สื่อใหญ่บางนา ประกาศพักจ่ายเงินเดือนบางส่วนพนักงานเหตุเม็ดเงินโฆษณาลด
วันที่ 11 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทเนชั่น กรุ๊ป ออกประกาศ พักเงินเดือนบางส่วนกับพนักงาน เนื่องจาก มีปัญหาทางด้านการเงิน โดยในประกาศระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในธุรกิจสื่อทั้งระบบลดลงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจำเป็นต้องดำเนินการปรับลดีรายจ่ายหลายด้านเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน จึงขอแจ้งให้พนักงานทราบว่า บริษัท มีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการ “พักรายจ่ายเงินเดือนบางส่วน” สำหรับพนักงานที่มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.67-31ธ.ค.67
ทั้งนี้การพักจ่ายเงินเดือนบางส่วนจะเป็นแบบขั้นบันได โดยพักการจ่ายเงินเดือนตั้งแต่ 10-30% ตามอัตราเงินเดือน อีกทั้งประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารยินดีที่จะไม่รับเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนใดๆจากบริษัท เพื่อให้บริษัทสามารถจัดสรรผลประโยชน์ดังกล่าวแก่พนักงานที่มีความจำเป็นต่อไป
ประกาศยังระบุอีกว่า บริษัทเข้าใจดีว่า การพักจ่ายเงินเดือนบางส่วนอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานทุกท่าน และขอยืนยันว่า การตัดสินใจนี้เป็นไปอย่างรอบคอบและจำเป็นเพื่อให้บริษัทผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ บริษัทคาดการณ์ว่า จะเริ่มผ่อนชำระคืน เงินที่พักไว้ เริ่มตั้งแต่รายจ่ายเงินเดือนงวดมกราคม 2568 เป็นต้นไป โดยบริษัทจะชำระคืนภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านั้น จะแจ้งให้ทราบต่อไป
โดยประกาศดังกล่าวนี้ ลงนามโดย นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารเนชั่น กรุ๊ป
รายงานข่าวแจ้งว่า ประกาศดังกล่าวเป็นความจริง โดยในวันนี้ จะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องจำนวนเงินตามขั้นบันไดที่จะพักจ่าย และอาจจะมีการประกาศภายในให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/economy/news_4674685
วิกฤตเศรษฐกิจ-อสังหา ลามธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ผู้ผลิตกว่า 3 พันราย ลดการผลิตต่อเนื่อง
ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังซบเซา ทำให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องซึมตามไปด้วย หนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์
ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจ โดยสรุปแนวโน้มธุรกิจ ISIC : 52310000 การผลิตเฟอร์นิเจอร์ในระยะ 1 ปีข้างหน้าธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์มีแนวโน้ม “Negative” คาดว่าการผลิตจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตจะยังต่ำกว่าระดับ 50% โดยตลาดในประเทศยังคงถูกกดดันจากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และกำลังซื้อที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้
ขณะที่ตลาดส่งออกมีเพียงตลาดสหรัฐอเมริกาที่สามารถฟื้นตัวได้ดี แต่ตลาดรองลงมาอย่างญี่ปุ่นและจีนยังถูกกดดันจากกำลังซื้อในประเทศ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ยังถูกกดดันจากราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างไม้ยางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อการทำกำไร และราคาขายของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นต้องปรับสูงขึ้นตาม และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
สำหรับภาพรวมธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ในปี 2566 มีปริมาณการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทั้งสิ้น 7.1 ล้านชิ้น ลดลง 29.9% โดยคิดเป็นมูลค่าการจำหน่ายรวมส่งออกราว 8,245 ล้านบาท ลดลง 14.6% ซึ่งมูลค่าการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในช่วงปี 2564-2566 มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องราว 5.1% ต่อปีโดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ปริมาณการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ 2.4 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 12.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่เป็นฐานต่ำ แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564-2566 ที่ราว 3.5 ล้านชิ้น โดยในปี 2566 มีสัดส่วนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้และโลหะที่ร้อยละ 82 และ 18 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในส่วนของดัชนีผลผลิต (มูลค่าเพิ่ม) ของการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ และโลหะ หลังการปรับปีฐานใหม่ เป็นปี 2564 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (OIE) พบว่าตั้งแต่ปี 2565 ดัชนีการผลิตมีการปรับตัวลงต่อเนื่องในทั้ง 2 กลุ่มสินค้า จากระดับสูงกว่า 100 ลงมาที่ระดับ 51.64 ในเดือนเมษายน 2567 สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และระดับ 32.41 สำหรับเฟอร์นิเจอร์โลหะ แม้ว่าดัชนีผลผลิตของเฟอร์นิเจอร์ไม้จะมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 แต่ก็ยังทรงตัวอยู่ในช่วง 50 ถึงปัจจุบัน
ด้านสถานการณ์ด้านการจำหน่ายและส่งออก ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบเป็นธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จากข้อมูลของ OIE พบว่าในปี 2566 ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์มีสัดส่วนปริมาณการผลิตเพื่อส่งออกราว 69% และจำหน่ายในประเทศ 31% โดยการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงปี 2564-2566 ลดลงถึง 19.6% ต่อปี ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ยอดจำหน่ายในประเทศยังคงลดลง 2.6% เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามปกติ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงและส่งผลต่อความกังวลของผู้บริโภดที่ชะลอการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย ตลอดจนการซะลอตัวต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่สถานการณ์การส่งออกเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบของปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกที่ 1,358.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 15.6% แม้ว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 จะมีมูลค่าส่งออก 565.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนราว 4.8% แต่เป็นการฟื้นตัวจากช่วงฐานต่ำ ซึ่งคู่ค้าสำคัญที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว คือ สหรัฐอเมริกาเติบโต 11.9%, ขณะที่ญี่ปุ่น และจีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับที่ 2 และ 3 มีมูลค่าการส่งออกลดลง 7.1% และ 19.1% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี สภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัวจากปัญหาค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ยสูงซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายของครัวเรือน จึงต้องชะลอการซื้อกลุ่มสินค้าดงทน และสินค้าฟุ้มเฟือยออกไป
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่สูง เนื่องจากมีจำนวนผู้ประกอบการจำนวนมาก แต่อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำ โดยในปี 2564 – 2567 มีจำนวนผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ใน TSIC 31000 ราว 3,180 ราย แต่อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย ลดลงต่อเนื่องจาก 59.5% ในปี 2564 มาอยู่ที่ราว 36.0%ในปี 2566
สำหรัยแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจทิศทางธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบปี 2567 ดาดตลาดในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญของยอดขายเฟอร์นิเจอร์ยังไม่ฟื้นตัว แม้จะมีการขยายมาตรการช่วยเหลือให้ครอบคลุมอสังหาฯ ที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นแล้ว
รวมถึงตลาดลูกค้าทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ยังคงชะลอตัวเพื่อรักษาสภาพคล่อง และหลีกเลี่ยงสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยกลุ่มที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จะเป็นกลุ่มลูกค้า Hi-End สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงมากกว่า 7 ล้านบาท ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่พัก โรงแรม จำเป็นต้องมีการปรับปรุงห้องพักและสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม เพื่อรองรับการฟื้นตัวกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะที่การส่งออกเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ ปี 2567 คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยจากตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา แต่ในตลาดสำคัญอันดับรองลงมาอย่างญี่ปุ่นและจีน ที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้มากนัก
อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตควรพิจารณาขยายตลาดส่งออกไปยังที่มีการเติบโตสูงอย่าง ออสเตรเลีย และอินเดีย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกอยู่ใน 10 อันดับแรกของการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในปี 2566 และมีมูลค่าส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 เดิบโตถึง 31.8% และ 35.3% ตามลำดับ...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/economy/news_4674548
บริษัทเนชั่น กรุ๊ป ประกาศพักจ่ายเงินเดือนบางส่วนพนักงานเหตุเม็ดเงินโฆษณาลด & วิกฤตเศรษฐกิจ-อสังหา ลามธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
วันที่ 11 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทเนชั่น กรุ๊ป ออกประกาศ พักเงินเดือนบางส่วนกับพนักงาน เนื่องจาก มีปัญหาทางด้านการเงิน โดยในประกาศระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในธุรกิจสื่อทั้งระบบลดลงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจำเป็นต้องดำเนินการปรับลดีรายจ่ายหลายด้านเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน จึงขอแจ้งให้พนักงานทราบว่า บริษัท มีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการ “พักรายจ่ายเงินเดือนบางส่วน” สำหรับพนักงานที่มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.67-31ธ.ค.67
ทั้งนี้การพักจ่ายเงินเดือนบางส่วนจะเป็นแบบขั้นบันได โดยพักการจ่ายเงินเดือนตั้งแต่ 10-30% ตามอัตราเงินเดือน อีกทั้งประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารยินดีที่จะไม่รับเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนใดๆจากบริษัท เพื่อให้บริษัทสามารถจัดสรรผลประโยชน์ดังกล่าวแก่พนักงานที่มีความจำเป็นต่อไป
ประกาศยังระบุอีกว่า บริษัทเข้าใจดีว่า การพักจ่ายเงินเดือนบางส่วนอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานทุกท่าน และขอยืนยันว่า การตัดสินใจนี้เป็นไปอย่างรอบคอบและจำเป็นเพื่อให้บริษัทผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ บริษัทคาดการณ์ว่า จะเริ่มผ่อนชำระคืน เงินที่พักไว้ เริ่มตั้งแต่รายจ่ายเงินเดือนงวดมกราคม 2568 เป็นต้นไป โดยบริษัทจะชำระคืนภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านั้น จะแจ้งให้ทราบต่อไป
โดยประกาศดังกล่าวนี้ ลงนามโดย นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารเนชั่น กรุ๊ป
รายงานข่าวแจ้งว่า ประกาศดังกล่าวเป็นความจริง โดยในวันนี้ จะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องจำนวนเงินตามขั้นบันไดที่จะพักจ่าย และอาจจะมีการประกาศภายในให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_4674685
วิกฤตเศรษฐกิจ-อสังหา ลามธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ผู้ผลิตกว่า 3 พันราย ลดการผลิตต่อเนื่อง
ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังซบเซา ทำให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องซึมตามไปด้วย หนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์
ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจ โดยสรุปแนวโน้มธุรกิจ ISIC : 52310000 การผลิตเฟอร์นิเจอร์ในระยะ 1 ปีข้างหน้าธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์มีแนวโน้ม “Negative” คาดว่าการผลิตจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตจะยังต่ำกว่าระดับ 50% โดยตลาดในประเทศยังคงถูกกดดันจากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และกำลังซื้อที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้
ขณะที่ตลาดส่งออกมีเพียงตลาดสหรัฐอเมริกาที่สามารถฟื้นตัวได้ดี แต่ตลาดรองลงมาอย่างญี่ปุ่นและจีนยังถูกกดดันจากกำลังซื้อในประเทศ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ยังถูกกดดันจากราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างไม้ยางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อการทำกำไร และราคาขายของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นต้องปรับสูงขึ้นตาม และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
สำหรับภาพรวมธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ในปี 2566 มีปริมาณการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทั้งสิ้น 7.1 ล้านชิ้น ลดลง 29.9% โดยคิดเป็นมูลค่าการจำหน่ายรวมส่งออกราว 8,245 ล้านบาท ลดลง 14.6% ซึ่งมูลค่าการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในช่วงปี 2564-2566 มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องราว 5.1% ต่อปีโดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ปริมาณการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ 2.4 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 12.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่เป็นฐานต่ำ แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564-2566 ที่ราว 3.5 ล้านชิ้น โดยในปี 2566 มีสัดส่วนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้และโลหะที่ร้อยละ 82 และ 18 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในส่วนของดัชนีผลผลิต (มูลค่าเพิ่ม) ของการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ และโลหะ หลังการปรับปีฐานใหม่ เป็นปี 2564 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (OIE) พบว่าตั้งแต่ปี 2565 ดัชนีการผลิตมีการปรับตัวลงต่อเนื่องในทั้ง 2 กลุ่มสินค้า จากระดับสูงกว่า 100 ลงมาที่ระดับ 51.64 ในเดือนเมษายน 2567 สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และระดับ 32.41 สำหรับเฟอร์นิเจอร์โลหะ แม้ว่าดัชนีผลผลิตของเฟอร์นิเจอร์ไม้จะมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 แต่ก็ยังทรงตัวอยู่ในช่วง 50 ถึงปัจจุบัน
ด้านสถานการณ์ด้านการจำหน่ายและส่งออก ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบเป็นธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จากข้อมูลของ OIE พบว่าในปี 2566 ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์มีสัดส่วนปริมาณการผลิตเพื่อส่งออกราว 69% และจำหน่ายในประเทศ 31% โดยการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงปี 2564-2566 ลดลงถึง 19.6% ต่อปี ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ยอดจำหน่ายในประเทศยังคงลดลง 2.6% เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามปกติ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงและส่งผลต่อความกังวลของผู้บริโภดที่ชะลอการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย ตลอดจนการซะลอตัวต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่สถานการณ์การส่งออกเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบของปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกที่ 1,358.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 15.6% แม้ว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 จะมีมูลค่าส่งออก 565.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนราว 4.8% แต่เป็นการฟื้นตัวจากช่วงฐานต่ำ ซึ่งคู่ค้าสำคัญที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว คือ สหรัฐอเมริกาเติบโต 11.9%, ขณะที่ญี่ปุ่น และจีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับที่ 2 และ 3 มีมูลค่าการส่งออกลดลง 7.1% และ 19.1% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี สภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัวจากปัญหาค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ยสูงซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายของครัวเรือน จึงต้องชะลอการซื้อกลุ่มสินค้าดงทน และสินค้าฟุ้มเฟือยออกไป
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่สูง เนื่องจากมีจำนวนผู้ประกอบการจำนวนมาก แต่อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำ โดยในปี 2564 – 2567 มีจำนวนผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ใน TSIC 31000 ราว 3,180 ราย แต่อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย ลดลงต่อเนื่องจาก 59.5% ในปี 2564 มาอยู่ที่ราว 36.0%ในปี 2566
สำหรัยแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจทิศทางธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบปี 2567 ดาดตลาดในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญของยอดขายเฟอร์นิเจอร์ยังไม่ฟื้นตัว แม้จะมีการขยายมาตรการช่วยเหลือให้ครอบคลุมอสังหาฯ ที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นแล้ว
รวมถึงตลาดลูกค้าทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ยังคงชะลอตัวเพื่อรักษาสภาพคล่อง และหลีกเลี่ยงสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยกลุ่มที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จะเป็นกลุ่มลูกค้า Hi-End สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงมากกว่า 7 ล้านบาท ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่พัก โรงแรม จำเป็นต้องมีการปรับปรุงห้องพักและสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม เพื่อรองรับการฟื้นตัวกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะที่การส่งออกเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ ปี 2567 คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยจากตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา แต่ในตลาดสำคัญอันดับรองลงมาอย่างญี่ปุ่นและจีน ที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้มากนัก
อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตควรพิจารณาขยายตลาดส่งออกไปยังที่มีการเติบโตสูงอย่าง ออสเตรเลีย และอินเดีย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกอยู่ใน 10 อันดับแรกของการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในปี 2566 และมีมูลค่าส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 เดิบโตถึง 31.8% และ 35.3% ตามลำดับ...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_4674548