู่ไม่ครบองค์ประชุม และไม่สามารถประชุมต่อได้ แต่วันนี้พรรคประชาชนแสดงอย่างชัดเจนว่าเราไม่ล่มองค์ประชุมอย่างแน่นอน พร้อมที่จะโหวตไม่ว่าใครจะเห็นอย่างไรกับรายงานฉบับดังกล่าว เพราะถือเป็นวิถีทางประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยก็ส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่หากเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็ตีตกไป สภาว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น
นายปกรณ์วุฒิกล่าวต่อว่า อีกสัญญาณหนึ่งที่ส่งผ่านมาจากการปิดประชุมคือเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้พรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติก็ประกาศชัดเจนว่าพร้อมจะลงมติ มั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็ทราบว่าวันนี้องค์ประชุมครบและไม่ล่มอย่างแน่นอน
“การปิดประชุมหนีแบบนี้อาจเป็นการไม่อยากให้ทางสาธารณะได้เห็นภาพความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลกันเองที่อาจส่อถึงเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลที่เริ่มจะงัวเงียง่อนแง่น สถานการณ์แบบนี้ครั้งที่แล้วเกิดขึ้นช่วงปลายรัฐบาล ที่พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องและเห็นไม่ตรงกันในหลายเรื่อง ต้องปิดการประชุม เพราะองค์ประชุมล่มกันบ่อยครั้ง” นายปกรณ์วุฒิกล่าว
นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า การปิดประชุมในวันนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะวันที่ 24 ต.ค.ก็ต้องกลับมาพูดคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง ส่วนการที่มีสมาชิกระบุว่าให้ปิดการอภิปรายเลยนั้น ต้องเข้าใจว่าสภาแต่งตั้ง กมธ.ขึ้นมา เป็นตัวแทนไปพิจารณาเรื่องที่เราสนใจ และได้ผลการศึกษากลับมา การอภิปรายของ ส.ส.ควรให้เกียรติ กมธ.ที่ไปศึกษารายงานฉบับดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและขจัดความเข้าใจผิด หากจะพูดกันแค่ใน ส.ส. และไม่ให้ กมธ.อธิบาย ประชาชนอาจจะเข้าใจผิดในบางประเด็น
“เท่าที่ผมฟัง ส.ส.หลายคนก็อภิปรายโดยที่ไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง บางท่านอภิปรายเลยไปถึงเป็นการพิจารณาการแก้ไขมาตรา 112 หรือการพิจารณา พ.ร.บ. นิรโทษกรรมโดยตรง จะมีผลบังคับใช้วันนี้เลย ซึ่งที่จริงไม่ใช่แบบนั้น ทางกรรมาธิการก็มีหลายตัวเลือก เพื่อ ครม.นำความเห็นนี้ไปเป็นประโยชน์ในการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในอนาคตเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งที่รุนแรงที่ผ่านมา” นายปกรณ์วุฒิกล่าว
เมื่อถามว่า จากการปิดประชุมบ่อยจะต้องมีการคุยนอกรอบกับพรรครัฐบาลหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุขึ้นอีก นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เราคุยมาตลอดแล้วเมื่อเช้าตนรับรู้ถึงสัญญาบางอย่าง ซึ่งได้พยายามเจรจาแล้ว แต่ก็เข้าใจดีว่าการเจรจาอาจจะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ซึ่งต้องยอมรับกันตามตรงว่าอำนาจในการปิดประชุมเป็นของประธานสภาโดยแท้ ซึ่งกระบวนการเจรจาก็สำคัญเช่นเดียวกัน แต่อยู่ที่เหตุผลการปิดว่าเพราะอะไร มองว่าประชาชนและสื่อมวลชนต้องกดดันให้สภาสามารถดำเนินวาระต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์สูงสุด
เมื่อถามว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จะมีการเสนอญัตติ หรือวาระอื่นแทรก เพื่อยื้อเวลาไม่ให้เกิดการลงมติ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เป็นทางหนึ่งที่สามารถทำได้ แต่ในวาระนี้จะเป็นวาระลำดับแรกของเรื่องที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว หากมีอะไรมาแทรกจะต้องเป็นรายงานของหน่วยงานต่างๆ ที่จะต้องรายงานต่อสภา เมื่อหมดเรื่องเหล่านั้น วาระนี้ก็ต้องเป็นวาระแรก หากจะขยับก็ต้องขอเลื่อนวาระ อาจมีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องนี้จะจบแล้ว แค่ให้ กมธ.ชี้แจงในประเด็นต่างๆ และลงมติกันก็ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้น ยืนยันว่าหากไม่ทันสมัยประชุมนี้ รายงานดังกล่าวจะไม่ตก สมัยหน้าเปิดประชุมมาก็ยังพิจารณาได้
เมื่อถามถึงในวันที่ 21 ต.ค. พรรคร่วมรัฐบาลนัดรับประทานอาหารค่ำ คิดว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวไปถกหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องหาทางออกในเรื่องนี้ให้ได้ ซึ่ง กมธ.นี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีผลการศึกษาก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างกฎหมาย ยิ่งยื้อไปก็ยิ่งเปล่าประโยชน์ ทำให้ กมธ.ไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อกฎหมายเข้ามาเราก็ยังไม่ผ่านการตกผลึกใดๆ เลย ซึ่งนายชูศักดิ์ก็อยู่ใน ครม. คิดว่าคงมีการพูดคุยกันตลอดอยู่แล้ว โดยในสัปดาห์หน้ารัฐบาลจำเป็นที่จะต้องหาทางออกว่าความเห็นต่างในพรรคร่วมรัฐบาลจะจัดการอย่างไร
ส.ส.ประชาชน บี้ทวงคืนสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ภูมิธรรม ลุกแจงที่ดินพิเศษ ต้องดูรอบด้าน ไม่ใช่เอาแต่ใจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4850640
“ภูมิธรรม” แนะรอผลศึกษา กมธ.ถ่ายโอนภารกิจกองทัพ ก่อนเคาะ เปลี่ยน สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์เพื่อประโยชน์อื่น ย้ำต้องดูให้รอบด้าน ไม่ใช่เอาแต่ใจ เหตุเป็นที่ดินพิเศษ เกี่ยวความมั่นคง-ปลอดภัย ระดับวีวีไอพี-วีไอพี
เมื่อเวลา 11.10 น.วันที่ 17 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณากระทู้ถามทั่วไปของ นายเชตวัน เตือประโคน ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาชน ถึงปัญหาการใช้ที่ดินไม่เกิดประโยชน์ คุ้มค่า กรณีสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ของกองทัพอากาศ โดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า ในเรื่องดังกล่าวคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น หรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาที่มีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นประธาน กมธ.ได้คุยกันอยู่ ซึ่งมีนายพลที่เกี่ยวข้อง 3 คน ได้พูดคุยว่ามีส่วนใดที่ใช้ประโยชน์ได้บ้าง
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องคำนึงถึงหัวใจประชาชนด้วย และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่สามารถจัดการได้ทันที เพราะไม่ใช่ที่ดินปกติ เป็นเรื่องของความมั่นคง ระบบป้องกันภัยเครื่องบินพาณิชย์ รวมถึงความมั่นคงของบุคคลระดับวีวีไอพี และวีไอพี หากผลการศึกษาของ กมธ.วิสามัญฯชัดเจน ศึกษาแล้วไม่มีผลกระทบจริง จะปรับเปลี่ยนได้
“หากศึกษาร่วมกันและมีผลชัดเจน อาจต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพราะไม่ใช่ที่ดินปกติ ทั้งนี้ อย่าคิดอะไรด้านเดียว หรือเอาแต่ใจตัวเอง ต้องมองให้รอบด้าน รัฐบาลพร้อมรับการตรวจสอบ และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านสามารถคุยกันได้ด้วยเหตุและผล ไม่มีปัญหา หาก กมธ.วิสามัญฯ ศึกษาแล้วระบุว่าไม่มีผลกระทบ แต่ไม่ใช่ใครพูดต้องเอาเป็นเอาตายในการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลไม่สามารถทำให้ได้” นายภูมิธรรมกล่าว
UN ร้องไทย ทบทวนการส่งตัว 'ผู้ลี้ภัย-นักปกป้องสิทธิชนพื้นเมือง' กลับเวียดนาม
https://prachatai.com/journal/2024/10/111080
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจาก UN เรียกร้องถึงทางการไทย ทบทวนการส่งตัว 'เบดั๊บ' ผู้ลี้ภัยและนักปกป้องสิทธิชนพื้นเมือง ชาวมองตานญาด กลับประเทศเวียดนาม เนื่องจากมีความเสี่ยงถูกทรมานหรือเผชิญการกระทำอันโหดร้ายอื่นๆ และถือเป็นการละเมิดหลัก 'Non-refoulement'
17 ต.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งวานนี้ (16 ต.ค.) ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสิทธิมนุษยชนจากสหประชาชาติ เผยว่า เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งหลังศาลอาญาไทยมีคำสั่งควบคุมตัวอี ควิน เบดั๊บ ผู้ลี้ภัย และนักปกป้องสิทธิชาวมองตานญาด เพื่อรอผลักดันกลับประเทศในข้อหาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำร้องขอของรัฐบาลเวียดนาม และขอให้ทางการไทยทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง