ใบเตย พืชพรรณที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจด้วยกลิ่นหอมละมุนละไม ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในสังคมไทย ตั้งแต่การปรุงแต่งอาหารให้มีรสชาติกลมกล่อมไปจนถึงการนำมาใช้ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นหอมของใบเตยเปรียบเสมือนเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี และยังคงอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน แต่ทราบหรือไม่ว่าใบเตยที่นำมาทำขนม กับใบเตยที่นำไปไหว้พระนั้นมีความแตกต่างกัน
มารู้จักกับพืชชนิดนี้กัน
ใบเตย หรือเรียกว่า เป็นสมุนไพรไทยที่มาแต่โบราณ เป็นไม้ยืนต้น มีทรงพุ่มขนาดเล็กขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน มีข้อสั้นๆโผล่จากดินเล็กน้อย จะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบๆ มีสีเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเวียนจนถึงปลายยอด มีลักษณะยาวรี ใบเป็นทางยาว มีเส้นกลางชัด ขอบใบเรียบ ใบแข็งเรียบเป็นมัน มีสีเขียว มีกลิ่นหอม ใช้ทำเครื่องดื่มต่างๆ และนำมาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น เพิ่มสีอาหารเมนูต่างๆ ได้หลายเมนู ในประเทศไทยมีปลูกหลายสายพันธุ์
ใบเตยที่เราเห็นทั่วไปนั้น แม้จะดูเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมี 2 ชนิดหลักๆ ที่เราใช้กันอยู่ นั่นคือ ใบเตยหอม ที่ใช้ทำขนม และ ใบเตยหนู ที่นิยมนำมาใช้จัดแจกันดอกไม้หรือไหว้พระ
"ใบเตยทำขนม" กับ "ใบเตยไหว้พระ" ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ใบเตยที่เราเห็นทั่วไปนั้น มีหลากหลายสายพันธุ์ และแต่ละชนิดก็เหมาะกับการนำไปใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะใบเตยที่เราใช้ทำขนม และใบเตยที่นิยมนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนานั้น เป็นคนละชนิดกัน
ใบเตยหอม: เป็นใบเตยที่นิยมนำมาใช้ทำขนมและเครื่องดื่มต่างๆ มีลักษณะใบเรียวบาง สีเขียวอ่อน และเมื่อขยี้ใบจะได้กลิ่นหอมชื่นใจ เหมาะสำหรับใช้ปรุงแต่งอาหารให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
-ลักษณะ: ใบจะมีสีอ่อน ใบเรียว เมื่อขยี้ใบดูแล้วจะมีกลิ่นหอมชัดเจน ปลายใบเตยหอมจะมีฟันเลื่อย
-สี: ใบเตยหอมจะมีสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ดูสดใส
-ขนาด: ขนาดของใบเตยหอมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อมที่ปลูก แต่โดยทั่วไปจะมีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร
-กลิ่น: ลักษณะเด่นที่สุดของใบเตยหอมคือกลิ่นหอมเฉพาะตัว เมื่อนำใบมาขยี้หรือฉีกจะได้กลิ่นหอมชื่นใจ
-การใช้งาน: เหมาะสำหรับนำมาทำขนมต่างๆ เช่น ขนมชั้น ขนมตาล น้ำใบเตย เพราะจะช่วยให้ขนมมีกลิ่นหอมชื่นใจ และมีสีเขียวสวยงาม
-รสชาติ: เมื่อนำไปต้มจะให้น้ำที่มีรสหวานหอมอ่อนๆ
ประโยชน์ของเตยหอม
-ใบสดนำไปปั่นให้ละเอียดแล้วคั้นแยกน้ำนำมาผสมเพื่อทำเป็นขนมหวานเช่นขนมเปียกปูนสังขยาใบเตยวุ้นใบเตย
-ใบสดประมาณ 10 ใบนำไปต้มในน้ำเดือด เพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลก็จะได้น้ำใบเตยมาดื่มให้ชื่นใจ
-ใบเตยสดนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปตากแห้ง เพื่อนำมาชงเป็นชาใบเตย
-นำใบเตยสดไปห่อขนมหวานเช่นตะโก้
-นำใบเตยมัดรวมกันวางไว้ในห้องเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
-ใบเตยสดนำมาจัดรวมกับดอกไม้อื่นๆ ใช้สำหรับไหว้พระ
ใบเตยหนู: เป็นใบเตยที่นิยมนำมาใช้ในการจัดดอกไม้ไหว้พระ มีลักษณะใบเล็กกว่าใบเตยหอม สีเขียวเข้ม และเมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นค่อนข้างอ่อน หรือบางชนิดอาจมีกลิ่นเหม็นเขียวเล็กน้อย ไม่เหมาะนำมาใช้ทำอาหาร
-ลักษณะ: ใบจะมีสีเข้ม ใบจะมีขนาดเล็กกว่าลำต้นสั้น ขยี้แล้วกลิ่นจะไม่หอมมาก ออกจะเหม็นเขียวเล็กน้อย
-สี: ใบเตยหนูจะมีสีเขียวเข้มกว่าใบเตยหอม และใบจะมีเส้นใบชัดเจนกว่า
-กลิ่น: เมื่อนำใบเตยหนูมาขยี้ จะมีกลิ่นเหม็นเขียว ไม่หอมเหมือนใบเตยหอม
-ความแข็งแรง: ใบเตยหนูจะมีความแข็งแรงทนทานกว่าใบเตยหอม จึงเหมาะสำหรับการนำไปจัดแจกันหรือใช้ในงานประดิษฐ์
-การใช้งาน: นิยมนำมาใช้จัดแจกันดอกไม้ หรือมัดกำรวมกับดอกไม้ไหว้พระ เพราะใบเตยหนูมีความเชื่อว่าเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณทางยา และมีความเชื่อทางศาสนาว่าเป็นพืชที่มีความศักดิ์สิทธิ์
-รสชาติ: ไม่นิยมนำมาประกอบอาหาร เนื่องจากมีกลิ่นเหม็นเขียว ไม่น่ารับประทาน
ความแตกต่างของเตยทั้ง 2 ชนิด!
- “ใบเตย” สำหรับทำขนม เป็นเตยต้นตัวเมีย หรือที่เราเรียกคุ้นหูว่า “เตยหอม” ลักษณะ ใบจะมีสีอ่อน หากยังไม่แน่ใจให้ลองขยี้ใบดูจะมีกลิ่นที่หอมมาก
-ส่วน “ใบเตย” สำหรับใช้จัดแจกันดอกไม้ หรือมัดกำรวมกับดอกไม้ไหว้พระ เรียกว่า “เตยหนู” ลักษณะใบจะมีสีเข้ม ใบจะมีขนาดเล็กกว่า ลำต้นสั้น ขยี้แล้วกลิ่นจะไม่หอมมากออกจะเหม็นเขียว แอดเชื่อว่าหลายๆคน คงต้องใช้ผิดประเภทกันบ้าง
เลือกใช้ใบเตยให้เหมาะ
-ใบเตยที่จะใช้ทำขนม หรือ ทำน้ำใบเตยนั้น ต้องใช้ให้ถูกประเภท นั่นก็คือต้องเลือกใช้ “เตยหอม” เท่านั้น เพราะไม่อย่างงั้น กลิ่นและรสของขนมและน้ำใบเตยที่ทำก็จะเหม็นเขียวได้และกลิ่นไม่หอมเท่าที่ควร…
-การจัดดอกไม้ไหว้พระก็สามารถที่จะนำเตยหอมมาใช้ได้เช่นกัน นอกจากจะได้สีเขียวสบายตายังทำให้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบเตยอีกด้วย
ทำไมต้องเลือกใช้ใบเตยให้ถูกชนิด
-กลิ่นและรสชาติ: ใบเตยหอมจะให้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และช่วยชูรสชาติของอาหารได้เป็นอย่างดี หากนำใบเตยหนูมาใช้ทำขนม อาจทำให้ได้กลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนไป ไม่น่ารับประทาน
-สีสัน: ใบเตยหอมจะให้สีเขียวที่สวยงามเมื่อนำไปต้มน้ำ ทำให้ขนมหรือเครื่องดื่มมีสีสันน่าทานมากยิ่งขึ้น
สรุป
ใบเตยหอม: เน้นกลิ่นหอม ใช้ทำอาหาร
ใบเตยหนู: เน้นความเชื่อทางศาสนา ใช้ประดับตกแต่ง
วิธีสังเกตความแตกต่างเบื้องต้น
สี: ใบเตยหอมจะมีสีอ่อนกว่าใบเตยหนู
กลิ่น: ใบเตยหอมจะมีกลิ่นหอมชัดเจน เมื่อขยี้ใบดู
ขนาด: ใบเตยหอมใบจะเรียวยาวกว่าใบเตยหนู
คุณค่าทางโภชนาการของใบเตย
จากการวิเคราะห์พบว่า ในใบเตย 100 กรัม ประกอบด้วย
-พลังงาน: 35 กิโลแคลอรี
-โปรตีน: 1.9 กรัม
-คาร์โบไฮเดรต: 4.9 กรัม
-ใยอาหาร: 5.2 กรัม
-วิตามินและแร่ธาตุ: อุดมไปด้วยแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, เบต้าแคโรทีน, วิตามินเอ, วิตามินบีรวม และวิตามินซี ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
สรรพคุณทางยา
นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ใบเตยยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น
-ช่วยระบบย่อยอาหาร: แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
-ลดความร้อนใน: แก้กระหายน้ำ แก้อ่อนเพลีย
-บำรุงหัวใจ: ช่วยให้หัวใจแข็งแรง
-ต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
-ต้านการอักเสบ: ลดอาการอักเสบในร่างกาย
-ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
-ลดความดันโลหิต: ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ
8 คุณประโยชน์จากต้นเตย หรือใบเตย
1. ช่วยบำรุงสมอง ประสาท ทำให้สดชื่น และแก้อาการอ่อนเพลีย
นำใบเตยสดมาต้ม ดื่มวันละ 2 เวลา เช้าและกลางวัน แนะนำว่าควรดื่มน้ำใบเตยเย็นๆ และไม่ควรใส่น้ำตาลมากเกินไป
2. ช่วยบำรุงหัวใจ และลดความดันโลหิต
เตยหอมเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพราะมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ ด้วยการนำใบสดมาต้มน้ำ ดื่มวันละ 2 เวลา เช้าและเย็น
3. ช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวาน
นำต้นและรากปริมาณ 1 กำมือมาต้มน้ำ ดื่มทุกวัน วันละ 2 เวลาเช้าและเย็น ช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวานได้
4. ช่วยรักษาโรคหัด
นำใบเตยสดมาตำให้พอหยาบ นำมาพอกผิวหนังในส่วนที่เป็นโรคหัดและโรคผิวหนังอื่นๆ จะช่วยล้างพิษ เชื้อโรค และไวรัสที่อยู่บนผิวหนังได้
5. ช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อ
นำใบเตยสด 3 ใบ มาล้างให้สะอาด สับให้ละเอียดแล้วนำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว คนให้เข้ากัน แล้วเทเก็บลงในขวด หรือภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด นำมาทาบริเวณข้อที่ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
6. ช่วยรักษารังแคบนหนังศีรษะ
นำใบเตยสดจำนวน 2 – 5 ใบ มาบดให้ละเอียดจนมีลักษณะคล้ายผงแป้งแล้วนำมานวดศีรษะเป็นประจำ จะช่วยลดรังแคบนหนังศีรษะได้
7. ย้อมผมดำ
ถึงจะนิยมนำใบเตยไปผสมอาหารให้เป็นสีเขียว แต่เราสามารถนำใบเตยมาย้อมผมให้ดำเงางามได้ โดยใช้ใบสดจำนวนหนึ่งมาต้มจนเป็นสีเขียวเข้ม จากนั้นนำมาผสมกับน้ำลูกยอต้มแล้วนำมาหมักผมก็จะช่วยให้ผมกลับมาดำเงางามได้
8. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
ใบเตยมีสารทางยาที่ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ จึงสามารถนำใบสดมาปั่นและพอกผิวเพื่อบำรุงผิวให้สดใสได้เช่นเดียวกัน
เตย หรือเตยหอม จัดเป็นสมุนไพรที่มากด้วยประโยชน์ หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด หรือหากจะปลูกไว้เองที่บ้านก็ดีไม่น้อย แถมยังเป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก ปลูกครั้งเดียวก็ใช้ได้นาน
มี่มา
https://www.sanook.com/women/252037/
https://cheewajit.com/healthy-food/diy-tips/123105.html
"ใบเตยทำขนม" กับ "ใบเตยไหว้พระ" ต่างกันอย่างไร
มารู้จักกับพืชชนิดนี้กัน
ใบเตย หรือเรียกว่า เป็นสมุนไพรไทยที่มาแต่โบราณ เป็นไม้ยืนต้น มีทรงพุ่มขนาดเล็กขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน มีข้อสั้นๆโผล่จากดินเล็กน้อย จะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบๆ มีสีเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเวียนจนถึงปลายยอด มีลักษณะยาวรี ใบเป็นทางยาว มีเส้นกลางชัด ขอบใบเรียบ ใบแข็งเรียบเป็นมัน มีสีเขียว มีกลิ่นหอม ใช้ทำเครื่องดื่มต่างๆ และนำมาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น เพิ่มสีอาหารเมนูต่างๆ ได้หลายเมนู ในประเทศไทยมีปลูกหลายสายพันธุ์
ใบเตยที่เราเห็นทั่วไปนั้น แม้จะดูเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมี 2 ชนิดหลักๆ ที่เราใช้กันอยู่ นั่นคือ ใบเตยหอม ที่ใช้ทำขนม และ ใบเตยหนู ที่นิยมนำมาใช้จัดแจกันดอกไม้หรือไหว้พระ
"ใบเตยทำขนม" กับ "ใบเตยไหว้พระ" ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ใบเตยที่เราเห็นทั่วไปนั้น มีหลากหลายสายพันธุ์ และแต่ละชนิดก็เหมาะกับการนำไปใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะใบเตยที่เราใช้ทำขนม และใบเตยที่นิยมนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนานั้น เป็นคนละชนิดกัน
ใบเตยหอม: เป็นใบเตยที่นิยมนำมาใช้ทำขนมและเครื่องดื่มต่างๆ มีลักษณะใบเรียวบาง สีเขียวอ่อน และเมื่อขยี้ใบจะได้กลิ่นหอมชื่นใจ เหมาะสำหรับใช้ปรุงแต่งอาหารให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
-ลักษณะ: ใบจะมีสีอ่อน ใบเรียว เมื่อขยี้ใบดูแล้วจะมีกลิ่นหอมชัดเจน ปลายใบเตยหอมจะมีฟันเลื่อย
-สี: ใบเตยหอมจะมีสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ดูสดใส
-ขนาด: ขนาดของใบเตยหอมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อมที่ปลูก แต่โดยทั่วไปจะมีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร
-กลิ่น: ลักษณะเด่นที่สุดของใบเตยหอมคือกลิ่นหอมเฉพาะตัว เมื่อนำใบมาขยี้หรือฉีกจะได้กลิ่นหอมชื่นใจ
-การใช้งาน: เหมาะสำหรับนำมาทำขนมต่างๆ เช่น ขนมชั้น ขนมตาล น้ำใบเตย เพราะจะช่วยให้ขนมมีกลิ่นหอมชื่นใจ และมีสีเขียวสวยงาม
-รสชาติ: เมื่อนำไปต้มจะให้น้ำที่มีรสหวานหอมอ่อนๆ
ประโยชน์ของเตยหอม
-ใบสดนำไปปั่นให้ละเอียดแล้วคั้นแยกน้ำนำมาผสมเพื่อทำเป็นขนมหวานเช่นขนมเปียกปูนสังขยาใบเตยวุ้นใบเตย
-ใบสดประมาณ 10 ใบนำไปต้มในน้ำเดือด เพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลก็จะได้น้ำใบเตยมาดื่มให้ชื่นใจ
-ใบเตยสดนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปตากแห้ง เพื่อนำมาชงเป็นชาใบเตย
-นำใบเตยสดไปห่อขนมหวานเช่นตะโก้
-นำใบเตยมัดรวมกันวางไว้ในห้องเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
-ใบเตยสดนำมาจัดรวมกับดอกไม้อื่นๆ ใช้สำหรับไหว้พระ
ใบเตยหนู: เป็นใบเตยที่นิยมนำมาใช้ในการจัดดอกไม้ไหว้พระ มีลักษณะใบเล็กกว่าใบเตยหอม สีเขียวเข้ม และเมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นค่อนข้างอ่อน หรือบางชนิดอาจมีกลิ่นเหม็นเขียวเล็กน้อย ไม่เหมาะนำมาใช้ทำอาหาร
-ลักษณะ: ใบจะมีสีเข้ม ใบจะมีขนาดเล็กกว่าลำต้นสั้น ขยี้แล้วกลิ่นจะไม่หอมมาก ออกจะเหม็นเขียวเล็กน้อย
-สี: ใบเตยหนูจะมีสีเขียวเข้มกว่าใบเตยหอม และใบจะมีเส้นใบชัดเจนกว่า
-กลิ่น: เมื่อนำใบเตยหนูมาขยี้ จะมีกลิ่นเหม็นเขียว ไม่หอมเหมือนใบเตยหอม
-ความแข็งแรง: ใบเตยหนูจะมีความแข็งแรงทนทานกว่าใบเตยหอม จึงเหมาะสำหรับการนำไปจัดแจกันหรือใช้ในงานประดิษฐ์
-การใช้งาน: นิยมนำมาใช้จัดแจกันดอกไม้ หรือมัดกำรวมกับดอกไม้ไหว้พระ เพราะใบเตยหนูมีความเชื่อว่าเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณทางยา และมีความเชื่อทางศาสนาว่าเป็นพืชที่มีความศักดิ์สิทธิ์
-รสชาติ: ไม่นิยมนำมาประกอบอาหาร เนื่องจากมีกลิ่นเหม็นเขียว ไม่น่ารับประทาน
ความแตกต่างของเตยทั้ง 2 ชนิด!
- “ใบเตย” สำหรับทำขนม เป็นเตยต้นตัวเมีย หรือที่เราเรียกคุ้นหูว่า “เตยหอม” ลักษณะ ใบจะมีสีอ่อน หากยังไม่แน่ใจให้ลองขยี้ใบดูจะมีกลิ่นที่หอมมาก
-ส่วน “ใบเตย” สำหรับใช้จัดแจกันดอกไม้ หรือมัดกำรวมกับดอกไม้ไหว้พระ เรียกว่า “เตยหนู” ลักษณะใบจะมีสีเข้ม ใบจะมีขนาดเล็กกว่า ลำต้นสั้น ขยี้แล้วกลิ่นจะไม่หอมมากออกจะเหม็นเขียว แอดเชื่อว่าหลายๆคน คงต้องใช้ผิดประเภทกันบ้าง
เลือกใช้ใบเตยให้เหมาะ
-ใบเตยที่จะใช้ทำขนม หรือ ทำน้ำใบเตยนั้น ต้องใช้ให้ถูกประเภท นั่นก็คือต้องเลือกใช้ “เตยหอม” เท่านั้น เพราะไม่อย่างงั้น กลิ่นและรสของขนมและน้ำใบเตยที่ทำก็จะเหม็นเขียวได้และกลิ่นไม่หอมเท่าที่ควร…
-การจัดดอกไม้ไหว้พระก็สามารถที่จะนำเตยหอมมาใช้ได้เช่นกัน นอกจากจะได้สีเขียวสบายตายังทำให้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบเตยอีกด้วย
ทำไมต้องเลือกใช้ใบเตยให้ถูกชนิด
-กลิ่นและรสชาติ: ใบเตยหอมจะให้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และช่วยชูรสชาติของอาหารได้เป็นอย่างดี หากนำใบเตยหนูมาใช้ทำขนม อาจทำให้ได้กลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนไป ไม่น่ารับประทาน
-สีสัน: ใบเตยหอมจะให้สีเขียวที่สวยงามเมื่อนำไปต้มน้ำ ทำให้ขนมหรือเครื่องดื่มมีสีสันน่าทานมากยิ่งขึ้น
สรุป
ใบเตยหอม: เน้นกลิ่นหอม ใช้ทำอาหาร
ใบเตยหนู: เน้นความเชื่อทางศาสนา ใช้ประดับตกแต่ง
วิธีสังเกตความแตกต่างเบื้องต้น
สี: ใบเตยหอมจะมีสีอ่อนกว่าใบเตยหนู
กลิ่น: ใบเตยหอมจะมีกลิ่นหอมชัดเจน เมื่อขยี้ใบดู
ขนาด: ใบเตยหอมใบจะเรียวยาวกว่าใบเตยหนู
คุณค่าทางโภชนาการของใบเตย
จากการวิเคราะห์พบว่า ในใบเตย 100 กรัม ประกอบด้วย
-พลังงาน: 35 กิโลแคลอรี
-โปรตีน: 1.9 กรัม
-คาร์โบไฮเดรต: 4.9 กรัม
-ใยอาหาร: 5.2 กรัม
-วิตามินและแร่ธาตุ: อุดมไปด้วยแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, เบต้าแคโรทีน, วิตามินเอ, วิตามินบีรวม และวิตามินซี ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
สรรพคุณทางยา
นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ใบเตยยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น
-ช่วยระบบย่อยอาหาร: แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
-ลดความร้อนใน: แก้กระหายน้ำ แก้อ่อนเพลีย
-บำรุงหัวใจ: ช่วยให้หัวใจแข็งแรง
-ต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
-ต้านการอักเสบ: ลดอาการอักเสบในร่างกาย
-ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
-ลดความดันโลหิต: ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ
8 คุณประโยชน์จากต้นเตย หรือใบเตย
1. ช่วยบำรุงสมอง ประสาท ทำให้สดชื่น และแก้อาการอ่อนเพลีย
นำใบเตยสดมาต้ม ดื่มวันละ 2 เวลา เช้าและกลางวัน แนะนำว่าควรดื่มน้ำใบเตยเย็นๆ และไม่ควรใส่น้ำตาลมากเกินไป
2. ช่วยบำรุงหัวใจ และลดความดันโลหิต
เตยหอมเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพราะมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ ด้วยการนำใบสดมาต้มน้ำ ดื่มวันละ 2 เวลา เช้าและเย็น
3. ช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวาน
นำต้นและรากปริมาณ 1 กำมือมาต้มน้ำ ดื่มทุกวัน วันละ 2 เวลาเช้าและเย็น ช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวานได้
4. ช่วยรักษาโรคหัด
นำใบเตยสดมาตำให้พอหยาบ นำมาพอกผิวหนังในส่วนที่เป็นโรคหัดและโรคผิวหนังอื่นๆ จะช่วยล้างพิษ เชื้อโรค และไวรัสที่อยู่บนผิวหนังได้
5. ช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อ
นำใบเตยสด 3 ใบ มาล้างให้สะอาด สับให้ละเอียดแล้วนำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว คนให้เข้ากัน แล้วเทเก็บลงในขวด หรือภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด นำมาทาบริเวณข้อที่ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
6. ช่วยรักษารังแคบนหนังศีรษะ
นำใบเตยสดจำนวน 2 – 5 ใบ มาบดให้ละเอียดจนมีลักษณะคล้ายผงแป้งแล้วนำมานวดศีรษะเป็นประจำ จะช่วยลดรังแคบนหนังศีรษะได้
7. ย้อมผมดำ
ถึงจะนิยมนำใบเตยไปผสมอาหารให้เป็นสีเขียว แต่เราสามารถนำใบเตยมาย้อมผมให้ดำเงางามได้ โดยใช้ใบสดจำนวนหนึ่งมาต้มจนเป็นสีเขียวเข้ม จากนั้นนำมาผสมกับน้ำลูกยอต้มแล้วนำมาหมักผมก็จะช่วยให้ผมกลับมาดำเงางามได้
8. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
ใบเตยมีสารทางยาที่ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ จึงสามารถนำใบสดมาปั่นและพอกผิวเพื่อบำรุงผิวให้สดใสได้เช่นเดียวกัน
เตย หรือเตยหอม จัดเป็นสมุนไพรที่มากด้วยประโยชน์ หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด หรือหากจะปลูกไว้เองที่บ้านก็ดีไม่น้อย แถมยังเป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก ปลูกครั้งเดียวก็ใช้ได้นาน
มี่มา
https://www.sanook.com/women/252037/
https://cheewajit.com/healthy-food/diy-tips/123105.html