สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ริว่า (Riva del Garda) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของทะเลสาบการ์ดา สำหรับฉันถิ่นนี้และดินแดนใกล้เคียงนับว่าเป็นถิ่นสถานอันรมณีย์ที่มีสมบัติครบทั้งสี่ แห่งหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อไหร่ที่ไปเดินเล่นบริเวณริมทะเล หรือขับรถเลียบไปตามทะเลสาบ ก็จะเกิดความรู้สึกสงบ ร่มเย็น และอิสระ อย่างมาก... ซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้ว่า พลังงานในระบบนิเวศ ที่มีความสัมพันธ์ต่อกันและกันอยู่ตลอดนั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในระบบนิเวศนั้นๆ รวมทั้งพืช คน สัตว์ เกิดการปรับสภาวะตนเองไปตามกระแสพลังงานหลัก เพื่อให้เข้าสู่สภาวะแห่งความสมดุลที่สัมพันธ์กัน ณ.ถิ่นนั้นอีกครั้ง โดยคุณสมบัติของระบบนิเวศ ที่ใช้กลไกในการปรับสภาวะ เพื่อให้เกิดความคงตัวนั้น ไม่ได้มีอิทธิพลต่อสิ่งที่เป็นรูปธรรม เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างรูปธรรมที่เห็นได้ง่าย ฉันกับน้องสังเกตว่า ท้องถิ่นนี้ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำ พืชพรรณธัญญาหาร และภูมิอากาศที่ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป สัตว์เล็กๆที่อยู่ในถิ่นนี้กลับไม่เพิ่มจำนวนไปมากกว่านี้ หงส์ในทะเลสาบบริเวณนี้จะมีจำนวนแค่ 1-2 คู่ แม้จะเห็นฝูงลูกหงส์เกิดใหม่อยู่หลายครั้ง แต่จำนวนหงส์ก็ไม่เพิ่มไปมากกว่านี้ และเมื่อท่องเที่ยวไปยังจุดอื่นของทะเลสาบ ก็จะพบเห็นหงส์ไม่มากไปกว่านี้ ส่วนเป็ดและนกอาจจะมีมากกว่าหน่อย แต่ก็ไม่มากไปกว่านี้จนล้นหาด เราคิดกันเองว่ามันเป็นระบบนิเวศ แต่ก็ไม่ทราบว่าสัตว์เหล่านี้มีการอพยพไปอยู่ที่อื่น หรือถูกจับไป หรือเจ็บป่วยล้มตายไปเอง...
ส่วนในด้านนามธรรม จะขอยกไปกล่าวในกระทู้ถัดๆไปค่ะ..
อย่างไรก็ตาม สำหรับถิ่นที่น่ารื่นรมย์ในความหมายพุทธนั้นจะแตกต่างกับที่คนทั่วไปหมายมั่นเอา คือไม่มุ่งไปที่การพักผ่อน เดินเล่น ถ่ายรูป หรือทำกิจกรรมที่ให้ความสนุกสนาน อะไรแบบนั้น แต่หมายถึงสถานที่ที่เอื้อต่อการภาวนาเพื่อยกระดับจิตใจตนเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ดั่งที่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาแล้ว ได้เสด็จไปทรงศึกษาทดลองปฏิบัติในสำนักอาจารย์ใหญ่สำคัญๆ สมัยนั้นจนจบความรู้ของอาจารย์แล้ว ทรงทราบว่ามิใช่ทางให้ถึงจุดหมายจึงเสด็จไปทรงค้นคว้าทดลองตามแนวทางของพระองค์เอง ครั้งนั้น พระองค์เสด็จไปหาสถานที่ถิ่นเหมาะ ทรงจาริกไปในมคธรัฐ จนมาถึงถิ่นที่เรียกว่าอุรุเวลาเสนานิคม ณ ที่นั้น ทรงพบถิ่นที่เหมาะ ดังที่ตรัสในวาระนั้นว่า
สำหรับกุลบุตรผู้ต้องการทำความเพียร ที่อุรุเวลา ณ ถิ่นอันเป็นรมณีย์นี้ เจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ได้ประทับบำเพ็ญเพียรทดลองค้นคว้าปฏิบัติอยู่นาน 6 ปี ในที่สุด ก็ได้ตรัสรู้ที่ต้นมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา จึงถือว่า ถิ่นรมณีย์ ที่อุรุเวลา ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานี้ เป็นที่ตั้งต้นของพระพุทธศาสนา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น ถิ่นรมณีย์นั้น ช่วยทำให้เกิดความสงบ สุข อิสระ ได้อย่างมาก และสิ่งนี้ก็ย่อมเป็นปัจจัยที่เอื้อเฟื้อต่อการปรับระบบนิเวศภายในได้เป็นอย่างยิ่งต่อไป ในการกล่าวเช่นนี้ หมายถึงว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทั้งภายนอกและภายในได้ใช่หรือไม่ อย่างไร... คำตอบของฉันก็คือเราก็เห็นได้จากการจัดการสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนพัฒนาถิ่นที่อยู่ การจัดสถานที่เรียน ให้ร่มรื่นน่ามาเรียนรู้ จัดสวนแบบอิตาลี ฝรั่งเศส รวมไปถึงแบบวัดไทย ญี่ปุ่น และแบบเซน ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาและนามธรรม เพื่อเอื้อต่อการฝึกสมาธิให้เกิดปัญญา ฯลฯ นั่นแหละ.. และเมื่อรมณีย์ตั้งอยู่ข้างในภายใน มันก็สมดุลไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
สำหรับผู้ที่ไกลจากกิเลสแล้ว ก็คงเป็นเช่นนั้น.. แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการบำเพ็ญเพียรอะไรขั้นนั้นก็อาจจะแค่ดูระบบนิเวศภายนอก ว่าเราไปอยู่ในถิ่นใดแล้ว สมดุลภายในมันเสื่อมถอยไหม เราก็ดูว่าจะจัดการอย่างไร ได้ไหม.. สำหรับระบบนิเวศภายในในปัจจุบันมีลักษณะอย่างไรนั้น ก็เกิดมาจากที่เราสร้างสมขึ้นมาเองจากอดีตหรือไม่ และเมื่อเราอยู่กับมันมานาน เราก็อาจจะเกิดความเคยชินกับมันแล้ว และนั่นก็อาจจะดีอยู่แล้วก็ได้หรือเปล่าสำหรับบางคน แต่สำหรับผู้ที่เห็นว่ามันยังไม่น่ารื่นรมย์ แล้วถิ่นรมณีย์ภายในนี้จะสร้างอย่างไร?? ทุกคนก็คงมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว.. และฉันก็มี...
(ค่อยมาลงรูปต่ออีกนิดหน่อยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นรูปเก่าๆ)
🎯ถิ่นนี้รมณีย์🎯
1. มีน้ำอุดม พร้อมร่มพฤกษา (ฉายูทกสมบัติ)
2. งามตาน่าเดิน ดูทัศนีย์ (ภูมิภาคสมบัติ)
3. ไม่มีคนร้าย ได้เสวนาคนดี (บุคคลสมบัติ)
4. มีทางไปไม่ลำบาก ให้ถึงโดยสวัสดี (คมนาคมนสมบัติ)
ริว่า (Riva del Garda) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของทะเลสาบการ์ดา สำหรับฉันถิ่นนี้และดินแดนใกล้เคียงนับว่าเป็นถิ่นสถานอันรมณีย์ที่มีสมบัติครบทั้งสี่ แห่งหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อไหร่ที่ไปเดินเล่นบริเวณริมทะเล หรือขับรถเลียบไปตามทะเลสาบ ก็จะเกิดความรู้สึกสงบ ร่มเย็น และอิสระ อย่างมาก... ซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้ว่า พลังงานในระบบนิเวศ ที่มีความสัมพันธ์ต่อกันและกันอยู่ตลอดนั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในระบบนิเวศนั้นๆ รวมทั้งพืช คน สัตว์ เกิดการปรับสภาวะตนเองไปตามกระแสพลังงานหลัก เพื่อให้เข้าสู่สภาวะแห่งความสมดุลที่สัมพันธ์กัน ณ.ถิ่นนั้นอีกครั้ง โดยคุณสมบัติของระบบนิเวศ ที่ใช้กลไกในการปรับสภาวะ เพื่อให้เกิดความคงตัวนั้น ไม่ได้มีอิทธิพลต่อสิ่งที่เป็นรูปธรรม เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างรูปธรรมที่เห็นได้ง่าย ฉันกับน้องสังเกตว่า ท้องถิ่นนี้ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำ พืชพรรณธัญญาหาร และภูมิอากาศที่ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป สัตว์เล็กๆที่อยู่ในถิ่นนี้กลับไม่เพิ่มจำนวนไปมากกว่านี้ หงส์ในทะเลสาบบริเวณนี้จะมีจำนวนแค่ 1-2 คู่ แม้จะเห็นฝูงลูกหงส์เกิดใหม่อยู่หลายครั้ง แต่จำนวนหงส์ก็ไม่เพิ่มไปมากกว่านี้ และเมื่อท่องเที่ยวไปยังจุดอื่นของทะเลสาบ ก็จะพบเห็นหงส์ไม่มากไปกว่านี้ ส่วนเป็ดและนกอาจจะมีมากกว่าหน่อย แต่ก็ไม่มากไปกว่านี้จนล้นหาด เราคิดกันเองว่ามันเป็นระบบนิเวศ แต่ก็ไม่ทราบว่าสัตว์เหล่านี้มีการอพยพไปอยู่ที่อื่น หรือถูกจับไป หรือเจ็บป่วยล้มตายไปเอง...
ส่วนในด้านนามธรรม จะขอยกไปกล่าวในกระทู้ถัดๆไปค่ะ..
อย่างไรก็ตาม สำหรับถิ่นที่น่ารื่นรมย์ในความหมายพุทธนั้นจะแตกต่างกับที่คนทั่วไปหมายมั่นเอา คือไม่มุ่งไปที่การพักผ่อน เดินเล่น ถ่ายรูป หรือทำกิจกรรมที่ให้ความสนุกสนาน อะไรแบบนั้น แต่หมายถึงสถานที่ที่เอื้อต่อการภาวนาเพื่อยกระดับจิตใจตนเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
สำหรับผู้ที่ไกลจากกิเลสแล้ว ก็คงเป็นเช่นนั้น.. แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการบำเพ็ญเพียรอะไรขั้นนั้นก็อาจจะแค่ดูระบบนิเวศภายนอก ว่าเราไปอยู่ในถิ่นใดแล้ว สมดุลภายในมันเสื่อมถอยไหม เราก็ดูว่าจะจัดการอย่างไร ได้ไหม.. สำหรับระบบนิเวศภายในในปัจจุบันมีลักษณะอย่างไรนั้น ก็เกิดมาจากที่เราสร้างสมขึ้นมาเองจากอดีตหรือไม่ และเมื่อเราอยู่กับมันมานาน เราก็อาจจะเกิดความเคยชินกับมันแล้ว และนั่นก็อาจจะดีอยู่แล้วก็ได้หรือเปล่าสำหรับบางคน แต่สำหรับผู้ที่เห็นว่ามันยังไม่น่ารื่นรมย์ แล้วถิ่นรมณีย์ภายในนี้จะสร้างอย่างไร?? ทุกคนก็คงมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว.. และฉันก็มี...
(ค่อยมาลงรูปต่ออีกนิดหน่อยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นรูปเก่าๆ)