‘คณะก้าวหน้า’ ไม่สะท้าน ขอทำงานเดินหน้าชวนคนลง ส.ว.ต่อ ‘ช่อ’ ยัน ดูข้อกฎหมายแล้วไม่ผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4547241
“คณะก้าวหน้า” ไม่สะท้าน ขอทำงานเดินหน้าชวนคนลง ส.ว.ต่อ หลัง กกต.ออกประกาศห้ามจูงใจ-ชี้ชวน “พรรณิการ์” ยัน ดูข้อกฎหมายแล้วไม่ผิด
เมื่อวันที่ 26 เมษายน น.ส.
พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศว่าไม่สามารถจูงใจหรือชี้ชวนบุคคลให้สมัครเป็น ส.ว. ได้ ว่า เรื่องนี้ต้องแยกให้ชัดว่า กกต. กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ วันนี้มีความเคลื่อนไหวจาก กกต. 2 ชุด ชุดแรกเป็นการออกระเบียบของ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ว. โดยระเบียบนี้ ตนอ่านแล้วก็สบายใจว่าสอดคล้องกับที่ประธาน กกต. เคยพูดไว้ว่าการรณรงค์เชิญชวนคนไปสมัคร ส.ว. ของคณะก้าวหน้าไม่ผิดกฎหมายอะไร เพราะก็ทำแบบเดียวกับ กกต. คือเชิญชวนคนไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ตัวระเบียบนี้ก็ออกมาชัดเจนว่าสามารถมีผู้ช่วยแนะนำตัวได้ ซึ่งคล้ายกับผู้ช่วยหาเสียงในกรณีของ ส.ส.
“
ในส่วนของระเบียบไม่ได้มีปัญหาอะไร อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องการแนะนำตัวทางออนไลน์ แต่ภาพรวมตอนอ่านระเบียบ เราก็รู้สึกว่าไม่ได้มีปัญหาหรือกระทบกับแคมเปญ โดยเฉพาะแคมเปญ ส.ว.ประชาชนของคณะก้าวหน้านะคะ” น.ส.
พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.
พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน กกต.ก็ออกประกาศโพสต์ในเฟซบุ๊กอีก ระบุชัดเจนว่าการรวมกลุ่มการแสดงตัวในหน้าเว็บไซต์ไม่ถูกต้อง กกต. เก็บข้อมูลไว้แล้ว มีการกล่าวในลักษณะว่าให้หยุดการกระทำ หากไม่หยุดจะถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งหากเอาให้ชัดคือ “
ไม่ใช่แคมเปญของคณะก้าวหน้า” แต่ กกต.กำลังพุ่งเป้าไปที่เว็บไซต์ Senate 67 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของภาคประชาชน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคณะก้าวหน้า เพียงแต่เวลาเรารณรงค์ให้ประชาชนลงไปสมัคร ส.ว. เราก็เเนะนำว่าให้ไปแสดงตัวในเว็บไซต์นี้ เพราะเป็นข้อมูลเปิด (Open source) ให้ประชาชนเข้าไปดูได้ว่ามีใครบ้าง เพื่อให้ประชาชนทำการบ้านไปก่อน ถือเป็นเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน
“เ
มื่อ กกต. โพสต์เฟซบุ๊กแบบนี้ คำถามแรกก็คือแม้จะไม่ได้กระทบอะไรกับคณะก้าวหน้า แต่ กกต.ใช้อำนาจอะไร เพราะในระเบียบของ กกต. ที่ออกมาในวันเดียวกัน ไม่มีข้อไหนเลยนะคะที่บอกว่าห้าม Senate 67 ไม่สามารถตีความได้เลยว่าเว็บไซต์ Senate 67 ผิดระเบียบข้อไหน แล้วทำให้ตั้งคำถามได้ต่อไปว่า กกต. เอาอำนาจใหม่มาบังคับใช้” น.ส.
พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.
พรรณิการ์ กล่าวอีกว่า เราคงต้องถาม กกต. ไปให้ดังๆ ว่าผิดข้อไหน เพราะในระเบียบไม่ได้ห้าม แต่กลับมาประกาศออกเฟซบุ๊ก
“
ดิฉันก็ไม่รู้ว่าโพสต์ทางเฟซบุ๊ก มันมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายได้อย่างไร ถึงแม้จะเป็นโซเชียลมีเดียของ กกต.ก็ตาม เรื่องนี้ดิฉันคิดว่า กกต. ต้องมีความตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุด กกต.เองมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง หรือสรรหาผู้มีตำแหน่งทางการเมืองทุกครั้งไม่ใช่หรือ Senate 67 ไม่ได้เข้าข้างใคร เป็นเว็บไซต์ที่ใครประสงค์จะสมัครเป็น ส.ว.ก็เข้าไปเสนอตัวได้ทั้งหมด มีแต่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน ถ้า กกต.บอกว่าผิดกฎหมาย ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นการจงใจทางการเมืองแล้วนะคะ” น.ส.
พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.
พรรณิการ์ ตั้งคำถามว่ามีความกังวลอะไรหรือไม่ กลุ่มทางการเมืองใดที่จะได้ประโยชน์จากเว็บไซต์นี้ จึงมีความพยายามที่จะขัดขวาง กลายเป็นว่า กกต.เองหรือไม่ ที่พยายามเล่นการเมืองกับเรื่องนี้
เมื่อถามว่าเป็นการตัดตอนคนที่ประสงค์จะลงสมัครหรือไม่ น.ส.
พรรณิการ์ กล่าวว่า แน่นอนอยู่แล้ว ตนได้ยินข่าวลือมาว่ามีความกังวลมากเรื่อง ส.ว.สีส้ม ตนก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าสีส้มคืออะไรกันแน่ แต่มีความกังวลกันว่าเดี๋ยวจะได้มาเยอะและพยายามหาช่องทางที่จะสกัดกั้น โดยการให้ใบแดงกับบุคคลเหล่านี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เพราะเรื่องยังไม่เกิดขึ้น มันจึงเกิดความพยายามอะไรประหลาดๆขึ้นมา เพื่อจะให้สิ่งถูกกฎหมายแกเป็นสิ่งผิดกฎหมายให้ได้ พร้อมย้ำว่าการรณรงค์ของคณะก้าวหน้าก็ยังดำเนินต่อไป เพราะไม่มีอะไรผิดกฎหมายอยู่แล้ว เป็นเพียงการเชิญชวนให้ประชาชนไปสมัคร และหาก Senate 67 ผิด กกต. สามารถมีระบบรองรับให้ประชาชนเข้าไปดูข้อมูลผู้สมัครได้หรือไม่ เพราะเห็นว่ามีการคาดการณ์ว่ามีผู้สมัคร 300,000 คน
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะไม่มีคนลงชื่อใน Senate 67 น.ส.
พรรณิการ์ กล่าวว่า ตนตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นเจตนารมย์ที่แท้จริงที่ออกประกาศทางเฟซบุ๊ก คือต้องการให้ผู้สมัครกลัว กังวล ถอนชื่อออกไป และไม่ลงชื่อเพิ่ม
“ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร แต่ชัดเจนว่ากลัว ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ก็ต้องมีปฎิบัติการทางจิตวิทยาอะไรบางอย่างที่ทำให้ประชาชนกลัวและถอนชื่อออกไป และไม่ลงชื่อเพิ่ม” น.ส.
พรรณิการ์ กล่าว
ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปนั้น น.ส.
พรรณิการ์ กล่าวว่า ในนามของคณะก้าวหน้าคงเดินหน้าต่อไป และคงต้องถามไปที่ผู้จัดทำเว็บไซต์ Senate 67 ซึ่งเป็นภาคประชาสังคม ทางฝั่งผู้ที่รับผิดชอบเว็บไซต์นี้ควรต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ซึ่งมีหลายช่องทาง ทั้งการถามตรงไปที่ กกต. หรือการฟ้องศาลปกครอง มองว่าเราควรต้องทำ เพราะไม่ควรให้องค์กรอิสระลุแก่อำนาจ ในการทำอะไรที่เกินตัวบทกฎหมาย
สมชัย อัดกกต. อย่าเอาแต่ขู่ อ้างกม.มาด้วย รณรงค์ให้มาสมัครส.ว.มากๆ มันผิดข้อไหน ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4547367
สมชัย อัดกกต. อย่าเอาแต่ขู่ อ้างกม.มาด้วย รณรงค์ให้คนมาสมัครส.ว.มากๆ ผิดข้อไหน ?
กรณี เพจสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)โพสต์ภาพที่มีข้อความว่า “
ไม่สามารถจูงใจหรือชี้ชวนบุคคลให้สมัครเป็นส.ว.ได้” พร้อมเขียนข้อความอ้างว่า “
การกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งจุดยืนของตนเองให้เผยแพร่และปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ใด” อาจมีความผิด ตามที่ได้นำเสนอข่าวนั้น
ล่าสุด (26 เม.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวว่า
“
กกต. ออกข่าวมา บอกว่า การเชิญชวนให้คนมาสมัคร ส.ว. โดยเปิดเว็ปไซต์รวบรวมชื่อ และประวัติคนที่ประสงค์เป็น ส.ว. อาจเป็นความผิด
1. ผิด พ.ร.ป. การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ผิด ระเบียบการเลือก สว. ข้อไหน มาตราไหน มีโทษอย่างไรควรระบุให้ชัดเจนด้วย ไม่ใช่แถลงข่าวลอย ๆ
2. หากเป็นการทำผิดกฎหมายจริง และ กกต. รู้ว่า ใครเป็นผู้เชิญชวน ใครเป็นผู้กระทำ ต้องแจ้งไปยังกลุ่มดังกล่าวให้ยุติการกระทำ หรือหากเป็นความผิดสำเร็จตาม กม.ใด ก็ต้องแจ้งความดำเนินคดี มิฉะนั้น ถือว่า กกต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. การที่ภาคประชาชนมีการเชิญชวนให้คนมาสมัคร ส.ว.มาก ๆ น่าจะเป็นการดีในการขจัดอิทธิพลของการฮั้ว หรือส่งคนลงสมัครของผู้มีอิทธิพล จึงไม่น่าเป็นเรื่องผิด เพราะ กกต.เองก็จะรณรงค์ให้คนมาสมัคร ส.ว. มากๆ เช่นกัน
4. ตราบใดที่ระเบียบการแนะนำตัวของผู้สมัคร ส.ว. ยังไม่มีการประกาศในราชกิจจาฯ การที่บุคคลจะเผยแพร่ประวัติตนเองให้ผู้อื่นรู้ด้วยวิธีการใดก็ตามย่อมไม่เป็นความผิด
ทีหลังจะออกข่าว ให้อิงกฎหมาย อย่าเอาแต่ขู่ครับ”
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid037bgy8DXRhfV4b1faRXM2yWfMpm8q16wJy9NuQs1PQnonNDW8fLfdDjq5hksE9ZD8l
ทำใจ! “ดีเซล” ทะยานต่อเนื่อง หลัง กบน.เบรกตรึงราคา “ค่าขนส่ง-สินค้า” พร้อมใจขึ้น “ประชาชน” ตาดำ ๆ รับกรรม
https://siamrath.co.th/n/531777
จากปัญหาราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง หลังหมดมาตรการตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรจากรัฐบาล โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเกิน 30 บาทต่อลิตร ได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป นั้น ทำให้ราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 30.44 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคขนส่งต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่สูง ซึ่งต้องทำให้มีการปรับราคาค่าขนส่งขึ้น เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ และยังส่งผลต่อราคาสินค้า ที่จำเป็นต้องปรับราคาขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ “นาย
สิรภพ พิชัยรัตนพงศ์” เลขาธิการสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย บอกว่า ขณะนี้ภาคขนส่งปรับขึ้นค่าขนส่งสินค้าแล้ว 3 % จากราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้น แต่หากราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นอีก ก็จะส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วทุกการขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร ส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น 3%
“
ทางสหพันธ์ขนส่งติดตามนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับการดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยหากเป็นการปรับขึ้น 1 ถึง 2 บาท หรือไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร ผู้ประกอบการภาคขนส่งรับมือส่วนต่างต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นได้ จึงอยากให้ภาครัฐดูแลให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่สูงเกิน 32 บาทต่อลิตร แต่หากราคาทะลุไปถึง 34-35 บาทต่อลิตรจะส่งผลอย่างมากต่อภาคการขนส่ง และต้นทุนการขนส่งจากราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นอีก 15% ซึ่งตอนนี้ภาคเอกชน และสหพันธ์ขนส่งกำลังหารือถึงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้รัฐบาลเข้ามาดูแลราคาน้ำมันดีเซลของภาคขนส่ง”
ล่าสุดทางสหพันธ์ขนส่งฯได้ทำหนังสือเพื่อ ขอพบ นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือถึงนโยบายการดูแลราคาพลังงานของรัฐบาล ต้องการทราบแนวนโยบายที่ชัดเจนและ เป้าหมายราคาน้ำมันดีเซล ของทั้งปี 2567 ที่รัฐบาลจะเข้ามาดูแลเพื่อให้ภาคเอกชนสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้
สำหรับต้นทุนภาคการขนส่งทั้งหมดราคาน้ำมันดีเซลถือว่าเป็นสัดส่วนประมาณ 40% โดยปัจจุบันมีรถบรรทุกขนส่งที่ลงทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบกมีประมาณ 1 ล้าน 4 แสนคัน แต่วิ่งขนส่งสินค้าจริงเพียงแค่ 70% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก จึงอยากให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรียลเซ็กเตอร์ ทั้งภาคการผลิตภาคการส่งออกซึ่งถือเป็นสัดส่วนสำคัญของ GDP ถึง 60 ถึง 70%
ขณะที่ “
นายสนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้แนวโน้นต้นทุนวัตถุดิบเช่น น้ำมันดีเซลจะขยับสูงขึ้น โดยที่ภาครัฐจะไม่ต่อมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลแล้วก็ตาม ประกอบกับปัญหาความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงแม้จะส่งผลดีราคาสินค้าส่งออกได้ราคาสูงขึ้น หรือจากสภาพอากาศในปีนี้แล้งและร้อนนาน ส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรน้อย แต่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือว่ากระทบต่อต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศอย่างมาก และในฐานะภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอาหารคงจะพยายามช่วยกันตรึงราคาสินค้าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชนทั่วประเทศให้น้อยที่สุดด้วยเช่นกัน
โดยผลกระทบต้นทุนดังกล่าวภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งหามาตรการต่างๆเข้ามาช่วยเหลือทุกกลุ่มภาคอุตสาหกรรมไม่ให้ได้รับผลกระทบมากจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่องบประมาณปี 2567 สามารถมีผลบังคับใช้จริงต้องการให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อกระจายลงในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แม้จะมีปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น สงครามที่เกิดขึ้นยังมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ตาม ดังนั้นภาคเอกชนไม่อยากเห็นการใช้เงินกองทุนน้ำมันมาพยุงราคาน้ำมันอีกแต่หากจะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้เป็นธรรมยิ่งขึ้นน่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า โดยภาคเอกชนเห็นด้วยที่จะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันที่ใช้อยู่ให้ดีและสอดคล้องกับความเป็นจริง
JJNY : ‘คณะก้าวหน้า’ไม่สะท้าน ขอทำงาน│สมชัยอัดกกต.อย่าเอาแต่ขู่│ทำใจ! “ดีเซล”ทะยานต่อเนื่อง│สหรัฐเตรียมถอนทหารออกจากชาด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4547241
“คณะก้าวหน้า” ไม่สะท้าน ขอทำงานเดินหน้าชวนคนลง ส.ว.ต่อ หลัง กกต.ออกประกาศห้ามจูงใจ-ชี้ชวน “พรรณิการ์” ยัน ดูข้อกฎหมายแล้วไม่ผิด
เมื่อวันที่ 26 เมษายน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศว่าไม่สามารถจูงใจหรือชี้ชวนบุคคลให้สมัครเป็น ส.ว. ได้ ว่า เรื่องนี้ต้องแยกให้ชัดว่า กกต. กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ วันนี้มีความเคลื่อนไหวจาก กกต. 2 ชุด ชุดแรกเป็นการออกระเบียบของ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ว. โดยระเบียบนี้ ตนอ่านแล้วก็สบายใจว่าสอดคล้องกับที่ประธาน กกต. เคยพูดไว้ว่าการรณรงค์เชิญชวนคนไปสมัคร ส.ว. ของคณะก้าวหน้าไม่ผิดกฎหมายอะไร เพราะก็ทำแบบเดียวกับ กกต. คือเชิญชวนคนไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ตัวระเบียบนี้ก็ออกมาชัดเจนว่าสามารถมีผู้ช่วยแนะนำตัวได้ ซึ่งคล้ายกับผู้ช่วยหาเสียงในกรณีของ ส.ส.
“ในส่วนของระเบียบไม่ได้มีปัญหาอะไร อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องการแนะนำตัวทางออนไลน์ แต่ภาพรวมตอนอ่านระเบียบ เราก็รู้สึกว่าไม่ได้มีปัญหาหรือกระทบกับแคมเปญ โดยเฉพาะแคมเปญ ส.ว.ประชาชนของคณะก้าวหน้านะคะ” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส. พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน กกต.ก็ออกประกาศโพสต์ในเฟซบุ๊กอีก ระบุชัดเจนว่าการรวมกลุ่มการแสดงตัวในหน้าเว็บไซต์ไม่ถูกต้อง กกต. เก็บข้อมูลไว้แล้ว มีการกล่าวในลักษณะว่าให้หยุดการกระทำ หากไม่หยุดจะถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งหากเอาให้ชัดคือ “ไม่ใช่แคมเปญของคณะก้าวหน้า” แต่ กกต.กำลังพุ่งเป้าไปที่เว็บไซต์ Senate 67 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของภาคประชาชน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคณะก้าวหน้า เพียงแต่เวลาเรารณรงค์ให้ประชาชนลงไปสมัคร ส.ว. เราก็เเนะนำว่าให้ไปแสดงตัวในเว็บไซต์นี้ เพราะเป็นข้อมูลเปิด (Open source) ให้ประชาชนเข้าไปดูได้ว่ามีใครบ้าง เพื่อให้ประชาชนทำการบ้านไปก่อน ถือเป็นเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน
“เมื่อ กกต. โพสต์เฟซบุ๊กแบบนี้ คำถามแรกก็คือแม้จะไม่ได้กระทบอะไรกับคณะก้าวหน้า แต่ กกต.ใช้อำนาจอะไร เพราะในระเบียบของ กกต. ที่ออกมาในวันเดียวกัน ไม่มีข้อไหนเลยนะคะที่บอกว่าห้าม Senate 67 ไม่สามารถตีความได้เลยว่าเว็บไซต์ Senate 67 ผิดระเบียบข้อไหน แล้วทำให้ตั้งคำถามได้ต่อไปว่า กกต. เอาอำนาจใหม่มาบังคับใช้” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส. พรรณิการ์ กล่าวอีกว่า เราคงต้องถาม กกต. ไปให้ดังๆ ว่าผิดข้อไหน เพราะในระเบียบไม่ได้ห้าม แต่กลับมาประกาศออกเฟซบุ๊ก
“ดิฉันก็ไม่รู้ว่าโพสต์ทางเฟซบุ๊ก มันมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายได้อย่างไร ถึงแม้จะเป็นโซเชียลมีเดียของ กกต.ก็ตาม เรื่องนี้ดิฉันคิดว่า กกต. ต้องมีความตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุด กกต.เองมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง หรือสรรหาผู้มีตำแหน่งทางการเมืองทุกครั้งไม่ใช่หรือ Senate 67 ไม่ได้เข้าข้างใคร เป็นเว็บไซต์ที่ใครประสงค์จะสมัครเป็น ส.ว.ก็เข้าไปเสนอตัวได้ทั้งหมด มีแต่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน ถ้า กกต.บอกว่าผิดกฎหมาย ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นการจงใจทางการเมืองแล้วนะคะ” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ ตั้งคำถามว่ามีความกังวลอะไรหรือไม่ กลุ่มทางการเมืองใดที่จะได้ประโยชน์จากเว็บไซต์นี้ จึงมีความพยายามที่จะขัดขวาง กลายเป็นว่า กกต.เองหรือไม่ ที่พยายามเล่นการเมืองกับเรื่องนี้
เมื่อถามว่าเป็นการตัดตอนคนที่ประสงค์จะลงสมัครหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า แน่นอนอยู่แล้ว ตนได้ยินข่าวลือมาว่ามีความกังวลมากเรื่อง ส.ว.สีส้ม ตนก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าสีส้มคืออะไรกันแน่ แต่มีความกังวลกันว่าเดี๋ยวจะได้มาเยอะและพยายามหาช่องทางที่จะสกัดกั้น โดยการให้ใบแดงกับบุคคลเหล่านี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เพราะเรื่องยังไม่เกิดขึ้น มันจึงเกิดความพยายามอะไรประหลาดๆขึ้นมา เพื่อจะให้สิ่งถูกกฎหมายแกเป็นสิ่งผิดกฎหมายให้ได้ พร้อมย้ำว่าการรณรงค์ของคณะก้าวหน้าก็ยังดำเนินต่อไป เพราะไม่มีอะไรผิดกฎหมายอยู่แล้ว เป็นเพียงการเชิญชวนให้ประชาชนไปสมัคร และหาก Senate 67 ผิด กกต. สามารถมีระบบรองรับให้ประชาชนเข้าไปดูข้อมูลผู้สมัครได้หรือไม่ เพราะเห็นว่ามีการคาดการณ์ว่ามีผู้สมัคร 300,000 คน
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะไม่มีคนลงชื่อใน Senate 67 น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ตนตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นเจตนารมย์ที่แท้จริงที่ออกประกาศทางเฟซบุ๊ก คือต้องการให้ผู้สมัครกลัว กังวล ถอนชื่อออกไป และไม่ลงชื่อเพิ่ม
“ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร แต่ชัดเจนว่ากลัว ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ก็ต้องมีปฎิบัติการทางจิตวิทยาอะไรบางอย่างที่ทำให้ประชาชนกลัวและถอนชื่อออกไป และไม่ลงชื่อเพิ่ม” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปนั้น น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ในนามของคณะก้าวหน้าคงเดินหน้าต่อไป และคงต้องถามไปที่ผู้จัดทำเว็บไซต์ Senate 67 ซึ่งเป็นภาคประชาสังคม ทางฝั่งผู้ที่รับผิดชอบเว็บไซต์นี้ควรต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ซึ่งมีหลายช่องทาง ทั้งการถามตรงไปที่ กกต. หรือการฟ้องศาลปกครอง มองว่าเราควรต้องทำ เพราะไม่ควรให้องค์กรอิสระลุแก่อำนาจ ในการทำอะไรที่เกินตัวบทกฎหมาย
สมชัย อัดกกต. อย่าเอาแต่ขู่ อ้างกม.มาด้วย รณรงค์ให้มาสมัครส.ว.มากๆ มันผิดข้อไหน ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4547367
สมชัย อัดกกต. อย่าเอาแต่ขู่ อ้างกม.มาด้วย รณรงค์ให้คนมาสมัครส.ว.มากๆ ผิดข้อไหน ?
กรณี เพจสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)โพสต์ภาพที่มีข้อความว่า “ไม่สามารถจูงใจหรือชี้ชวนบุคคลให้สมัครเป็นส.ว.ได้” พร้อมเขียนข้อความอ้างว่า “การกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งจุดยืนของตนเองให้เผยแพร่และปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ใด” อาจมีความผิด ตามที่ได้นำเสนอข่าวนั้น
ล่าสุด (26 เม.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวว่า
“กกต. ออกข่าวมา บอกว่า การเชิญชวนให้คนมาสมัคร ส.ว. โดยเปิดเว็ปไซต์รวบรวมชื่อ และประวัติคนที่ประสงค์เป็น ส.ว. อาจเป็นความผิด
1. ผิด พ.ร.ป. การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ผิด ระเบียบการเลือก สว. ข้อไหน มาตราไหน มีโทษอย่างไรควรระบุให้ชัดเจนด้วย ไม่ใช่แถลงข่าวลอย ๆ
2. หากเป็นการทำผิดกฎหมายจริง และ กกต. รู้ว่า ใครเป็นผู้เชิญชวน ใครเป็นผู้กระทำ ต้องแจ้งไปยังกลุ่มดังกล่าวให้ยุติการกระทำ หรือหากเป็นความผิดสำเร็จตาม กม.ใด ก็ต้องแจ้งความดำเนินคดี มิฉะนั้น ถือว่า กกต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. การที่ภาคประชาชนมีการเชิญชวนให้คนมาสมัคร ส.ว.มาก ๆ น่าจะเป็นการดีในการขจัดอิทธิพลของการฮั้ว หรือส่งคนลงสมัครของผู้มีอิทธิพล จึงไม่น่าเป็นเรื่องผิด เพราะ กกต.เองก็จะรณรงค์ให้คนมาสมัคร ส.ว. มากๆ เช่นกัน
4. ตราบใดที่ระเบียบการแนะนำตัวของผู้สมัคร ส.ว. ยังไม่มีการประกาศในราชกิจจาฯ การที่บุคคลจะเผยแพร่ประวัติตนเองให้ผู้อื่นรู้ด้วยวิธีการใดก็ตามย่อมไม่เป็นความผิด
ทีหลังจะออกข่าว ให้อิงกฎหมาย อย่าเอาแต่ขู่ครับ”
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid037bgy8DXRhfV4b1faRXM2yWfMpm8q16wJy9NuQs1PQnonNDW8fLfdDjq5hksE9ZD8l
ทำใจ! “ดีเซล” ทะยานต่อเนื่อง หลัง กบน.เบรกตรึงราคา “ค่าขนส่ง-สินค้า” พร้อมใจขึ้น “ประชาชน” ตาดำ ๆ รับกรรม
https://siamrath.co.th/n/531777
จากปัญหาราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง หลังหมดมาตรการตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรจากรัฐบาล โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเกิน 30 บาทต่อลิตร ได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป นั้น ทำให้ราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 30.44 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคขนส่งต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่สูง ซึ่งต้องทำให้มีการปรับราคาค่าขนส่งขึ้น เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ และยังส่งผลต่อราคาสินค้า ที่จำเป็นต้องปรับราคาขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ “นายสิรภพ พิชัยรัตนพงศ์” เลขาธิการสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย บอกว่า ขณะนี้ภาคขนส่งปรับขึ้นค่าขนส่งสินค้าแล้ว 3 % จากราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้น แต่หากราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นอีก ก็จะส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วทุกการขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร ส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น 3%
“ทางสหพันธ์ขนส่งติดตามนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับการดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยหากเป็นการปรับขึ้น 1 ถึง 2 บาท หรือไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร ผู้ประกอบการภาคขนส่งรับมือส่วนต่างต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นได้ จึงอยากให้ภาครัฐดูแลให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่สูงเกิน 32 บาทต่อลิตร แต่หากราคาทะลุไปถึง 34-35 บาทต่อลิตรจะส่งผลอย่างมากต่อภาคการขนส่ง และต้นทุนการขนส่งจากราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นอีก 15% ซึ่งตอนนี้ภาคเอกชน และสหพันธ์ขนส่งกำลังหารือถึงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้รัฐบาลเข้ามาดูแลราคาน้ำมันดีเซลของภาคขนส่ง”
ล่าสุดทางสหพันธ์ขนส่งฯได้ทำหนังสือเพื่อ ขอพบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือถึงนโยบายการดูแลราคาพลังงานของรัฐบาล ต้องการทราบแนวนโยบายที่ชัดเจนและ เป้าหมายราคาน้ำมันดีเซล ของทั้งปี 2567 ที่รัฐบาลจะเข้ามาดูแลเพื่อให้ภาคเอกชนสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้
สำหรับต้นทุนภาคการขนส่งทั้งหมดราคาน้ำมันดีเซลถือว่าเป็นสัดส่วนประมาณ 40% โดยปัจจุบันมีรถบรรทุกขนส่งที่ลงทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบกมีประมาณ 1 ล้าน 4 แสนคัน แต่วิ่งขนส่งสินค้าจริงเพียงแค่ 70% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก จึงอยากให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรียลเซ็กเตอร์ ทั้งภาคการผลิตภาคการส่งออกซึ่งถือเป็นสัดส่วนสำคัญของ GDP ถึง 60 ถึง 70%
ขณะที่ “นายสนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้แนวโน้นต้นทุนวัตถุดิบเช่น น้ำมันดีเซลจะขยับสูงขึ้น โดยที่ภาครัฐจะไม่ต่อมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลแล้วก็ตาม ประกอบกับปัญหาความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงแม้จะส่งผลดีราคาสินค้าส่งออกได้ราคาสูงขึ้น หรือจากสภาพอากาศในปีนี้แล้งและร้อนนาน ส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรน้อย แต่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือว่ากระทบต่อต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศอย่างมาก และในฐานะภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอาหารคงจะพยายามช่วยกันตรึงราคาสินค้าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชนทั่วประเทศให้น้อยที่สุดด้วยเช่นกัน
โดยผลกระทบต้นทุนดังกล่าวภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งหามาตรการต่างๆเข้ามาช่วยเหลือทุกกลุ่มภาคอุตสาหกรรมไม่ให้ได้รับผลกระทบมากจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่องบประมาณปี 2567 สามารถมีผลบังคับใช้จริงต้องการให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อกระจายลงในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แม้จะมีปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น สงครามที่เกิดขึ้นยังมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ตาม ดังนั้นภาคเอกชนไม่อยากเห็นการใช้เงินกองทุนน้ำมันมาพยุงราคาน้ำมันอีกแต่หากจะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้เป็นธรรมยิ่งขึ้นน่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า โดยภาคเอกชนเห็นด้วยที่จะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันที่ใช้อยู่ให้ดีและสอดคล้องกับความเป็นจริง