การเรียกค่าไถ่โดยชอบด้วยกฏหมายกับทหารในอุดมคติของสังคมไทย

กระทู้สนทนา
พยานและบอกว่ายอด8แสนที่ระบุในสัญญาคงทำตามไม่ได้แล้วพร้อมทั้งขีดฆ่าจาก8แสนเป็น1.5ล้านแทน บอกให้เราห้ามบันทึกเสียงให้วางโทรฯหงายบนสวัสดีค่ะ เราเพิ่งเคยโพสต์เป้นครั้งแรกนะคะ โดยปกติแล้วเราใช้สังคมพันทิปเป็นเพื่อน เป็นกูรูเรื่องต่างๆ เป้นเว็บที่สะท้อนสังคมเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะต้องมีเรื่องของตัวเองบนหน้ากระทู้เลย เรื่องเดือดร้อนของเราเริ่มจาก   ในปี61 ย่าเราทำนิติกรรมอำพรางเพื่อให้อาสะใภ้เราไปกู้เงินที่ธนาคารให้ เหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี สินเชื่อผ่านการอนุมัติเราสามารถแก้ปัญหาวิกฤตได้แล้ว  เราทุกคนในบ้านซาบซึ้งที่อาสะใภ้ช่วย พยามส่งงวดธนาคารผ่านช่องทางอาสะใภ้อย่างดี แต่หลังจากนั้นปี65  อาสะใภ้เลิกรากับสามี(อาผู้ชายของเรา)จบแบบไม่สวยอาสะใภ้หนีหายไปติดต่อไม่ได้เลย เราพยามติดต่อธนาคาร เค้าไม่สามารถให้ข้อมูลเราได้เนื่องจาก "เราไม่ใช่คู่สัญญา" แต่ไม่นานเกิน3เดือนโชคก็เข้าข้างเราเพราะอาสะใภ้ใช้เบอร์เราเป็นเบอร์ติดต่อสำรองค่ะ ธนาคารเลยโทรมาหาเรา เราคุยให้ทางธนาคารฟังและเจ้าหน้าที่ดูแลเคสเราก็พอรับรู้เรื่องราวนิติกรรมดังกล่าวจากอาสะใภ้มาบ้าง จนท.เลยแนะนำให้ผ่อนเพื่อรักษาสถานะลูกหนี้ไปก่อนเคลียร์หนี้เก่าให้เป็นปกติ(ถึงได้รู้ว่ามีการส่งแค่ดอกเบี้ยมาตั้งนานแล้วทั้งที่บางทีเราก็ให้อาสะใภ้โปะหนี้มาตลอด) เราเคลียร์จนปกติและทำการผ่อนงวดเองตลอดผ่านการเห็นใจจากจนท.รายนั้น ต่อมาคือเหตุการณืที่ทำให้เราเจอพระเอกของเรื่องนี้                                                                                         วันสิ้นเดือน เมษา เวลาประมาณบ่าย3 โมง พ่อโทรหาเราด้วยน้ำเสียงร้อนรน(เราทำธุระอยู่ที่กทม.) ว่ามีผช.กับผญ.คู่หนึ่งเดินทางมาหาที่บ้าน เค้าแจ้งว่าทำการซื้อบ้านเราจากบังคับคดีแล้ว พ่อให้โทรเช็คธนาคารด่วน ไวเท่าความคิดเราติดต่อธนาคารทันที จนท.คนเดิมรับสายด้วยความแปลกใจและแจ้งเราว่าไม่รู้เรื่องมาก่อนขอเช็คก่อน หลังจากนั้นก็ติดต่อไม่ได้อีกเลยเป้นไปได้ไง? ตอนเช้าเราติดต่อแบงค์ไม่ได้เพราะเป็นวันหยุด แต่โชคก็ยังพอเข้าข้างเราบ้างที่บังคับคดีไม่ได้ปิด พ่อตัดสินใจเริ่มเรื่องที่นั่น ข้อมูลจากที่นั่นทำให้ทราบว่า เรื่องเกิดจากธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตอาสะใภ้ เราไม่รู้มาก่อนว่าเค้าเป้นหนี้บัตรเครดิตไม่ยอมจ่ายงวดจนบัตรเครดิตสืบทรัพย์มาเจอที่ดินเรา จนท.บังคับคดีให้ชื่อ+เบอร์ติดต่อพร้อมบอกว่าคนที่ชนะประมูลทำเป็นธุรกิจขอวางเงิน5พันบาทพ้อมขยายเวลา90วันตามกฏบังคับคดีและอาจเจรจาต่อรองได้เค้าเป็นนายทหารชื่อ นายสายชล บุญสง่า(นามสมมุตินะคะ) เราดีใจมากกกก นายทหารเค้าจะต้องใจดีและเข้าใจเราในฐานะชาวบ้าน ทหารย่อมมีใจเอื้อเฟื้อต่อประชาชน บลาๆๆๆ นายทหารที่แสนดีตามอุดมคติของสังคมไทยโดยเฉพาะในสังคมต่างจังหวัด เรื่องต้องลงเอยด้วยดี  เราแทบไม่ได้ไตร่ตองอะไรโทรหาเค้าทันที เค้ารับสายด้วยสุภาพและให้เราคุยกับแฟนเค้า แฟนเค้าอ้างว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์(เราคิดทันทีต้องใจดีทั้งคู่แนๆ) เราขอโทษด้วยน้ำเสียงแบบขอความเห็นใจแจ้งว่าเป้นเพราะความประมาท เลินเล่อของเราเองที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ เราอยากให้ทางคุณสละมัดจำกับทางบังคับคดีเสีย(อาจจะยังไม่ได้เกิดความเสียหายเท่าไหร่ต่อเค้าเพราะแค่ไม่ถึง24ชม.เท่านั้น)ผญ.ขอปรึกษาก่อนและรับคำว่าได้แน่นอน 1.ชม.ต่อมา เค้าให้โทรหาเค้าแจ้งว่าปรึกษากันแล้วขอค่าดำเนินการ 4.5 แสน เราใจวูบแต่ก็รับปากพร้อมทั้งถามว่าให้ไปคุย+จ่ายกันวันเวลาไหน ผญ.ขอเวลาปรึกษากันอีก 1ชม.ต่อมาเราโทรไปถามเวลาและสถานที่ ผญ.แจ้งว่าคิดทบทวนแล้วขอราคาใหม่เป็น 6แสน เราไม่ได้ปฏิเสธหรือรับคำ เค้าว่ารายละเอียดให้รอคุยกันอีกที หัวค่ำเราเริ่มคิดว่าน่าจะมีปัญหาแล้ว นายทหารกับบุคลลากรทางการแพทย์รายนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราเลยโทรหาอีกครั้ง ผญ.เป็นคนรับสายเราขอเวลาเดินทางกลับแต่ยังยอมรับเงื่อนไข ขอโอนเงินหลักหมื่นก่อนเพื่อรับประกันว่าไม่ได้พูดเล่นๆ ผญ.ไม่พอใจและเราเริ่มร้องไห้พร้อมทั้งขอร้องขอให้เค้าสงสาร ตามหลักมนุษยธรรมก็ได้ ผญ.วางสาย ประมาณ1ชม.ถัดมาเราโทรหาอีกครั้งค่ะ ทหารนายนั้นรับสายเองด้วยน้ำเสียงกระโชก และอ้างว่าเราพูดจาไม่รู้เรื่องทำให้เค้ามีความรำคาญยุ่งยาก เค้าบอกว่าเค้าอยู่ในค่ายทหารพูดแค่นี้พอเข้าใจไหม เค้าจะขายสิทธิ์ของเค้าที่ได้โดยชอบด้วยกม. มีคนซื้อมากมายหรือไม่ก็มีสิทธิ์ขึ้นราคาได้เท่าไหร่ก็ได้ คนจะเอามากมาย เอามั้ย?1ล้านเอามั้ย?4.5ล้านเอามั้ย ในนาทีนั้นเรานึกถึงย่าที่อายุ85ที่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ภาพบ้านที่เราอยู่มาตั้งแต่เกิด ภาพหลานชายอายุ2ขวบความผูกพันธ์อื่นๆมากมาย นายทหารคนนี้เอาย่าและบ้านเราเป็นตัวประกันนนั่นเอง เป็นการเรียกค่าไถ่ที่ชอบด้วยกม. การเจรจาจบลงที่8แสน สถานที่ที่เค้าเลือกคือบังคับคดี เวลาเราเลือกคือบ่าย3โมง เรารีบเดินทางกลับอย่างด่วนที่สุด 11โมงเราโทรไปยืนยันนัดเค้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนกระะทั่งเที่ยงกว่าๆเค้าขับรถเข้ามาอย่างเร็วแทบไม่แตะเบรคเลย แล้วขับออกไปอย่างเร็วและโทรหาเราด้วยน้ำเสียงกระโชก(นายทหารรายนี้ไม่เคยสุภาพเลยสักครั้ง)ขอเปลี่ยนสถานที่นัด ข่มขู่จะเอาสิทธินั้นออกเร่ขาย ทำให้ไม่มีที่อยู่บังคับให้เอาน้องสาวไปได้แค่คนเดียวและพูดทิ้งท้ายว่า อย่าพยามหาใครมาช่วยพูดเลยทุกครั้งที่พูดจะขึ้นราคาทุกครั้ง เราแปลกใจจึงถามพ่อ พ่อจึงเล่าให้ฟังว่าช่วงที่เรากำลังเดินทาง ในตอนเช้านั้นพ่อเข้าไปขอร้องในบังคับคดีให้ช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ ทางนั้นก็รับคำด้วยความเต็มใจ แสดงว่าทหารนายนั้นมีคนในอยู่ในบังคับคดีนั่นเอง  ระหว่างเราเดินทางไปที่ร้านอาหาร น้องสาวกระซิบบอกว่ากลัวมากเพราะเช็คในเฟซบุคเค้าตั้งสาธารณะล้วนแต่เป็นรูปเครื่องแบบเต็มยศทั้งสิ้น พอไปถึงเค้าแต่งกายด้วยชุดลำลองของค่ายทหารทำให้น้องสาวยิ่งกลัว เค้าขู่ว่าห้ามบันทึกเสียงให้วางโทรฯไว้บนโต๊ะ เค้าเอาสัญญาที่ร่างมาจากบ้านเค้าโดยมีแฟนเค้าเป็นคนลงชื่อช่องพยาน พุดจาข่มขู่ว่าจะเดือดร้อนไม่มีที่อยู่หากเค้าจะโอนกรรมสิทธฺิ์ที่ที่ดิน เราอ้อนวอนว่าเราลำบากมาก เค้าพูดว่ายิ่งลำบากยิ่งหาเงินได้ง่ายซึ่งตอนนี้คุณลำบากแล้ว พร้อมทั้งเริ่มนับทรัพย์สินในที่ดินต่างๆเพื่อจะบอกว่าราคา1.5ล้านสำหรับแค่สละสิทธิ์นั้นไม่แพงเลย (เราเล่าให้ที่บ้านฟังทีหลัง ย่าเราร้องไห้และบอกว่าครอบครัวอยู่มาเป้นร้อยปี ทหารรายนี้ประมูลมาได้แค่ไม่ถึง48ชม.เท่านั้นกลับมาขายเราเสียแล้ว)เงื่อนไขในสัญญาคือ วันนั้นจ่ายก่อน 3แสน อีก7วันจ่าย5แสนหลังจากนั้น13วันจ่ายอีก7แสน เราจำใจลงชื่อและโอนเงิน3แสนที่หยิบยืมมาให้เค้า คิดแค่ว่าประวิงเวลาอย่าให้เค้ารีบโอนกรรมสิทธิ  นายทหารมีสีหน้าพอใจอย่างเห้นได้ชัด(ลงทุน5พันกำไร1.5ล้านทำงานแค่นิดหน่อย) หลังจากนั้นเราเริ่มปรึกษาคนรู้จักและโทรหาทนายตามเน็ตต่างๆล้วนแต่บอกว่าเป้นกม.ใหม่เพื่อเอื้อให้คนชนะประมูล เราเริ่มหมดหวัง วันรุ่งขึ้นเราโทรไปหาทหารที่พอรู้จักเค้ารับฟังเรื่องราวของเราอย่างใส่ใจแต่ให้ข้อคิดแค่ว่า ผช.คนนั้นเป้นแค่คนเห็นแก่ตัวที่ทำอาชีพทหารเท่านั้น เราไม่มีช่องเลยเครียดกังวลใจไม่รู้หาเงินจากทางไหน โดยมีอาการตรอมใจของย่าเป็นตัวกระตุ้นความเครียด แต่แล้วก็มีทนายรายหนึ่งพอจะเห็นช่องตรงนี้ได้เราดีใจมากกก ทนายระบุขอสัมภาษณ์ย่าเราเป้นหลัก พ่อนั่งฟังอยู่โดยตลอด กลับมาเราปรึกษากันว่า โอกาสที่จะมาทางเรานั้นน้อยเต็มที เราไม่อยากให้เค้ารู้ตัวกลัวเค้าจะโอนกรรมสิทธิ์โดยลับหลังเราเลยขอยกเลิกก่อน หลังจากนั้นก่อนถึงเวลาจ่ายงวดที่2 จำนวน5แสนบาทนั้น เราลองโทรหาเพื่อยืนยันอีกรอบ เขายังคงเหมือนเดิม กระโชก ฉุนเฉียว และข่มขู่ (นายทหารเค้าเป็นแแบนี้เหรอ?)แถมข้อความที่ชวนอึ้งว่า ปรึกษาทนายก็เสียเวลาเปล่า และยังจะทำให้รำคาญใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย อาจเปลี่ยนใจได้นะ เราเครียดนี่เค้ารู้ทุกความเคลื่อนไหว เค้าเป้นนายทหารระดับไหนกันแน่ เราเริ่มประมวลเหตุการณ์ต่างๆและเริ่มสืบ สืบจากแหล่งที่พอสืบได้จึงได้รู้ว่า ทหารนายนี้ตระเวณประมูลทรัพย์ตามกองบังคับคดีด้วยตนเองทั้งในตัวจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงในวันและเวลาราชการ รู้จักกันดีกับเจ้าหน้าที่บังคับคดี  ก่อนเลือกทรัพย์เพื่อประมูลจะตระเวณดูทรัพย์ก่อนซึ่งปกติมาก แต่ที่ไม่ปกติคือยิ่งมีเจ้าของทรัพย์อยู่ในที่โดยไม่มีทีท่าจะย้ายออก ซึ่งผิดปกติวิสัยเพราะ คนที่ประมูลทรัพย์ในลักษณะอย่างนี้มักจะไม่สนใจทรัพย์แบบนี้เพราะจะยุ่งยากภายหลัง มีคนโดนแบบนี้อีกหลายราย ตอนนี้มีแต่ความกังวล เครียด หวาดกลัว เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรทางเค้ารู้หมดทุกอย่าง เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จนเราโอนเงินรอบ2ไปให้ เราทำใจดีสู้เสือถามเค้ากลับไปโดยยกตัวอย่างว่าคู่สัญญาไม่ใช่เค้า เค้าเอ่ยปากออกมาเองว่าสัญญาประเภทนี้สามารถไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ที่ดินได้เพราะทางบังคับคดีกันสนง.ที่ดินไม่ได้รับรู้ และสามารถฟ้องได้แค่การฉ้อโกงเท่าไม่มีเหตุให้บังคับโอนกรรมสิทธิ์คืนที่ที่ดิน เราดมโหมากและว่าทำไมเค้าหลอกเราทำสัญญาอย่างนี้ทำไมเพราะเค้ารู้ตั้งแต่แรก(เค้าว่าเค้าจบเนติบัณฑิต) เค้าว่าให้เชื่อใจเค้า เค้าเป็นทหาร ณ.ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าจะเริ่มหาเงินส่วนที่เหลือได้ยังไง หากเราไม่เอาเงินส่วนงวดที่3ยอด7แสนบาทไปจ่ายตามเวลาที่กำหนดเค้าจะริบ8แสนที่จ่ายมาแล้ว ย่าเราจะเป้นยังไง ทุกคนในบ้านจะเป็นยังไง  ถามว่าโพส์เพื่ออะไร? แค่อยากถามว่า เจ้าหน้าที่รัฐในอุดมคติของเพื่อนๆเป้นยังไง?และมีใครมีประสบการณ์ใกล้เคียงแบบเราบ้างมั้ย?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่