เรื่องราวของกฤษณะมีอยู่มากมายเหลือเกินตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตกฤษณะ เคยมีผู้ใหญ่ที่น่าเคารพบอกผมเมื่อนานมาแล้วว่า
“จงใช้ชีวิตโดยดูรามเป็นตัวอย่าง และจงปฏิบัติตามคำสอนของกฤษณะ แต่อย่าริอาจทำตัวเลียนแบบกฤษณะ”
ผมก็ถามว่าทำไมทำตัวแบบกฤษณะไม่ได้ ท่านก็ยิ้มและบอกว่า กฤษณะมีเมียหลวงแปดคน เมียน้อยอีก 16100 คน เรามีกันแค่คนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว 5555 ผมได้ยินก็หัวเราะไปกับแกด้วย ยังไม่นับเรื่องที่กฤษณะยกภูเขาด้วยนิ้วก้อยนิ้วเดียวอีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ แต่รามเกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรม กตัญญูกตเวทิตา ยึดมั่นในวาจา ตรงข้ามกับกฤษณะแบบคนละขั้ว
กลับมาว่ากันเรื่องกฤษณะดีกว่าครับ กฤษณะมาเกิดเป็นอวตารที่แปดของพระนารายณ์ หรือวิษณุ สาเหตุในการอวตารแต่ละครั้งของพระนารายณ์ก็เพื่อกำจัดมารร้าย กำจัดคนชั่ว ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ยุคที่กฤษณะเกิดถูกเรียกว่า ดวาปารา (ดะวาปารา Dvapara) เป็นยุคที่คนดีและคนชั่วมีจำนวนเท่ากัน และคนชั่วมีอำนาจมากกว่า
ตามตำนานเล่าว่า เมื่อพระนารายณ์จะอวตารลงมาเศษะนาฎ ผู้เป็นอาสนะของพระนารายณ์ก็บอกพระนารายณ์ว่า ครั้งที่แล้วเขาเกิดเป็นพระลักษณ์ซึ่งเป็นน้องชายก็ไม่กล้าห้ามอะไรพี่ชาย ถ้าตอนนั้นเขาเกิดมาเป็นพี่ชายก็จะห้ามไม่ให้พระรามต้องไปอยู่ในป่า ไม่ให้เดินเท้าเปล่าในป่าต้องโดนหนาม โดนหินตำเท้า ครั้งนี้เขาขอไปเกิดเป็นพี่ชาย หากพระนารายณ์ทำอะไรแบบนั้นอีกเขาจะได้สามารถใช้ฐานะความเป็นพี่ชายห้ามได้ พระนารายณ์ก็ยิ้มและบอกว่าได้เลย เขาจะเชื่อฟังคำสั่งพี่ชาย และเศษะนาฎก็มาเกิดเป็นพลราม พี่ชายของกฤษณะ แต่ก็ห้ามอะไรกฤษณะไม่ได้อยู่ดี เอิ๊กๆๆๆ
กลับมาเล่าความเป็นมากันสักหน่อยครับ ปกติทุกครั้งที่พระนารายณ์อวตารก็เพราะมีเทพไปให้พรแปลกๆ กับเหล่าอสูร หรือมนุษย์ และพวกที่ได้พรไปก็จะไปทำเรื่องเลวร้ายจนเดือดร้อนต้องมาขอให้พระนารายณ์อวตารลงไปปราบ ครั้งนี้เองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ผู้คนต่างเดือดร้อน ความชั่วเติบใหญ่ คนดีไม่สามารถทำอะไรได้ เหล่าเทพยดาจึงรวมตัวกัน ขอให้พระนารายณ์ลงไปอวตารเพื่อชำระล้างแผ่นดิน
เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้น สงสัยเล่ากันยาวขอเริ่มต้นเรื่องของท้าวกังสะ (Kans) ก่อนแล้วกันครับ ซึ่งเป็นน้าของกฤษณะ ว่าเป็นใครมาจากไหน กังสะเป็นลูกชายของพระราชาอุครเสน (อ่านว่าอุ-คะ-ระ-เสน) และพระราชินีปัทมาวดี (ปัทมาวตี) ผู้เป็นเจ้าเมืองมธุรา (Madhura) และเป็นญาติผู้พี่ของนางเดวกี (อ่านว่าเด-วะ-กี) ซึ่งต่อมาก็เป็นมารดาของกฤษณะและพลราม
กังสะเป็นคนโหดเหี้ยม และคบหากับพวกอสูร ก็โดนเพื่อนเป่าหูให้ยึดอำนาจพ่อซะ แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์เอง เพราะไม่รู้อุครเสนจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ กังสะก็เชื่อและทำตามยึดอำนาจขึ้นครองราชย์เอง ชราสันต์เจ้าเมืองมคธ รุกรานมธุรา หมายจะยึดเป็นเมืองขึ้น แต่ก็โดนกังสะยกทัพต้านเอาไว้ และเอาชนะกองทัพของชราสันต์ได้ ชราสันต์ถูกใจในความสามารถของกังสะจึงยกลูกสาวให้กังสะ ก็ยิ่งทำให้กังสะกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าเดิม
กังสะเป็นคนที่รักน้องสาวตัวเองมาก ก็หาสามีให้น้องสาว ได้พบลูกชายเจ้าเมืองสุรเสน ชื่อว่า วาสุเทพ ก็ถูกใจเลยขอให้มาแต่งงานกับน้องสาวตัวเอง เมื่อจัดงานแต่งงานเสร็จเรียบร้อย ส่งตัวเจ้าสาวเสร็จ กังสะก็เดินทางกลับมธุรา แต่ระหว่างทางก็มีเสียงดังขึ้นมาจากท้องฟ้า ทำนายว่ากังสะจะถูกลูกชายคนที่ 8 ของเดวกีสังหาร เมื่อกังสะได้ยินก็โกรธ และหมายจะฆ่าเดวกีทิ้งเสีย แต่วาสุเทพก็ร้องขอชีวิตไว้ โดยพยายามจะเตือนสติว่ากังสะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเดวกี และยังบอกว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครเป็นอมตะ แต่อังสะก็ไม่ฟัง วาสุเทพจึงรับปากว่าจะยอมเป็นนักโทษอยู่ในมธุรานคร และจะยกลูกทุกคนให้กังสะ กังสะจึงได้ยอมไว้ชีวิตเดวกี และจับทั้งสองคนไปขังไว้ในคุกที่เมืองมธุรา

วันเวลาผ่านไปเดวกีก็ให้กำเนิดลูกชายหกคน ทุกครั้งที่คลอดลูก กังสะจะมาเอาลูกของเดวกีไป และสังหารเสียทุกคน จนกระทั่งคนที่เจ็ดเป็นเศษะนาฎลงมาจุติ พระนารายณ์ก็บรรดาลให้เศษะนาฎย้ายจากครรภ์ของเดวกีไปอยู่ในครรค์ของโรฮินี ซึ่งเป็นเมียน้อยของวาสุเทพ และอยู่ที่เมืองสุรเสน จากนั้นเดวกีก็ท้องลูกคนที่แปด ด้วยความหวาดกลัวว่าลูกจะโดนฆ่าอีกจึงภาวนาให้เทพยดาช่วย แต่ก็ไม่ได้จำเป็นนะจริงๆ แล้ว เพราะพระนารายณ์ก็เป็นเทพอยู่แล้ว
เมื่อกฤษณะคลอดออกมา ก็มีสีผิวคมเข้ม เดวกีจึงตั้งชื่อให้ว่ากฤษณะซึ่งแปลว่าสีดำ และเมื่อคลอดออกมาแล้วก็เกิดปาฏิหาริยเหล่าทหารยาม ผู้คนในวังและชาวบ้านต่างก็สลบกันหมด ประตูห้องขัง ประตูทุกๆ บานที่เป็นหนทางสู่ภายนอก จู่ๆ ก็เปิดออกหมด วาสุเทพเห็นเช่นนั้นก็ตัดสินใจอุ้มทารกน้อยกฤษณะและหนีออกไปจากวัง ฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว แม่น้ำไหลเชี่ยว วาสุเทพนำทารกน้อยใส่ในตะกร้าทูนหัวเอาไว้และเดินลงแม่น้ำ พญานาคมาแผ่แม่เบี้ยกันฝนให้ทารกน้อย

วาสุเทพเดินทางมาถึงเมืองโคกุล (Gokul) ก็เอากฤษณะไปฝากไว้กับนันทะซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของตนเอง และยโสมตี (อ่านว่า ยะ-โส-มะ-ตี Yashomati) ซึ่งต่อมาก็รับพลรามมาอยู่ด้วย เมื่อฝากลูกชายไว้กับนันทะ และยโสมตีแล้ว ก็เดินทางกลับมธุรา พร้อมกับเอาเด็กผู้หญิงกลับมาแทน พอกลับมาถึงประตูทุกบานที่เปิดอยู่ก็กลับปิดลง เหล่าผู้คนที่หลับไหลก็ฟื้นตื่นขึ้นมา กังสะเมื่อฟื้นได้สติก็รีบวิ่งมาดูทารกน้อยที่เกิดใหม่ ก็เห็นว่าเป็นทารกเพศหญิง เดวกีก็ยื่นเด็กผู้หญิงให้ และคิดว่ากังสะคงไม่ฆ่า เพราะตามคำทำนายต้องเป็นเด็กผู้ชาย กังสะเห็นก็หัวเราะและบอกว่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วเขาจะไม่ฆ่าหรือไง พูดจบก็ฟาดเด็กน้อยใส่ก้อนหิน แต่ทารกน้อยก็หลุดมือกลายร่างเป็นเทพธิดาและต่อว่ากังสะ พร้อมทั้งบอกว่าพระนารายณ์ได้อวตารลงมาแล้ว และกังสะจะต้องถูกอวตารของพระนารายณ์สังหาร พูดจบก็ลอยขึ้นฟ้าไป

ก็ของจบไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ พระกฤษณะก็เกิดออกมาเรียบร้อย ไปอยู่กับยโสมตี และนันทะ พลรามก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันกับน้องชายตัวเองในเวลาต่อมา ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็ไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ ขอบคุณสำหรับนักอ่าน อยากให้คอมเมนท์กันเยอะๆ นะครับ จะได้ปรับปรุงแก้ไข หากไม่ถูกใจ สะดวกก็ฝากแชร์นะครับ ขอบคุณครับ
เล่าเรื่องมหาภารตะในแบบของผม ว่าด้วยเรื่องกฤษณะ ตอนที่1
กลับมาว่ากันเรื่องกฤษณะดีกว่าครับ กฤษณะมาเกิดเป็นอวตารที่แปดของพระนารายณ์ หรือวิษณุ สาเหตุในการอวตารแต่ละครั้งของพระนารายณ์ก็เพื่อกำจัดมารร้าย กำจัดคนชั่ว ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ยุคที่กฤษณะเกิดถูกเรียกว่า ดวาปารา (ดะวาปารา Dvapara) เป็นยุคที่คนดีและคนชั่วมีจำนวนเท่ากัน และคนชั่วมีอำนาจมากกว่า
กังสะเป็นคนโหดเหี้ยม และคบหากับพวกอสูร ก็โดนเพื่อนเป่าหูให้ยึดอำนาจพ่อซะ แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์เอง เพราะไม่รู้อุครเสนจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ กังสะก็เชื่อและทำตามยึดอำนาจขึ้นครองราชย์เอง ชราสันต์เจ้าเมืองมคธ รุกรานมธุรา หมายจะยึดเป็นเมืองขึ้น แต่ก็โดนกังสะยกทัพต้านเอาไว้ และเอาชนะกองทัพของชราสันต์ได้ ชราสันต์ถูกใจในความสามารถของกังสะจึงยกลูกสาวให้กังสะ ก็ยิ่งทำให้กังสะกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าเดิม
กังสะเป็นคนที่รักน้องสาวตัวเองมาก ก็หาสามีให้น้องสาว ได้พบลูกชายเจ้าเมืองสุรเสน ชื่อว่า วาสุเทพ ก็ถูกใจเลยขอให้มาแต่งงานกับน้องสาวตัวเอง เมื่อจัดงานแต่งงานเสร็จเรียบร้อย ส่งตัวเจ้าสาวเสร็จ กังสะก็เดินทางกลับมธุรา แต่ระหว่างทางก็มีเสียงดังขึ้นมาจากท้องฟ้า ทำนายว่ากังสะจะถูกลูกชายคนที่ 8 ของเดวกีสังหาร เมื่อกังสะได้ยินก็โกรธ และหมายจะฆ่าเดวกีทิ้งเสีย แต่วาสุเทพก็ร้องขอชีวิตไว้ โดยพยายามจะเตือนสติว่ากังสะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเดวกี และยังบอกว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครเป็นอมตะ แต่อังสะก็ไม่ฟัง วาสุเทพจึงรับปากว่าจะยอมเป็นนักโทษอยู่ในมธุรานคร และจะยกลูกทุกคนให้กังสะ กังสะจึงได้ยอมไว้ชีวิตเดวกี และจับทั้งสองคนไปขังไว้ในคุกที่เมืองมธุรา
เมื่อกฤษณะคลอดออกมา ก็มีสีผิวคมเข้ม เดวกีจึงตั้งชื่อให้ว่ากฤษณะซึ่งแปลว่าสีดำ และเมื่อคลอดออกมาแล้วก็เกิดปาฏิหาริยเหล่าทหารยาม ผู้คนในวังและชาวบ้านต่างก็สลบกันหมด ประตูห้องขัง ประตูทุกๆ บานที่เป็นหนทางสู่ภายนอก จู่ๆ ก็เปิดออกหมด วาสุเทพเห็นเช่นนั้นก็ตัดสินใจอุ้มทารกน้อยกฤษณะและหนีออกไปจากวัง ฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว แม่น้ำไหลเชี่ยว วาสุเทพนำทารกน้อยใส่ในตะกร้าทูนหัวเอาไว้และเดินลงแม่น้ำ พญานาคมาแผ่แม่เบี้ยกันฝนให้ทารกน้อย