[CR] เดอะพัทลุง Backpack Trip 3 วัน 2 คืน

สวัสดีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ด้วยนะค้าาา กระทู้นี้เราจะมาเล่าประสบการณ์การ การไปท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับเพื่อน ๆ ครั้งแรก แบบ 3 วัน 2 คืน เต็ม ๆ (ยังไม่รวมการเดินทางไป-กลับ เรียกได้ว่ารวม ๆ แล้วทริปนี้เราไปกัน 5 วัน 4 คืน) โดยการไปเที่ยวในครั้งนี้เราไปในรายวิชา GEN 441 วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และกลุ่มพวกเรามีทั้งหมด 6 คน แต่วันที่เดินทางมีเพื่อนนอกวิชาร่วมทริปนี้ด้วยอีก 1 คน ก่อนออกทริปพวกเราได้มีการพูดคุยกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี ซึ่งความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มเราเป็นไปในทางเดียวกันว่าอยากลงใต้ เนื่องด้วยสภาพอากาศในเดือนเมษา ลงใต้น่าจะไม่ร้อนเท่าขึ้นเหนือ อีกทั้งจังหวัดที่พวกเราเลือกไปเป็นบ้านเกิดของสมาชิกในกลุ่มเราอีกด้วย นั่นคือ ตะวัน พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะเดินทางไปเที่ยวกันที่จังหวัดพัทลุง เพราะนอกจากจะเป็นบ้านของเพื่อนแล้ว จังหวัดพัทลุงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่สวยงาม รวมถึงมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากพวกเราจึงตัดสินใจไปเที่ยวกันที่จังหวัดพัทลุงแบบไม่มีความลังเลใด ๆ 

จังหวัดพัทลุงมีระยะทางห่างจากกรุงเทพราว ๆ 860 กิโลเมตร และการเดินทางในครั้งนี้พวกเราเดินทางโดย รถไฟฟฟฟฟฟ เราจองตั๋วรถไฟเมื่อวันที่ 11 มีนาคม แต่เดินทางจริงวันที่ 5 เมษายน ขนาดจองตั๋วล่วงหน้าเกือบ 1 เดือน พวกเราก็ยังจองไม่ทันรถไฟ ชั้น 2 หรือแบบตู้นอนเลย เพราะฉะนั้นขาไปพวกเราจึงต้องนั่งรถไฟ ชั้น 3 แทน เรียกได้ว่าทั้งร้อน และใช้เวลาในการเดินทางนานเลยสำหรับการนั่งรถไฟครั้งแรกของเพื่อนหลาย ๆ คน

ในวันเดินทาง 5 เมษายน 2567
ตะวัน กิ๊ก ดิว และเฟียร์ นัดเจอกันที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เวลา 13.30 น. และถึงเริ่มเดินทางไปเจอ มิ้นท์ ปอย ว่าน ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รอบรถไฟของเราเริ่มออกเดินทางเวลา 15.10 น. พวกเราไปถึงกันก่อนเวลา จึงเตรียมเช็คตั๋ว สัมภาระ และเตรียมซื้อเสบียงไว้สำหรับการเดินทางตลอด 14 กว่าชั่วโมง



ระหว่างการเดินทาง ตอนที่รถไฟออกในช่วงแรก ๆ อากาศค่อนข้างร้อน และฝุ่นเยอะ เพราะเป็นรถไฟชั้น 3 แต่หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน อากาศก็เริ่มดีขึ้น แต่คนเยอะมากกกกกกก มีพ่อค้าแม่ค้าเดินขายอาหารอยู่ตลอดการเดินทาง



เช้าวันแรก 6 เมษายน 2567 เวลา 05.50 น.
และแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึงที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งความเป็นจริงเราจะต้องเดินทางมาถึงในเวลา 04.39 แต่เพราะว่ารถไฟเกิดการล่าช้า เราจึงมาถึงในเวลา 05.50 น. จากนั้นพ่อกับแม่ของตะวันก็มารับพวกเราที่สถานีรถไฟ โดยมีข้าวเหนียวไก่มาต้อนรับพวกเรา (ขอบอกว่าอร่อยมากกกกกก)  พวกเราเดินทางจากสถานีรถไฟเข้าไปที่บ้านพัก ใช้เวลาไม่นาน และอากาศในช่วงเช้าดีมากๆๆๆๆๆ ระหว่างทางก่อนจะถึงบ้านพัก พ่อกับแม่พาแวะซื้อขนมจีนมากินกับข้าวเหนียวไก่ทอด เพราะขนมจีน และไก่ทอดถือเป็นอาหารเช้าที่คนในจังหวัดพัทลุงนิยมกินกันเป็นอย่างมาก เป็นสิ่งที่หารับประทานได้ง่ายในชุมชน หลังจากนั้นพอถึงบ้านพัก เราก็แยกย้ายเก็บสัมภาระของตัวเอง และจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ก่อนออกมานั่งกินขนมจีน และข้าวเหนียวไก่เป็นมื้อเช้ามื้อแรก ที่ระเบียงหน้าบ้าน จากนั้นก็พักผ่อนเอาแรง ก่อนที่จะออกไปเที่ยวกัน



อาหารเช้าของทางภาคใต้ จังหวัดพัทลุงมักนิยม กินขนมจีน เหนียวไก่ เป็นมื้อเช้า เพราะเป็นสิ่งที่หารับประทานได้ ง่ายมาก ตามชุมชน ขนมจีนที่ใต้ มีด้วยกัน 3 น้ำยา น้ำแกงเผ็ด แกงหวาน และแกงกะทิ นั่นเอง ซึ่งน้ำแกงนี้มีรสชาติ ตามชื่อตรงตัวเลย หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็ได้ขับรถออกไปดูบริเวณรอบ ๆ ชุมชน และไปที่ศูนย์เครื่อข่ายสินแพรทอง ซึ่งเป็น ศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน ต้นแบบ



เครื่อข่ายสินเเพร่ทองตั้งอยู่ ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง มี 9 หมู่บ้าน เนื้อที่ทั้งหมด 36,209 ไร่  ส่วนใหญ่คนในพื้นที่ประกอบอาชีพ ทำสวนยางพารา  ทำสวนผลไม้  ทำนา  เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างทั่วไป ศูนย์เครือข่ายสินเเพร่ทอง นั่นยัง เป็นเเหล่งผลิตสินค้าพื้นบ้าน อย่างน้ำชุบพรกอีกด้วย คงสัยสัยใช่ไหมละคะว่าน้ำชุบพรก คืออะไร น้ำชุบหมายถึงน้ำพริก พรกหมายถึงกะลา น้ำชุบพรกจึงหมายถึงน้ำพริกในกะลามะพร้าว ส่วนประกอบ และขั้นตอนการทำน้ำชุบพรกก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เพราะเป็นอาหารท้องถิ่น ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ น้ำชุบพรกจะมีรสชาติเผ็ดจัดจ้านผสานความหอมจากสมุนไพรรวมถึงกลิ่นหอมของกะลามะพร้าวย่างเตาถ่านเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ผสมผสานกันอย่างลงตัว หลังจากที่เราได้มาเรียนรู้กรรมวิธี ขั้นตอนของการทำน้ำชุบพรกเเล้ว ช่วงบ่ายวันเเรกของ ทริปพัทลุง เราก็จะไปกันต่อที่ “ในสวนศรีพัทลุงบ้านฉัน” ซึ่งการเดินทางก็ไม่ไกลจากที่พักสักเท่าไร เพราะอยู่ในเขตชุมชมเดียวกันนั้นเองค่ะ


ตอนนี้เราก็มาถึงที่ในสวนศรีพัทลุงบ้านฉันเเล้ว ที่นี้เป็น คาเฟ่ เเละเป็นศูนย์การเรียนรู้เกษตรเชิงสร้างสรรค์ บรรยากาศภายในร้าน ร่มรื่นสบายมากกก ล้อมรอบไปด้วยสวนยางพารา อากาศปลอดโปร่งสบาย และภายในศูนย์นี้ก็มีกิจกรรมที่น่าสนใจให้ได้ทำด้วย เช่น ฐานการเรียนรู้ผักพื้นบ้านจากจานพิซซ่า ฐานเรียนรู้การทำเรซิ่นดอกไม้ ฐานการละเล่นไทย เป็นต้น แต่ในวันนี้ เพื่อน ๆ ทริป เดอะพัทลุง ได้เลือก ฐานการเรียนรู้ผักพื้นบ้านจากจานพิซซ่า และฐานเรียนรู้การทำเรซิ่นดอกไม้ ซึ่งฐานพิซซ่า เราจะได้ลงมือทำเองตั้งแต่ขั้นตอนการนวดแป้ง และตกแต่งหน้าพิซซ่า จนเข้ากระบวนการอบเป็นขั้นตอนสุดท้าย พิซซ่าที่พวกเราทำในครั้งนี้จะเป็นหน้าคั่วกลิ้งเห็ดแคลง ซึ่งวัตถุดิบที่นำมาทำพิซซ่าก็มาจากชุมชนนั่นเองค่ะ

ฐานเรซิ่นดอกไม้นี้ ก็ยกให้ เเก๊งสาว ๆ ของทริปเดอะพัทลุง จัดการ และแสดงฝีมือ ซึ่งฐานเรซิ่นนี้ เราสามารถเลือกจะทำตามแม่พิมพ์ที่ทางฐานเตรียมให้ได้เลย ก็จะมี หวี กระจก พวกกุจเเจ และอื่น ๆ ให้เลือกตามใจชอบเลยค่ะ ในสวนศรีพัทลุงบ้านฉัน



กินพิซซ่าอิ่มกันแล้ว ก็มาผ่อนคลาย แช่น้ำเย็น ๆ กันที่ น้ำตกโตนแพรทอง ที่ตั้งอยู่ใน อำเภอศรีนครินทร์  บรรยากาศ ในพื้นที่สบายเหมาะสำหรับพักผ่อนช่วงน่าร้อนมาก น้ำก็ใส เย็นสบายมาก แถมยังมีแอ่งน้ำให้ลงไปเล่นได้อีกด้วย ในเขต อำเภอศรีนครินทร์ ไม่ได้มีแค่น้ำตกโตนแพรทองเพียงแห่งเดียว แต่ยังมีอีกหลายที่ให้เราไป ชื่นชมผ่อนคลายกับธรรมชาติ เช่น น้ำตกมโนราห์ น้ำตกปางราง เป็นต้น


ในช่วงค่ำของวันแรกเราก็ได้ออกจากที่พักไปหาไรกินในเมือง และในช่วงที่เรามาเที่ยวพัทลุงก็บังเอิญมาตรงกับวันที่มีงานพอดี นั่นคืองานสืบสานศิลป์ถิ่นโนรา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประจำปี 2567 ที่จัดตรงสนามหน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุง ภายในงานมีของกินเยอะแยะมากมาย แถมยังมีมโนราห์ให้ดูอีกด้วย ซี่งพวกเราก็เอ็นจอยกันมาก ๆ หลังจากที่เดินทางเหนื่อย ๆ มา 14 ชั่วโมง จนมาถึงพัทลุง ถือว่าเป็นวันเเรกของทริปที่คุ้มค่ากับการเดินทางไกลจากกรุงเทพสู่พัทลุง นั่นเองค่ะ



วันที่ 7 เมษายน 2567 
ในวันที่สองของทริปเราตื่นนอนกันประมาณ 6 โมงเช้าเพื่อขับรถออกมาหาซื้อกับข้าวสำหรับมื้อเช้า อาหารที่ได้ในวันนี้จะเป็นกับข้าวที่ชาวบ้านในชุมชนทำออกมาขาย ไม่ว่าจะเป็นแกงเลียง ข้าวยำ ข้าวน้ำพริกคลุกกะปิ และขนมจีนน้ำยาไก่ทอดเช่นเคย(แซ่บคัก) ตบท้ายด้วยของหวานอย่างขนมครกที่มีชาวบ้านมาทำให้ดูแบบสด ๆ 


หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะออกเดินทางสำหรับเช้าวันที่ 2 ในจังหวัดพัทลุง พวกเราขับรถออกจากที่พักเพื่อไปไหว้พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือที่รู้จักกันดีว่า "พระพุทธรูปสี่มุมเมือง” เพื่อเป็นสิริมงคล และคุ้มครองเราให้ปลอดภัย




เสร็จแล้วขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายแรกของพวกเรา “เขาอกทะลุ” เป็นภูเขาสูงระดับปานกลาง มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 245 เมตร ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่โดดเด่นที่หนึ่งสำหรับจังหวัดพัทลุง ระหว่างทางไปเขาอกทะลุก็เกิดการหลงทางนิดหน่อย ขับรถเลยซอยทางเข้าไปซะงั้น5555555  แต่ก็รู้ตัวทันหลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางตอนเวลาประมาณ 11 โมง ซึ่งอากาศร้อนมากกกก แตะ 40 องศาเข้าไปแล้ว แต่ไหน ๆ ก็มาถึงจะไม่เดินขึ้นก็เหมือนจะเสียเที่ยว พวกเรา 7 คนก็ขอจัดสักหน่อย เดินขึ้นเขากันต่อแบบสู้สุดใจกับบันไดทางขึ้น 1,066 ขั้น



พอขึ้นมาถึงจุดพักขั้นที่ 100 อาการเหนื่อยเริ่มมามากน้อยต่างกัน พวกเราเลยตัดสินใจแบ่งคนลงไปพัก และอีกส่วนเดินขึ้นต่อ เพื่อทำภารกิจขึ้นเข้าอกทะลุให้สำเร็จ ซึ่งเหลือ 3 หน่อก็คือ ตะวัน ว่าน และเฟียร์ ระหว่างทางขึ้นพวกเราได้เห็นธรรมชาติ ผืนป่าที่สงบ และได้สูดบรรยากาศที่รู้สึกสดชื่นซึ่งหาไม่ได้ภายในกรุงเทพ เมื่อเราขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็พบกับพื้นที่ไหว้พระที่สามารถเห็นช่องทะลุของเขาได้อย่างชัดเจน ซึ่งมองไปแล้วก็แอบเสียว ๆ อยู่เหมือนกัน เราได้เจอกับพี่เจ้าหน้าที่ และมีการพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่หลายเรื่อง สอบถามถึงความสำคัญ คนที่มาเยือน รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่เล่าว่าบนนี้จะมีงูที่เปรียบเสมือนงูเจ้าที่ คอยเลื่อยไปมาเหมือนกับคอยคุ้มครอง หากระหว่างปีนเขาเราเห็นงูเลื่อยก็ไม่ต้องตกใจไป.. ใช่แล้ว..ปีนเขา การขึ้นเขาอกทะลุครั้งนี้ยังไม่จบ พวกเราตัดสินใจปีนเขากันต่อเพื่อขึ้นไปยังยอดเขาอกทะลุ (ไหน ๆ ก็มาแล้วจะพลาดได้ไง) ซึ่งการปีนเขาต้องมีพี่เจ้าหน้าที่คอยนำ และดูแลในระหว่างทาง ไม่สามารถขึ้นปีนเองได้ นับเป็นโชคดีของพวกเรามากที่ขึ้นมาเจอพี่เจ้าหน้าที่พอดี การปีนเขาต้องใช้ความระมัดระวังมากเพราะไม่ได้มีอุปกรณ์เซฟความปลอดภัย มีแค่เชือกที่ให้เราจับพยุงตัวปีนขึ้นไปเท่านั้น ในระหว่างปีนพี่เจ้าหน้าที่ก็จะคอยบอกให้จับตรงไหน เหยียบตรงไหน จนพวกเรา 3 หน่อก็สามารถขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ข้างบนยอดเขาเป็นพื้นที่ที่สามารถเห็นวิวเมืองพัทลุงได้ทั้งหมด และยังสามารถเห็นทะเลที่อยู่นอกจังหวัดได้ด้วย หากมองลงมาจะเห็นทางรถไฟ เห็นตึกต่าง ๆ มากมาย รวมถึงเห็นพื้นที่การเกษตรของชาวบ้านอยู่โดยรอบ พวกเราถ่ายรูปกันอยู่สักพักแล้วเหลือบมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้เวลาเที่ยง! พึ่งรู้ตัว55555 เลยโดนพี่เจ้าหน้าที่แซวในตอนระหว่างพักว่า “มาตอนเช้าไม่มา มาปีนเขาตอนเที่ยง!”



ขาลงเขาพวกเราเดินลงมาพร้อมกับพี่เจ้าหน้าที่ และพูดคุยกันตลอดระหว่างทาง (ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่มาก ๆ เลย) เมื่อลงมาแล้วพวกเราได้ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่ลงมาพักก่อนที่คาเฟ่ระแวกนั้น รอบ ๆ คาเฟ่เป็นทุ่งหญ้า และมีวัวเป็นสิบ ๆ กำลังหาอาหาร วิวที่ได้เห็นเรียกได้ว่าธรรมชาติสุด ๆ ภายในเป็นร้านเครื่องดื่มเล็ก ๆ ให้นั่งชิว หลังจากรวมกลุ่มกันเสร็จ พวกเราก็ไปพักกินข้าวที่ร้านริมทางแห่งหนึ่งและไปกันต่อกับสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เมืองพัทลุงอย่าง “วังเจ้าเมืองพัทลุง”

ชื่อสินค้า:   พัทลุง Backpack ท่องเที่ยว
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่