สัตตานังคืออะไร

สัตตานังคืออะไร 

วันนี้คงตั้งกระทู้อาจมีสาระน้อย ถ้าจะเอาสาระมากๆ ก็ข้ามไปก่อนก็ได้ครับ

           ผมได้ถูกกล่าวหาว่า เป็นลูกศิษย์ สำนัก สัตตานัง บางคนก็กล่าวหาว่า ผมเป็นพวกศิษย์วัดพระธรรมกาย  วันนี้ขอมาอธิบายว่า ไม่ใช่

            ก่อนจะอธิบายว่า สัตตานัง คืออะไรนั้น ขอวิเคราะห์ เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง อัตตา อนัตตา หรือ นิพพาน, สุญญตากถา ว่า มีกี่กลุ่ม  ของข้อมูลที่ผมได้อ่านจาก ผู้ที่มาโพส เป็นต้น

        ผมขอแบ่งออกเป็น 2  กลุ่มใหญ่ และในแต่ละกลุ่มใหญ่ก็จะมีกลุ่มย่อยๆ อีกสอง สามกลุ่ม อันนี้ไม่ถือว่าแบ่งแยงพุทธศาสนิกชนนะครับ

          กลุ่มใหญ่ที่ 1  กลุ่มที่เชื่อว่า มีนิพพานธาตุ ผูกติดกับขันธ์ห้า  ด้วยกิเลสสังโยชน์ ของในปุถุชนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม
            ในกลุ่มนี้ จะประกอบด้วย กลุ่มย่อย โดยที่กลุ่มย่อยจะมีรายละเอียด ไม่เหมือนกัน

               กลุ่มย่อยที่ 1  กลุ่มวัดพระธรรมกาย  อันนี้ผมก็ฟังมาแบบผิวเผิน ถ้าใครเป็นลูกศิษย์ ก็มาอธิบายให้ฟังด้วยว่า เป็นอย่างไร กลุ่มนี้ เชื่อว่า นิพพานธาตุ ในแต่ละบุคคลมี อยู่ในตัว เมื่อภาวนา จะกำหนด ให้เห็นนิพพานธาตุที่เหนือสะดือ เป็นลูกแก้วให้ปรากฏ  ประมาณนี้ ไม่รู้ถูกหรือเปล่าครับ

           กลุ่มย่อยที่ 2  กลุ่มสัตตานัง  อันนี้ ผมเคยอ่านที่เขาเอามากล่าวประณามในเวบบอร์ดนี้แหละ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องทะเลาะกัน  กลุ่มนี้ เชื่อว่า นิพพานธาตุเป็นสัตตานัง  เขาอธิบายว่า การที่สัตว์ท่องไปในวัฏสงสารอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เพราะ ยังไม่บรรลุธรรม คำว่าสัตตานัง ก็คง เอาไปแทน ตัวนิพพาน ที่ท่องไปในวัฏสงสารนั้นแหละ เลยถูกโจมตีว่า เห็นนิพพานเป็นอัตตา

          กลุ่มย่อยที่ 3  คือกลุ่มอิสระ  อย่างเช่นผมคนหนึ่งละ เชื่อว่า ขันธ์ห้าผูกติดกับนิพพานธาตุ ด้วยกิเลสสังโยชน์  แต่ก็ยังมีอีกหลายท่านอยู่ในกลุ่มอิสระนี้ มีรายละเอียดไม่เหมือนกัน
            สิ่งที่ผมอธิบาย ต่างจาก สองกลุ่มบนนั้นเพราะ ผมอธิบายว่า นิพพานธาตุนั้น มีอายตนะ สามารถรับรู้ได้ อย่างที่เป็นอยู่ เช่นการรับรู้ในรูป สัมปชัญญะ ในรูป ญาณ  เพราะ สัมปชัญญะ และญาณ ไม่ใช่ เจตสิกของจิต อันนี้มีคนค้านมาก ก็ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ญาณและสัมปชัญญะ นั้น ไม่ได้อธิบายในกลุ่มอื่นเลย

            กลุ่มใหญ่ที่ 2  เชื่อว่า ไม่มีนิพพานธาตุผูกติดกับขันธ์ห้า ของในบุคคลที่เป็นปุถุชน ที่ยังไม่บรรลุธรรม

            กลุ่มย่อยที่ 1 กลุ่มที่เชื่อว่า จิตเดิมแท้ คือ นิพพานธาตุ  กลุ่มนี้เชื่อว่า เมื่อภาวนา ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งขจัดกิเลสให้หมดไปจากจิต จนกระทั้งจิตที่เหลือ ก็จะเป็น จิต เดิมแท้ กลายไปเป็น จิตที่วิ่งเข้าสู่นิพพาน เป็นอมตะธาตุ  

            กลุ่มย่อยที่ 2  เชื่อว่า มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แล้วแต่เหตุและปัจจัย  ที่ทำให้เกิดมี  และเมื่อบรรลุธรรมแล้ว ก็จะเรียกว่า สอุปทิเสทนิพพานธาตุ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีเชื้อเหลือ หรือนิพพานที่ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ ในวงการนักธรรม แปลว่า "ดับกิเลสยังมีเบญจขันธ์เหลือ" (๒) อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีเชื้อเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ ในวงการนักธรรม แปลว่า "ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ"  
               กลุ่มนี้  ถ้าถามว่า นิพพานธาตุมีไหม ก็ไม่มีคนตอบ เพราะถ้าตอบว่า มี แล้ว จะมีมาจากไหน เพียงแต่ยกพระสูตรมาตอบ  ผมก็ยังไม่เข้าใจกลุ่มนี้
                 
             กลุ่มย่อยที่ 3 เชื่อว่า จิต ไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า  ต่างจากกลุ่มจิตเดิมแท้ เพราะ กลุ่มจิตเดิมแท้ ก็ยังอยู่ในขันธ์ห้า  กลุ่มนี้เชื่อว่า จิต ไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า จิต เป็นของเที่ยงประมาณนั้น จะผูกติดกับขันธ์ห้า

                    สมัยที่ผมยังไม่ได้ศึกษา คำสอนนั้น ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีการแบ่งแยกความเชื่อกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องมาเถียงกัน ไม่เชื่อลองไปถามคนที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ ว่าเหมือนที่ผมพูดหรือเปล่า

                คำว่า สัตตานัง กับคำว่า อัตตา น่าจะเป็นคำคำเดียวกัน  เพราะคำว่า อัตตาก็หมายถึง การมีตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล นั้นแหละ

                นิพพานธาตุในความหมายของผม นั้น จะเป็นอัตตาหรือเปล่า จะเป็นสัตตานังหรือเปล่าต้องดูคุณสมบัติ ของคำว่า อัตตา  

               นิพพานธาตุในความเชื่อของผม เป็นนามธาตุ ที่เป็น อสังขตะธาตุ  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นอมตะธาตุ  มีอายสตนะ รับรู้สิ่งต่างๆได้โดยผ่านสิ่งรอบข้าง อย่าง นิพพานธาตุผูกติดกับจิต ก็รับรู้ได้โดยผ่านจิต แต่ต้องมีการกระตุ้น ให้เกิดการรับรู้ด้วย เช่น การมีสติ จะกระตุ้นให้เกิดสัมปชัญญะ เป็นต้น 
 
              เป็นธาตุที่ไม่สามารถสร้างกิเลสได้เพราะ กิเลสต้องเกิดจากธาตุที่มีการปรุงแต่งได้ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เพราะ เป็นอสังขตะธาตุ ก็เหมือนคนเป็นใบ้ ปากไม่ได้ประมาณนั้น คุณสมบัติที่ผมกล่าวมานั้น มันไม่ใช้คุณสมบัติของ ตัวตน หรือบุคคล

                  ยกตัวอย่างจิต นี้ สร้างกิเลสได้ บังคับบัญชาได้ ขาดอย่างเดียวที่เป็นตนไม่ได้เพราะ การคงอยู่ของจิต เกิดขึ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง  เมื่อขาดปัจจัยปรุงแต่งจิต ก็หมดสภาพ  เหมือน คอมพิวเตอร์ ถอดไฟเลี้ยง ก็จบสิ้น  สมมุติถ้าจิต สามารถทำงานของมันได้โดยไม่ต้องมีสิ่งหล่อเลี้ยง และจิตยังเที่ยงด้วย อย่างนี้เข้าข่าย อัตตาแน่นอน

                       การเข้าใจของแต่ละกลุ่ม มีผลต่อการภาวนาแน่นอน
                       อย่าง กลุ่มจิตเดิมแท้ การภาวนาก็มุ่งขจัดกิเลส เพื่อให้จิต ปราศจากกิเลส และมุ่งไปสู่จิตเป็นอมตะ  กลุ่มนี้จะไม่ภานาให้เกิดการเบื่อหน่ายในจิต
                     ต่างจากกลุ่ม เชื่อว่า นิพพานธาตุผูกติดกับ ขันธ์ห้า อันนี้ก็จะ ภาวนาให้เกิด ญาณ ซี่งเป็นตัวรับรู้ของตัวนิพพานธาตุ มีการน้อมจิตให้เกิดวิปัสสนาญาณ เมื่อเกิดวิปัสสนาญาณ จิตก็ปล่อยวาง แยกตัวออกจากกันตัดกิเลสสังโยชน์ที่ผูกให้เป็นอิสระภาพ เรียกว่า นิโรธ นั้นเอง 

                      ผมเคยยกพระสูตรมา เกี่ยวกับพระอรหันต์ตายแล้วไปไหน ขอให้แต่ละท่าน ถอดความหมาย มีคนมาคอมเม้นท์ว่า ที่ผมถอดความหมายนั้น เป็นการตั้งธงไว้ก่อน  อันที่จริง ไม่ผิดหรอกครับ ท่านที่มาแปลก็ตั้งธงก็ได้ ดูว่า ใครมีธงน่าเชื่อกว่า

                  การโต้แย้งกันก็ดีนะผมว่า เราจะได้แง่คิดที่ต่างจากเราคิด จะได้มาพิจารณาว่าเราอาจผิดก็ได้  หรือจะเป็นการตอกย้ำว่า เราคิดถูกแล้วก็ได้  ยิ่งมีคนมาด้อยค่า ยิ่งเชื่อได้เลยว่า ความคิดเราถูกแล้ว ครับ

                      ผมไม่ได้กล่าวว่า กลุ่มไดถูกหรือผิด แล้วแต่ชอบครับ การยกพระสูตรมาก็ดีครับ แต่อยากให้ถอดความหมายที่ท่านเข้าใจมาด้วย จะดี ถ้าไม่ถอดความหมาย เจตนารมย์ของพระสูตรมาด้วย ใครจะไปรู้ว่าท่านรุ้จริงหรือเปล่า  อย่างท่านเถรวาทนี้ ตัวอย่างน่านับถือครับ

                สุดท้าย ช่วยมาคอมเม้นท์ด้วยครับ ว่าท่านอยู่กลุ่มไดครับ มีเหตุผลอย่างไร ผมไม่แย้งท่านนะจะเก็บเป็นข้อมูลที่ดีเลยครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่