ชัดเจนด้วยวิปัสสนาญาณ!

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

บางส่วนจากคลิป
อ. สุจินต์ : "......เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นสติปัฏฐานนี่ไม่ใช่เรื่องคิด เพราะเหตุว่าเราคิดตั้งแต่เช้า คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ ใครนับความคิดได้บ้างว่าคิดเรื่องอะไรบ้าง ตั้งแต่เช้า กี่เรื่อง เยอะแยะไปหมด ก็ผ่านไปหมดแล้ว แต่สติปัฏฐานคือขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏที่สติระลึกได้ เพราะฉะนั้น จะไม่คิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว หรือสิ่งที่ยังไม่มาถึง เพราะถ้าคิดก็เป็นเพียงความคิด แต่ไม่สามารถจะไประลึกสิ่งที่ดับไปแล้วได้ หรือสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นในขณะนี้เองมีสภาพธรรมใดปรากฏ ถ้ามีปัจจัยสะสมมาที่สติปัฏฐานจะเกิดระลึก คนนั้นสติปัฏฐานก็เกิด แต่ถ้าไม่มีการสะสมมาที่สติปัฏฐานจะระลึก แม้ฟังเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ สติก็ไม่ได้ระลึก....

.......ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรที่ผ่านไปแล้ว  แต่ขณะนี้มีอะไรปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เร็วมากยังไงก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเราไม่รู้การเกิดดับอย่างเร็ว   เพียงแต่เริ่มที่จะศึกษาลักษณะของสภาพที่มีให้เข้าใจขึ้น ในลักษณะจริงๆ แท้ๆ ซึ่งเราเรียนมามาก ฟังมาเยอะ แต่สติก็ยังไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพนั้น เพราะฉะนั้นฟัง เพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยขณะนั้น สติต้องเกิด ไม่ต้องไปเรียกชื่อก็ได้ แต่ขณะใดที่กำลังค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นสติเป็นหน้าที่ของสติ ไม่ใช่เรา สติเกิดแล้วจึงเป็นอย่างนั้นค่อยๆ ศึกษาค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ.......

..........เริ่มหมายความว่าขณะนี้ มีสภาพธรรมที่คนนั้นมีความเข้าใจที่เข้าใจถูกต้องว่า สติสามารถเกิดระลึกได้ เป็นปัจจัยให้มีการระลึก  ขณะที่กำลังค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏตา ขณะนั้นไม่ใช่เพียงการฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาได้มีจริง เป็นรูปธรรม นั้นคือการเพียงฟัง   แต่ขณะนี้กำลังเห็นมี เห็นจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ และกำลังเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นเพียงรูปๆ ๑ ใน ๒๘ รูป ที่สามารถจะปรากฏได้   รูปอื่นปรากฏทางตาไม่ได้เลย  แข็งเราก็มองไม่เห็น หวานเราก็มองไม่เห็น กลิ่นเราก็มองไม่เห็น แต่ทั้งหมดเป็นรูป เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพรู้  มีรูปเดียวเท่านั้นที่ปรากฏทางตา ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ฟังบ่อยๆ เพื่อที่จะคอยน้อมไประลึก   คือเข้าใจในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด และเป็นเรื่องที่ต้องอบรมจริงๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ได้ จากการไม่เคยได้ยินได้ฟัง เป็นได้ยินได้ จนกระทั่งในขณะนี้เองที่เห็น กำลังค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และกำลังปรากฏทางตา ไม่ต้องเป็นเรื่องราวอย่างนี้ แต่ถ้าจะคิดเป็นเรื่องราวอย่างนี้ ก็ไม่มีใครห้าม ห้ามไม่ได้ พระธรรมแสดงความเป็นอนัตตา ขณะที่อาจจะระลึกเป็นคำ และสลับกับขณะที่กำลังค่อยๆ พิจารณาลักษณะที่เป็นสภาพธรรมนั้นจริงๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ละเอียด ที่จะต้องรู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียงคิด และขณะไหนที่สติกำลังค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ   ถ้าขณะนี้ไม่มีการระลึกลักษณะซึ่งเป็นสภาพรู้ ที่สามารถเห็น และกำลังเห็นว่า ธาตุชนิดนี้มี แม้ว่าไม่ปรากฏเลย เพราะเหตุว่าสติไม่ระลึกเลย แต่เวลาที่สติระลึก จะค่อยๆ เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพรู้ ซึ่งกำลังเห็น นี้คือลักษณะของธาตุชนิดนี้ ซึ่งสามารถเห็นได้   เพราะฉะนั้นการฟังอย่างนี้ ฟังไปอีกๆ ก็ไม่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ เพื่อที่จะให้เราไม่หลงลืม หมายความว่ามีความเข้าใจที่มั่นคง ที่เป็นปัจจัยให้กำลังค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ว่าจะน้อยมาก เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของรูป และนามทางทวารนี้ และทางทวารอื่น และก็มีภวังค์คั่น และก็เป็นลักษณะของมโนทวารซึ่งเกิดสืบต่อ ซึ่งเป็นความจริงทุกอย่าง ตามที่ทรงแสดงแต่ในขั้นต้น ยังไม่ใช่ปัญญาระดับนั้น แต่เป็นปัญญาซึ่งค่อยๆ เข้าใจก่อน คำว่าเข้าใจ หมายความถึงปัญญาขั้นหนึ่ง เพราะว่าถ้าเราใช้คำว่าปัญญา แต่เราไม่รู้ว่าปัญญาขั้นต้นคือเข้าใจ เราก็พยายามที่จะไปใช้ปัญญา ทำปัญญา หาปัญญา โดยที่ไม่รู้ว่าปัญญาคืออะไร แต่ถ้ารู้ว่าปัญญาเป็นความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏถูกต้อง เราไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาบาลีว่าปัญญาก็ได้ ในเมื่อมีความเห็นถูกเกิด เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจ เราจะไม่หนีไปจากสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา   อาจหาญ ร่าเริง คือรู้ว่าสิ่งนี้มี แล้วปัญญาต้องรู้สิ่งนี้ที่กำลังปรากฏ  ถ้าปัญญาไม่รู้สิ่งนี้ ก็ไม่มีทางที่เราจะคลายความที่เราคิดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานี้เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเที่ยง เป็นคนนั้น ชื่อนั้น กำลังนั่งอยู่ที่นี่ เป็นต้นไม้ เป็นนก เป็นสนาม เป็นสนามหญ้า หรืออะไรอย่างนี้ เพราะว่าขณะที่มีความรู้เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็เวลาที่เราพิจารณาสภาพของนามธรรมอื่นรูปธรรมอื่น เราก็ค่อยๆ เพิ่มการรู้ลักษณะของสภาพรู้ หรือว่าสิ่งซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เพราะว่าทุกอย่าง เปลี่ยนลักษณะไม่ได้เลย เปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ เปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น จนกว่าจะหมดความสงสัย หมดความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ........"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่