เพื่อน: “เธอ!!! เราต้องไปอุดรกันแล้วล่ะ”
เรา: “ไปทำไมอ่ะ”
เพื่อน: “เราอธิษฐานจิต ถ้าเรามีโชค ได้ปัจจัย เราจะไปทำบุญที่วัดป่าหนองแซง แล้วเราก็โชคดีในงวดนี้ ไม่มากหรอก แต่ต้องไป”
เรา: “งั้นจัดไป”
วันลาคุณเพื่อนสายอธิษฐานก็เหลือน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด เลยตกลงวันเวลากันไป เดินทางด้วยรถไฟไปวันพฤหัสตอนกลางคืนอยู่อุดร 2 วัน 1 คืน กลับวันเสาร์กลางคืนนอนมาในรถไฟถึงวันอาทิตย์เช้า เข้าบ้านทำงานต่อได้เลย ก่อนไปเราเตรียมข้อมูลการเดินทาง ทั้งรถเช่า ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว สรุปคือ ไม่ต้องใช้เพราะมีคุณพี่คนอุดรที่รู้ข่าวว่าจะไป บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวพี่จัดการทุกอย่าง เป็นอันว่าเรากับเพื่อนเอาแต่ตัวไป
เราลงขอนแก่น เพราะพี่คนอุดรตอนนี้อยู่ขอนแก่น เสร็จแล้วเข้าบ้านคุณพี่อาบน้ำทำธุระเสร็จก็เดินทางเข้าอุดร ก่อนถึงอุดรก็กินก่อน มื้อแรกจัดหนักเลย ไก่ย่างเขาสวนกวาง ส้มตำ ข้าวเหนียว ลาบ ตามภาพเลยค่ะ
เราเข้าเมืองอุดรไปหากาแฟกินระหว่างทางก็ตกลงกันว่าจะไปไหน สรุปได้ที่ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เย้!!!!!! เราอยากไปมาก แต่เห็นว่ามันไกลจากตัวเมืองเลยเกรงใจเจ้าบ้าน แต่เจ้าบ้านก็ยังไม่เคยไปที่นี่ เราสองคนเลยดีใจกันมาก
เรารู้จากข่าวมาว่า อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา เราไปถึงก็ไปลงทะเบียน วันที่เราไปใกล้วันแม่เลยไม่เสียค่าเข้าชม พอไปถึงก็มีเอกสารแผนที่แจกให้ เนื่องจากเรามากับเจ้าถิ่นผู้อาวุโส เลยขึ้นรถเข้าไป ไปถึงตรงจุดสำคัญ หอนางอุสา เราเดินไปเดินมา คุยสภาพเข่ากับเจ้าถิ่น สรุปได้คือ เราจะไม่ขึ้นรถกลับ แต่จะเดินกลับ เย้!!!!!! เราอาจเดินดูได้ไม่ครบ ถ้าตามแผนที่เราก็ได้ดูประมาณ 80% สำหรับเราเรากับเพื่อนเดินได้สบาย แต่เกรงใจสภาพเข่าเจ้าบ้าน ก็เอาเท่าที่ไหว ส่วนประวัติโบราณสถานในแต่ละที่เราว่าเพื่อนๆ อ่านตามป้าย ในโบชัวร์ จะดีกว่า เราขอบอกคร่าวๆ เกี่ยวกับความสำคัญของที่นี่ดีกว่า
เส้นทางที่เราเดินไปถึง

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีชื่อ “ภูพระบาท” ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นเทือกเขาหินทราย มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ 320 – 350 เมตร เป็นป่าโปร่ง มีไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุม ที่นี่มีร่องรอยชุมชนโบราณ เป็นลานหินทรายขนาดใหญ่ทำให้ไม่สามารถขุดค้นได้ ทำให้ต้องขุดค้นทางโบราณคดีจากแหล่งขุดค้นใกล้เคียง 2 แหล่ง คือ แหล่งที่ 1 วัดบ้านหนองเป่ง พบว่า มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยในราว 3,100-3,150 ปีมาแล้ว และแหล่งที่ 2 โบราณสถานดอนศิลา มีการใช้งานกิจกรรมของมนุษย์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (สมัยหินใหม่ถึงสมัยเหล็ก) จนถึงสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง จากรายงานการขุดค้นทั้งสองแหล่ง แสดงให้เห็นว่าภูพระบาทเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่ช่วง 500 ปีก่อนพุทธกาล มีการค้นพบภาพเขียนสีอยู่มากกว่า 54 แห่ง นอกจากนี้ก็ยังพบการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมเขมร วัฒนธรรมล้านช้างและรัตนโกสินทร์ตามลำดับ ซึ่งเป็นร่อยรอยหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ก่อนจะมาที่นี่ควรรู้เรื่องนิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส” มาตั้งชื่อโบราณสถานที่ต่าง ๆ บนภูพระบาท เพื่อจะได้เข้าใจที่มาของชื่อและทราบถึงคติความเชื่อของชุมชนได้เป็นอย่างดี
อุสา – บารส เป็นเรื่องราวความรักอันไม่สมหวังระหว่างนางอุสา (ธิดาท้าวกงพาน) กับ ท้าวบารส ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าเมืองปะโคเวียงงัว เริ่มจากนางอุสาได้ทำการเสี่ยงทายหาคู่ ด้วยการทำมาลัยรูปหงส์ลอยไปตามลำน้ำ บังเอิญท้าวบารสเป็นผู้ที่เก็บได้ จึงออกตามเจ้าของมาลัยจนมาถึงเมืองพาน ทำให้ได้พบกับนางอุสา และตกหลุมรักกัน เมื่อท้าวกงพานรู้เรื่องจึงวางอุบายให้มีการแข่งขันสร้างวัดกันภายในหนึ่งวัน โดยผู้ที่แพ้การแข่งขันจะต้องตาย ฝั่งท้าวบารสเสียเปรียบเพราะมีคนน้อยกว่าจึงใช้เล่ห์กลอุบายนำโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้ เพื่อลวงให้ฝ่ายท้าวกงพานคิดว่าเป็นตอนเช้าแล้ว จึงเลิกสร้างวัดและแพ้ไปในที่สุด ทำให้ถูกตัดศีรษะ จากนั้นนางอุสาได้ไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคเวียงงัว แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งจึงหนีกลับเมืองพาน ในขณะที่ท้าวบารสไปบำเพ็ญเพียรในป่าเพียงลำพัง ต่อมาเมื่อท้าวบารสรู้เรื่องจึงได้ออกเดินทางไปตามนางอุสา ที่เมืองพาน แต่พบว่านางอุสาได้สิ้นใจเพราะความตรอมใจไปก่อนหน้านั้นแล้ว ท้าวบารสเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงตรอมใจตายตามนางอุสาไป
การเดินดูโบราณสถานในภูพระบาทไม่ลำบาก เดินได้สบายๆ มีขึ้นมีลงบ้าง แต่ทางอุทยานก็ทำทางเดินไว้อย่างดี นี่ถ้าได้รู้ตัวมาก่อนว่าจะได้มาที่นี่ ก็จะได้อ่านข้อมูลมา การเดินน่าจะสนุกกว่านี้ ส่วนที่เราชอบที่สุดคือตรงจุด “ผาเสด็จ” ลมเย็น วิวสวย อากาศดี สดชื่น แนะนำให้พกน้ำไปด้วย 1 ขวด ส่วนร่มถ้าใครไม่ได้เอาไปทางอุทยานมีบริการให้ด้วย ตรงที่ทำการอุทยานมีนิทรรศการเล็กๆ ให้เข้าไปชมกันด้วย มีของที่ระลึกราคาน่ารักจำหน่าย เราซื้อหนังสือมา 1 เล่มราคา 22 บาท กับ หมวกมา 1 ใบ ราคา 200 บาท
[CR] อุดรธานี: พุทธศาสนา ยูเนสโก และรถอีแต๊ก
เรา: “ไปทำไมอ่ะ”
เพื่อน: “เราอธิษฐานจิต ถ้าเรามีโชค ได้ปัจจัย เราจะไปทำบุญที่วัดป่าหนองแซง แล้วเราก็โชคดีในงวดนี้ ไม่มากหรอก แต่ต้องไป”
เรา: “งั้นจัดไป”
วันลาคุณเพื่อนสายอธิษฐานก็เหลือน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด เลยตกลงวันเวลากันไป เดินทางด้วยรถไฟไปวันพฤหัสตอนกลางคืนอยู่อุดร 2 วัน 1 คืน กลับวันเสาร์กลางคืนนอนมาในรถไฟถึงวันอาทิตย์เช้า เข้าบ้านทำงานต่อได้เลย ก่อนไปเราเตรียมข้อมูลการเดินทาง ทั้งรถเช่า ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว สรุปคือ ไม่ต้องใช้เพราะมีคุณพี่คนอุดรที่รู้ข่าวว่าจะไป บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวพี่จัดการทุกอย่าง เป็นอันว่าเรากับเพื่อนเอาแต่ตัวไป
เราลงขอนแก่น เพราะพี่คนอุดรตอนนี้อยู่ขอนแก่น เสร็จแล้วเข้าบ้านคุณพี่อาบน้ำทำธุระเสร็จก็เดินทางเข้าอุดร ก่อนถึงอุดรก็กินก่อน มื้อแรกจัดหนักเลย ไก่ย่างเขาสวนกวาง ส้มตำ ข้าวเหนียว ลาบ ตามภาพเลยค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้