นางลอย

"เอ้ย ... นก ... ไปหาไรกินที่ศาลาป้าวันกัน"

   ตั้งแต่จำความได้ ก็พบว่าผมอยู่ข้างวัดแห่งหนึ่งชานเมืองหลวง ...

   วัดบางนาในอยู่ริมคลองบางนาที่ยาวประมาณ 2 กม. จากหลังวัดไปจนถึงปากคลองด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยา ... ถ้ามี ใน ก็ต้องมี นอก วัดบางนานอก คือ วัดคู่กันที่อยู่ปากคลอง

   เนื่องจากคนสมัยนั้นเดินทางด้วยแม่น้ำ จึงใช้จุดอ้างอิง คือ แม่น้ำ ถ้าอยู่ตรงแม่น้ำ วัดที่อยู่ไกลออกไป คือ "ใน" วัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำ คือ "นอก"

   แก๊งค์ทะโมนผมมี 3 คน มีไอ้เป็ด กับ ไอ้ชาติ แล้วก็ ผมไอ้นก แต่เราเรียกกันเองด้วยความคะนองปากว่า ไอ้xเป็ด ไอ้ชาติx และ ไอ้xนก ...

   ผมใช้ชีวิตข้างวัดกับไอ้เป็ดกับไอ้ชาติตั้งแต่จำความได้จน ป.5 ก็ราวๆ 10 ขวบ ... พวกเราเป็นเด็กข้างวัด ซึ่งเด็กข้างวัดจะต่างกับเด็กวัดเล็กน้อย

   เด็กวัดเป็นเด็กชาวบ้านที่ผู้ปกครองรู้จักกับพระเอาลูกหลานมาฝากอยู่วัดเพื่อเรียนต่อในโรงเรียนที่ดีกว่าในระเแวกวัด พูดง่ายๆคืออาศัยวัดเป็นบ้านนั่นแหละ ค่าเช่านอนวัดก็เป็นถวายปัจจัยบ้างเล็กๆน้อยๆ ช่วยค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารก้นบาตร วัดเองก็ได้เด็กวัดช่วยเหลืองานวัดต่างๆ เป็นการอยู่กันแบบเอื้ออาทร พึ่งพากันแบบไทยๆ

   ส่วยเด็กข้างวัดอย่างพวกเรานั้น ไม่ได้กินนอนในวัด ก็เป็นเด็กๆที่อยู่ระแวกรอบๆวัด วิ่งเล่นเข้าออกประหนึ่งเด็กวัด แต่คนแถววัดจะรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กข้างวัด คนไหนเป็นเด็กข้างวัด

   สมัยนั้นเด็กวัดจะ "มีระดับ" กว่าเด็กข้างวัด คือ มีการศึกษา มีพระมีชีดูแลอบรมสั่งสอน ส่วนเด็กข้างวัดก็แล้วแต่ความใส่ใจและพื้นฐานครอบครัว

   ป้าวันที่เราชอบไปป้วนเปี้ยนด้วยนั้น จริงๆแล้วแกเป็นแม่ชี คนอื่นเรียกแม่ชีวัน พวกเราเห็นว่ามันยาวไป เลยเรียกแค่ป้าวันก็พอ ส่วนป้าวันแกเรียกพวกเราว่าไอ้พวกลูกลิง เพราะเราปีนทุกอย่างในวัดที่เราปีนได้ รูปปั้นช้างชูงวงถวายดอกไม้ รูปปั้นลิงถวายรวงผึ้ง แม้กระทั่งพญานาคแผ่พังพานที่จำไม่ได้ว่ากี่หัว เราก็ปีนและลูบหัวเล่นกันมาแล้วทุกหัว ถ้าจะมีที่ที่พวกเรายังหาวิธีปีนไม่ได้ก็หลังคาอุโบสถนี่แหละ

   ตั้งแต่พระเถรเณรชีสมีทิดไปยันเจ้าอาวาส ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเรา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจหรือไม่

   ป้าวันดูแลทุกอย่างในวัด โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินของพระของเณร ที่เรามักชอบไปแอบกินกัน แกต้องคอยถือไม้เรียวไล่ตีเหมือนไล่หมาไล่แมวที่จะมาขโมยกินของแก เราก็วิ่งเอาเถิดเจ้าล่อวนไปวนมา เดี๋ยวแกก็เป็นลม เหนื่อยหยุดไล่ไปเอง ถ้าเข้าตาจน เราก็วิ่งไปหลบหลังเกาะจีวรหลวงพ่อ เหมือนจะเป็นสำนวนเกาะชายผ้าเหลืองที่ไม่ค่อยตรงความหมายเท่าไร

   ในวัดมีงานก่อสร้างซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา สร้างไม่เสร็จเสียทีเพราะสร้างตามปัจจัยที่วัดมี ปัจจัยหมดก็หยุดสร้าง กองอิฐหินดินทรายเหล็กไม้ถุงปูนหลังวัดจึงเป็นสวนสนุกของพวกเรา พอซนมากๆเข้าหลวงพ่อก็ไล่ให้ไปช่วยน้าป๋องสารพัดช่างของวัด งานปู งานไม้ งานเหล็ก งานท่อ งานไฟ แกได้หมด ส่วนจะได้ดีไม่ดีนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

   เด็ก 10 ขวบ อย่างเราสามคนช่วยอะไรได้ไม่มาก นอกจากช่วยส่งเครื่องมือต่างๆ นั่นทำให้ผมรู้ว่า ไอ้นั่นเรียกคีมปากนกแก้วใช้ตัดลวด ไอ้โน้นคีมคอม้าใช้จับท่อประปา ไอ้นี่ประแจปากตาย ประแจเหวน ประแจล๊อก ประแจเลื่อน และ อีกสารพัดคีมประแจ รู้จักวิธีใส่ใบเลื่อยเหล็ก รู้ว่างานไหนต้องใช้อะไร จนบางทีเรารู้ล่วงหน้าเราก็ขนไปให้ครบเลย แล้วเราก็จะได้มีเวลาเล่นได้นานขึ้น

   มีวัดก็ต้องมีงานศพ มีงานศพก็ต้องมีสัปประเหร่อ ลุงแก่กับพี่แดงลูกชาย รับงานนี้จากรุ่นสู่รุ่น พูดง่ายๆ คือ เป็นตระกูลที่อยู่กับศพกับผีกันทั้งตระกูล พวกลูกลิงอย่างเราก็เป็นลูกมืออยากรู้อยากเห็น หยิบโน้นหยิบนี่ ... เราจึงไม่กลัวศพแต่กลัวผี

   มีงานศพก็ต้องมีวงปี่พาทย์งานศพ ซึ่งสมัยนี้เราไม่ค่อยเห็นกันแล้ว ความใหญ่เล็กของวงปี่พาทย์จะบอกฐานะของครอบครัวผู้ที่นอนอยู่ในโลง ถ้าจะให้ครบก็ต้องมีร้องไห้หน้าศพติดมาเป็นแพ็คเกจด้วย

   เด็กๆอย่างพวกผมไม่เข้าใจ ญาติไม่ร้องไห้ คนไม่ใช่ญาติร้องไห้เอาร้องไห้เอา แถมได้เงินด้วย เคยไปขอร้องไห้ด้วย อยากได้เงินบ้าง แต่ก็โดนไล่ออกมา

   สมัยนั้นไม่มีลำโพงใช้แพร่หลายนัก เสียงวงปี่พาทย์งานศพจึงไปได้ไม่ไกลศาลาตั้งศพนัก เป็นการออมชอมปราณีกับญาติโยมรอบวัดอย่างอ่อนโยน ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่ดังไปถึงปากซอยถนนใหญ่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดังเบอร์นั้นไปทำไม

   หลังวัดเป็นคลองบางนา สมัยนั้นคลองบางนาไม่ดำปี๋อย่างเดี๋ยวนี้ สะอาดใช้ได้อยู่ พี่อ๊อดเป็นเด็กวัดและลูกศิษย์แม่ผมที่โรงเรียนเทคนิคสมุทรปราการ ในสังกัดกรมอาชีวะฯ หรือ ที่ชาวบ้านร้านถิ่นเรียกติดปากว่าเทคนิคปากน้ำ พี่อ๊อดมีหน้าที่พายเรือให้หลวงพ่อบิณฑบาทตอนเช้า ...

   ในยามว่างบ่ายวันเสาร์อาทิตย์ เรือลำนั้นก็แปรเป็นเรือของเราลิงทะโมน 3 ตัว เรามักไปรบเร้าพี่อ๊อดให้พายไปเที่ยววัดบางนานอกกัน จริงๆมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่คลองแคบๆ เรือพายเก่าๆ เราก็เจี้ยวจ๊าวอยู่กลางเรือ ประหนึ่งเป็นเรือสำราญในฝัน

   สองข้างคลอง ป้าโน้น ลุงนี่ พี่นั่น น้าอาโน้น เรารู้จักหมด เพราะเราหน้าด้านขอขนมกินไปสองข้างคลอง ขอจนบางบ้านเห็นเรือเรามาก็เตรียมวางรอไว้ให้ที่หัวกระไดท่าน้ำริมคลอง โดยที่เราไม่ต้องตะโกนทักทาย ทำยังกะเราเป็นเปรตมาของส่วนบุญ แต่เราก็ไม่สนใจหรอก

   ขนมนมเนยก็ไม่ใช่อะไรที่วิเศษวิโสอะไร ส่วนมากก็ของเหลือกินนั่นแหละ กล้วยแขกครึ่งถุง ฟักทองนึ่ง 2 - 3 ชิ้น ขนมเหนียว ขนมยัดไส้ กล้วยไข่ ส้ม ลูกสองลูก แต่ที่มันอร่อยก็ตรงที่แย่งกันกินกับ ไอ้เป็ด กับ ไอ้ชาติ นี่แหละ แย่งกันไปแย่งกันมา ก็ทำขนมตกน้ำตกท่ากันไปก็บ่อย

   ... เป็นเวลาความสุขที่ผมจำมาจนแก่ ความสุขในคลองบางนาสุขกว่าความสุขในล่องน้ำราคาแพงไหนๆ ไม่ว่าจะแม่น้ำเทมส์ในลอนดอน แม่น้ำเซนต์ในปารีส ไนแองการ่าพรมแดนอเมริกาแคนนาดา หรือ ธารน้ำแข็งเทือกเขาแอลป์ในสวิตสแลนด์

   ขากลับมาจากทัวร์คลองวันหนึ่ง พวกเราขึ้นจากเรือ เดินผ่านตู้กระจกแขวนโครงกระดูกท่าน้ำริมคลองวัดฯ เจอป้าวันกวาดถูทำความสะอาดตู้ และ พื้นที่รอบๆตู้ ที่เต็มไปด้วย ตุ๊กตาแก้บน ขี้ธูป น้ำตาเทียน เศษดอกไม้ที่เคยสด ฯลฯ มือก็จัดชุดแก้บนผี ปากก็ตะโกนกึ่งทักกึ่งด่าพวกเราตามประสาคนแก่ปากร้ายใจดี

   หยุดยืนอยู่หน้าตู้ ไอ้ชาติxจู่ๆก็ถามป้าวันขึ้นมา

... "ป้าๆ ทำไมถึงชื่อ นางลอย" พูดพลางชี้ไปที่ป้ายเหนือตู้กระจก

"อ้าว ... ก็มันลอยมาที่คลองนี่ไง" แล้วแกก็ชี้ไปที่ท่าเรือที่พี่อ๊อดจอดส่งพวกเราและผูกเรือเอาไว้ที่เสาข้างๆ ดูสีหน้าแกภูมิใจที่ตอบคำถามเด็ก 10 ขวบได้

... "แล้วป้ารู้ไหมว่าเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง" ผมเอาบ้าง

"ไอ้นี่นิ มีตาก็แหกดูดิ มีผ้าถุงพับไว้ในตู้ที่ปลายตีโครงผีน่ะ ... เห็นป่ะ" แกพูดพลางชี้ไปที่ปลายตีนโครงกระดูก เออ เนอะ มันก็มีผ้าถุงพับอยู่จริงๆ

   แล้วป้าวันแกก็หันไปมองไอ้เป็ด เชิงตั้งคำถามโดยสายตาว่า มีอะไรจะถามอีกไหม

... "แล้วป้าวันรู้ได้ไงว่าเป็นนางลอย ไม่ใช่นางสาวลอย" ไอ้เป็ดออกลาย

ป้าวันผู้ทรงภูมิกับเด็ก 10 ขวบ อึ้งไปอึดใจ

   "ไอ้เด็กเปรตนี่ ใครมันจะไปรู้ว่ะ พวกเอ็งจะไปขอส่วนบุญที่ไหนก็ไปไป๊" ... มือก็ยกไม้กวาดทำท่าจะกวาดพวกเราออกจากตรงนั้น
   
   แน่นอนว่าพวกเราไม่รอให้ไม้กวาดกายสิทธิ์ของแกเผ่นกระบาล โกยเกียร์หมา 3 ตัว 6 ตีน เผ่นโดยพลัน พอพ้นรัศมีไม้กวาดแก ผมก็ถามไอ้เป็ดว่า แล้วรู้เหรอ .. มันไม่ตอบ หรือ ไม่ได้ยินที่ผมถามก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรจากนั้นเป็นต้นมา
 
   นอกจากความเล็กใหญ่ของวงปี่พาทย์ที่จะบอกฐานะเจ้าภาพงานศพแล้ว หนังกลางแปลงคืออีกอย่างหนึ่งที่บอกฐานะเจ้าภาพฯ หรือ บางที่ก็แค่หนังขายยาที่มาเช่าลานวัดทำมาหากิน แต่ไม่ว่าจะมาได้ไง หนังกลางแปลงก็เป็นสิ่งที่พวกเรารอคอย

   เริ่มจากบ่ายๆวันนั้นจะมีรถสองแถววิ่งไปมาในระแวกวัดโฆษณาว่าจะมีหนังกลางแปลง เริ่มฉายราวๆสามทุ่มได้มัง เริ่มด้วยขายยา กะปิ น้ำปลา สบู่ ผงซักฟอก โน้นนี่ไปตามแต่จะมีอะไรมาขายกัน

   เราสามคนมักจะมาแต่หัววัน วิ่งเล่น จองที่นั่งหน้าๆ ซื้อเม็ดมะขามคั่วแบ่งกันกิน 2 เม็ด อยู่ได้ทั้งคืน ทั้งอมทั้งดูดทั้งเคี้ยว ตอนขามาดูหนังน่ะไม่เท่าไรหรอก ขากลับนี่ซิ ... อย่างที่บอก พวกเราไม่กลัวศพแต่กลัวผี

   ทางเดินที่เดินได้แค่แถวตอนเรียงหนึ่งแคบๆ 100 เมตร แต่เป็น 100 เมตรที่เหมือน 1 กิโลเมตร ที่เด็ก 10 ขวบ สามคนต้องอาศัยเดินกลับบ้าน ฝั่งซ้ายติดรั้วสังกะสี มีหญ้ายาวไล้ไหล่ไปตลอดทาง ตอนกลางวันมันจั๊กจี้หัวไหล่ดี แต่กลางคืนมันชวนขนลุก

   ด้านขวาเป็นป่าหญ้าสูงท่วมหัวเด็ก ถัดไปไม่ไกลเป็น ต้นโพธิ์ ต้นไทร แน่นอนว่ามีศาลพระภูมิหัก และ ผ้าสีพันรอบโคน กลางวันนะไม่เท่าไร กลางคืนตอนลมพัดไหวๆนี่สยองมาก ซ้ำร้าย หลังแนวต้นไม้เป็นโรงไม้ที่ตอนกลางคืนชอบมีเสียงแปลกๆ เสียงที่ผมมารู้ตอนโตว่าเป็นหม้อต้มไอน้ำแบบโบราณๆที่ต้มน้ำเตรียมไว้ใช้เป็นพลังงานเลื่อนตัดแปรรูปไม้ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

   แต่เสียงมันออกแนวๆว่า ... "มาาาานี่ๆๆๆๆๆๆ มาาาานี่ๆๆๆๆๆๆ"

   ไม่มีใครเดินด้วยเหรอ เวลาหนังกลางแปลงเลิก คนน่าจะเยอะ ...

   ใช่ครับ คนเยอะ แต่มีแค่ลิงทะโมน ที่ตอนนั้นเป็นลิงจ๋อย 3 ตัว ที่ต้องฝ่าดงสยองนี่เท่านั้นแหละ

   ที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก มีเรื่องเล่าว่า ตรงนั้นเป็นป่าช้าฝังศพเก่า ตอนล้างย้ายป่าช้า มีบางศพไม่ได้เอาไป ถูกลืมไว้ แล้ววันดีคืนซวยก็จะยื่นมือขึ้นมาจกาดินจับข้อเท้าคนที่เดินผ่านไป เผื่อที่จะขอให้พาออกไปจากตรงนั้นด้วยยยยย .... บรื้อส์....

   เรามักจะแย่งกันเดินตรงกลางด้วยเหตุผลที่รู้ๆกัน ... อุ่นใจดี

   เมื่อตกลงกันไม่ได้ ยักแย่ยักยันกัน ผลักกันไปมาอยู่ปากทาง สุดท้ายก็จบลงด้วยการตัดสินกันแบบวิถีลูกผู้ชาย

   โอน้อยออก (3 คน เอามือวางพร้อมกัน - หงาย คว่ำ)... ใครวางมือไม่เหมือนเพื่อน คนนั้นรอด ได้อยู่ตรงกลาง อีกสองคน เป่ายิ๊งฉุบ ใครแพ้ซวยสุดได้รับเกียรติเดินนำหน้าท้าผีจับข้อตีน

.... ต่อที่ความเห็นที่ 1 นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่