ณ เมืองกรุงอันศิวิไลซ์แห่งหนึ่ง เหล่าผู้คนเจริญด้วยวัตถุและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จนชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์มีแต่ความสะดวกสบาย ทำให้สุขภาพและอายุของผู้คนในเมืองนี้ยังคงมีอายุอยู่ได้นานจนถึง 100 ปี หากแต่การพัฒนาด้านจิตใจของมนุษย์ในเมืองนี้ กลับมีความซับซ้อนจนยากที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ
ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายผิวดำคล้ำ ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งก็มีลูกสาวผิวขาวผุดผ่อง เด็กทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็ก เด็กทั้งสองคนนี้มีจิตใจต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเด็กชายมีจิตใจโหดร้าย โหดเหี้ยม ไร้ความปราณีใดๆ จนผู้คนต่างเรียกเด็กชายคนนี้ว่า “อธรรม” ในทางกลับกันเด็กหญิงผู้มีจิตใจเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี ผู้คนต่างยกย่องเด็กคนนี้ว่า “กรุณา”
อธรรม และ กรุณา มีจิตใจและความคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง หากเปรียบดั่งสีสัน อธรรมจะเป็นตัวแทนของสีดำ จิตใจมีแต่ด้านมืด ชั่วร้าย เห็นแก่ตัว ทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างสุดขั้ว ส่วนกรุณาเป็นตัวแทนของสีขาว จิตใจมีแต่ด้านดี งดงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น สามารถอุทิศตนเพื่อสังคมได้
เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทั้งสองคนก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นต่อไป “กรุณา” ผู้มีจิตใจเมตตาจึงมักทำให้มนุษย์หนุ่มสาวมีความรักความเมตตาจนก่อเกิดเป็นใยสัมพันธ์และทำให้มนุษย์มีทายาทสืบทอดอีกเป็นจำนวนมากมาย ส่วน “อธรรม” เขากลับรู้สึกชิงชังเคียดแค้นเห็นแต่สิ่งเลวทรามในตัวมนุษย์ จึงมักเป็นผู้ทำลายเข่นฆ่ามนุษย์ไม่ให้มนุษย์แพร่พันธุ์จนเกินเหตุ จนทำลายธรรมชาติหมดโลก
เมื่อกรุณาและอธรรมได้มาพบหน้ากัน ทั้งสองก็ได้ระบายความในใจออกมา กรุณาต่อว่าต่อขานอธรรมว่า “นายมันมีแต่จิตใจชั่วช้า ชอบเข่นฆ่ามนุษย์ ความชั่วร้ายของนายจะทำให้โลกนี้สูญสลาย เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพินาศ !!! ความชั่วของนายมันไร้ประโยชน์สิ้นดี” ฝ่ายอธรรมจึงตอบกลับกรุณาไปว่า “แล้วความรักความเมตตาของเธอล่ะมันไม่ทำร้ายโลกนี้เลยหรือ ? เธอทำให้มนุษย์รักกัน จนมนุษย์แพร่ขยายพันธุ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก จนธรรมชาติของโลกเริ่มเสียสมดุลหมดแล้ว ป่าไม้และใบหญ้าแทบจะไม่มีให้มนุษย์ได้ผลาญกินอีกต่อไป !!!”
ทั้งสองคนต่างตำหนิถึงข้อเสียของฝ่ายตรงข้าม โดยไม่หันมามองว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นก่อให้เกิดผลดีและร้ายต่อโลกอย่างไร กรุณายังคงยึดมั่นในความรักและความเมตตาของตน ให้มนุษย์มีความรักและผลิตมนุษย์ออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน จนกระทั่งวันหนึ่งต้นไม้ใบหญ้า พืชพรรณอาหารต่างๆ หรือแม้แต่เนื้อสัตว์ก็หมดสิ้นจากโลกใบนี้
จนกระทั่งความหิวกระหายได้เข้ามาสู่มนุษย์ทุกตัวคน มนุษย์เริ่มเล็งเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเนื้อมนุษย์ที่แสนโอชะที่สามารถแก้กระหายหิวได้ แล้วสงครามฆ่าฟันมนุษย์เพื่อเป็นอาหารก็ได้เริ่มต้นขึ้น กรุณาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกเศร้าใจเสียใจ ที่เหล่ามนุษย์มีจิตใจเปลี่ยนแปลงไป เพราะสาเหตุเกิดจากความรักและความเมตตาของกรุณาเอง
อธรรมได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ยิ้มหัวเราะพอใจ ที่เหล่ามนุษย์เริ่มมีจิตใจชั่วร้ายฆ่าฟันกันเอง เมื่อเหล่ามนุษย์ฆ่าฟันกันเองจนตายสิ้นทุกคน ไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว โลกทั้งใบก็กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีอาหาร ไม่มีสัตว์ป่า ไม่มีพืชนานาพันธุ์ และไม่มีมนุษย์อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป จนอธรรมก็เริ่มสลดใจในความชั่วของตัวเองแล้วว่า เมื่อความชั่วร้ายทำลายทุกสิ่งจนถึงขีดสุด สุดท้ายมันก็ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นพอใจอีกแล้ว อธรรมจึงรู้ซึ้งของการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วโลกทั้งใบก็เหลือเพียงแค่กรุณาและอธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีก ทั้งสองจึงเริ่มเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของกันและกัน กรุณาและอธรรมเข้าใจว่า ตนเองต่างสามารถช่วยรักษาสมดุลของโลกได้ ทั้งสองคนรักกันเข้าใจกันและมีทายาทเพื่อสร้างสมดุลของโลกต่อไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ามองความดีและความชั่วเพียงแค่เปลือกนอก แต่ต้องมองให้ลึกซึ้งถึงผลดีและร้ายในตัวเอง
เรื่องเล่าสอนใจ ดีหรือชั่วอย่ามองเพียงภายนอก
ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายผิวดำคล้ำ ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งก็มีลูกสาวผิวขาวผุดผ่อง เด็กทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็ก เด็กทั้งสองคนนี้มีจิตใจต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเด็กชายมีจิตใจโหดร้าย โหดเหี้ยม ไร้ความปราณีใดๆ จนผู้คนต่างเรียกเด็กชายคนนี้ว่า “อธรรม” ในทางกลับกันเด็กหญิงผู้มีจิตใจเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี ผู้คนต่างยกย่องเด็กคนนี้ว่า “กรุณา”
อธรรม และ กรุณา มีจิตใจและความคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง หากเปรียบดั่งสีสัน อธรรมจะเป็นตัวแทนของสีดำ จิตใจมีแต่ด้านมืด ชั่วร้าย เห็นแก่ตัว ทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างสุดขั้ว ส่วนกรุณาเป็นตัวแทนของสีขาว จิตใจมีแต่ด้านดี งดงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น สามารถอุทิศตนเพื่อสังคมได้
เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทั้งสองคนก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นต่อไป “กรุณา” ผู้มีจิตใจเมตตาจึงมักทำให้มนุษย์หนุ่มสาวมีความรักความเมตตาจนก่อเกิดเป็นใยสัมพันธ์และทำให้มนุษย์มีทายาทสืบทอดอีกเป็นจำนวนมากมาย ส่วน “อธรรม” เขากลับรู้สึกชิงชังเคียดแค้นเห็นแต่สิ่งเลวทรามในตัวมนุษย์ จึงมักเป็นผู้ทำลายเข่นฆ่ามนุษย์ไม่ให้มนุษย์แพร่พันธุ์จนเกินเหตุ จนทำลายธรรมชาติหมดโลก
เมื่อกรุณาและอธรรมได้มาพบหน้ากัน ทั้งสองก็ได้ระบายความในใจออกมา กรุณาต่อว่าต่อขานอธรรมว่า “นายมันมีแต่จิตใจชั่วช้า ชอบเข่นฆ่ามนุษย์ ความชั่วร้ายของนายจะทำให้โลกนี้สูญสลาย เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพินาศ !!! ความชั่วของนายมันไร้ประโยชน์สิ้นดี” ฝ่ายอธรรมจึงตอบกลับกรุณาไปว่า “แล้วความรักความเมตตาของเธอล่ะมันไม่ทำร้ายโลกนี้เลยหรือ ? เธอทำให้มนุษย์รักกัน จนมนุษย์แพร่ขยายพันธุ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก จนธรรมชาติของโลกเริ่มเสียสมดุลหมดแล้ว ป่าไม้และใบหญ้าแทบจะไม่มีให้มนุษย์ได้ผลาญกินอีกต่อไป !!!”
ทั้งสองคนต่างตำหนิถึงข้อเสียของฝ่ายตรงข้าม โดยไม่หันมามองว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นก่อให้เกิดผลดีและร้ายต่อโลกอย่างไร กรุณายังคงยึดมั่นในความรักและความเมตตาของตน ให้มนุษย์มีความรักและผลิตมนุษย์ออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน จนกระทั่งวันหนึ่งต้นไม้ใบหญ้า พืชพรรณอาหารต่างๆ หรือแม้แต่เนื้อสัตว์ก็หมดสิ้นจากโลกใบนี้
จนกระทั่งความหิวกระหายได้เข้ามาสู่มนุษย์ทุกตัวคน มนุษย์เริ่มเล็งเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเนื้อมนุษย์ที่แสนโอชะที่สามารถแก้กระหายหิวได้ แล้วสงครามฆ่าฟันมนุษย์เพื่อเป็นอาหารก็ได้เริ่มต้นขึ้น กรุณาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกเศร้าใจเสียใจ ที่เหล่ามนุษย์มีจิตใจเปลี่ยนแปลงไป เพราะสาเหตุเกิดจากความรักและความเมตตาของกรุณาเอง
อธรรมได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ยิ้มหัวเราะพอใจ ที่เหล่ามนุษย์เริ่มมีจิตใจชั่วร้ายฆ่าฟันกันเอง เมื่อเหล่ามนุษย์ฆ่าฟันกันเองจนตายสิ้นทุกคน ไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว โลกทั้งใบก็กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีอาหาร ไม่มีสัตว์ป่า ไม่มีพืชนานาพันธุ์ และไม่มีมนุษย์อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป จนอธรรมก็เริ่มสลดใจในความชั่วของตัวเองแล้วว่า เมื่อความชั่วร้ายทำลายทุกสิ่งจนถึงขีดสุด สุดท้ายมันก็ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นพอใจอีกแล้ว อธรรมจึงรู้ซึ้งของการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วโลกทั้งใบก็เหลือเพียงแค่กรุณาและอธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีก ทั้งสองจึงเริ่มเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของกันและกัน กรุณาและอธรรมเข้าใจว่า ตนเองต่างสามารถช่วยรักษาสมดุลของโลกได้ ทั้งสองคนรักกันเข้าใจกันและมีทายาทเพื่อสร้างสมดุลของโลกต่อไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ามองความดีและความชั่วเพียงแค่เปลือกนอก แต่ต้องมองให้ลึกซึ้งถึงผลดีและร้ายในตัวเอง