สวัสดีค่ะ วันนี้อยากมาขอคำแนะนำค่ะ คือเราเป็นเด็ก68 ที่กำลังจะต้องเตรียมสอบเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
ขอเกริ่นความก่อนนะคะว่า เรื่องนี้เราค่อนข้างเครียดพอสมควรค่ะรบกวนให้คำแนะนำอย่างสุภาพด้วยนะคะ
เรื่องมันเกิดขึ้นจากการที่
ตอนม.ต้นเราเรียนสายวิทย์มาค่ะแบบห้องพิเศษห้องท็อปๆของโรงเรียนเลย แล้วแต่ก่อนในตอนนั้นเราค่อนข้างที่จะอยู่ในกรอบของคุณครู พ่อแม่ ญาติ รวมถึงสถานศึกษาและคนรอบตัวค่ะ เราไม่เคยได้สัมผัสโลกอะไรใหม่ๆเลยนอกจากวิทย์คณิต มันเลยทำให้เรามุ่งไปแต่ทางนั้นอย่างเดียวค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามออกจากกรอบนะคะ เราพยายามค่ะ แต่จะว่าเหตุผลเรามันดูเด็กก็ได้ค่ะ ในตอนนั้นที่เราพยายามออกมา เรากลัวผู้ใหญ่รอบข้างค่ะ ไม่ใช่แค่คำพูดของผู้ใหญ่ แต่สังคมของเพื่อนรอบข้างเรา ทุกคนเข้าสถาบันติว และเรียนพิเศษสอบแข่งขันกันสูงมากๆจนเราไม่กล้าทำอะไรเลยค่ะ นั่นทำให้ตอนม.ปลายเราก็ดันไปเข้าสายวิทย์คณิตอีก
แต่เมื่อเข้ามาใช้ชีวิตม.ปลายมันเหมือนเปิดโลกให้เรามากเลยค่ะ เราได้ลองไปค่ายได้ทำกิจกรรมใหม่ๆ ชีวิตม.4ของเราที่เก็บประสบการณ์คณะ สาขา วิชา มหาวิทยาลัย พื้นที่ สังคม เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจนในที่สุดเราก็เจอสิ่งที่ เราชอบ เราถนัด และเรารักมันค่ะ แต่สิ่งนั้นมันไม่ใช่คณะที่เป็นที่ยอมรับจากที่บ้านสักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังไม่ยอมนะคะ เราพิสูจน์ให้เค้าเห็น เก็บเกียรติบัตร แข่งนั่นแข่งนี่ โชว์สิ่งที่เราทำได้ให้เค้าดู จนมาถึงม.5ในที่สุดเค้าก็ยอมรับค่ะ เราเก็บผลงานหนัก แล้วศึกษารวมถึงอ่านหนังสือในส่วนนั้นหนักมากๆ เราเป็นแบบนั้นจนกระทั่งปลายเดือนกุมภาค่ะ
ช่วงนั้นคือช่วงปิดเทอมแรกๆ เรายังคงเก็บผลงานและอ่านหนังสือศึกษาข้อมูลการสอบ หอพัก การเดินทาง ค่าใช้จ่าย สังคม หลักสูตร วิชาที่ต้องใช้สอบ เราศึกษาทุกอย่างหนักมากๆจนเรามองว่ามันเป็นสิ่งที่เรารักไปเลย
ไม่ใช่ว่าเราไม่เหนื่อยนะคะ แต่ต่อให้ลำบากแค่ไหน เราก็ยังคงทำมันต่อไปถึงแม้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่เราจะติยังไงค่ะ ตอนนั้นเราจำได้เลยว่าเราเข้มแข็งและพร้อมสู้มาก เรามักจะเล่าอะไรใหม่ๆที่เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเข้ามหาวิทยาลัยให้พ่อแม่เราฟังเสมอค่ะ
จนกระทั่งต้นเดือนมีนาที่ผ่านมา จู่ๆเค้าก็เสียงแข็งเด็ดขาดกับเราว่า ห้ามเราเข้าคณะ สาขานี้ ไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยอะไร ไม่ว่าจะมีทุนจะกู้จะดีเลิศแค่ไหน เค้าไม่อนุญาตให้เราเรียนเลยค่ะ ในตอนนั้นที่บ้านของเราก็อยู่ในช่วงที่ค่อนข้างยากลำบากด้วยในส่วนนี้ขอไม่เล่าละเอียดนะคะ
นั่นแหละค่ะ พอเค้าพูดแบบนั้นเราก็ตกใจมากๆ เพราะเหมือนที่เราทำมาทั้งหมดมันพังลงในไม่กี่นาที เราสับสนและร้องไห้จมดิ่งอยู่แบบนั้นสี่วัน ระหว่างนั้นเราโน้มน้าวมาตลอดนะคะ แต่มันไม่เป็นผลเลย เค้าจะให้เราเข้ามหาวิทยาลัย คณะ สาขา แค่ที่เค้าเลือกให้เท่านั้น
อ่านมาจนถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะผิดหวังในตัวเรานะคะ เราไม่สามารถเถียงเค้าได้เลยค่ะ เราขอคำปรึกษาจากหลายคนมากว่าควรทำยังไงดี นั่นก็เป็นเพราะเราเป็นลูกคนเดียวและพวกเค้าอายุมากกันมากแล้วค่ะ นั่นแสดงว่าการเลือกของเราสามารถเปลี่ยนชีวิตของครอบครัวเราได้เลย สิ่งที่เค้าขอคือสิ่งที่เราเลี่ยงมาตลอดค่ะ เราไม่รู้จะโกรธพวกท่านได้หรือเปล่า แต่ก็สับสนว่าความเป็นจริงแล้วเรากำลังใช้ชีวิตแบบนี้เพื่อใครกันแน่
เราเสียใจค่ะ เราเหนื่อยมากๆ เราพยายามลองทำตามที่พวกท่านขอด้วยการศึกษาหลักสูตร การปรึกษารุ่นพี่คณะนั้น การศึกษาคะแนนสอบที่ต้องใช้ยื่น มันเหมือนกันทุกอย่างต้องเริ่มใหม่เลยค่ะ และการเริ่มต้นใหม่นั้นเราไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ชอบ แต่เรารู้สึกทรมานและฝืนตัวเองมากๆเลย
แล้วช่วงนี้เราไม่สามารถโฟกัสกับการอ่านหนังสือและเก็บผลงานได้เลยค่ะ มันเหมือนกับว่าเราไม่สามารถตั้งสมาธิกับอะไรได้อีก ทรมานมากเลยค่ะ เจ็บปวดมากจริงๆ เรารักครอบครัวของเรามาก แต่เราก็รักอนาคตของเรามากเช่นกัน เราควรทำยังไงดีค่ะ
คณะที่เราอยากเข้า กับคณะที่บ้านอยากให้เข้า
ขอเกริ่นความก่อนนะคะว่า เรื่องนี้เราค่อนข้างเครียดพอสมควรค่ะรบกวนให้คำแนะนำอย่างสุภาพด้วยนะคะ
เรื่องมันเกิดขึ้นจากการที่
ตอนม.ต้นเราเรียนสายวิทย์มาค่ะแบบห้องพิเศษห้องท็อปๆของโรงเรียนเลย แล้วแต่ก่อนในตอนนั้นเราค่อนข้างที่จะอยู่ในกรอบของคุณครู พ่อแม่ ญาติ รวมถึงสถานศึกษาและคนรอบตัวค่ะ เราไม่เคยได้สัมผัสโลกอะไรใหม่ๆเลยนอกจากวิทย์คณิต มันเลยทำให้เรามุ่งไปแต่ทางนั้นอย่างเดียวค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามออกจากกรอบนะคะ เราพยายามค่ะ แต่จะว่าเหตุผลเรามันดูเด็กก็ได้ค่ะ ในตอนนั้นที่เราพยายามออกมา เรากลัวผู้ใหญ่รอบข้างค่ะ ไม่ใช่แค่คำพูดของผู้ใหญ่ แต่สังคมของเพื่อนรอบข้างเรา ทุกคนเข้าสถาบันติว และเรียนพิเศษสอบแข่งขันกันสูงมากๆจนเราไม่กล้าทำอะไรเลยค่ะ นั่นทำให้ตอนม.ปลายเราก็ดันไปเข้าสายวิทย์คณิตอีก
แต่เมื่อเข้ามาใช้ชีวิตม.ปลายมันเหมือนเปิดโลกให้เรามากเลยค่ะ เราได้ลองไปค่ายได้ทำกิจกรรมใหม่ๆ ชีวิตม.4ของเราที่เก็บประสบการณ์คณะ สาขา วิชา มหาวิทยาลัย พื้นที่ สังคม เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจนในที่สุดเราก็เจอสิ่งที่ เราชอบ เราถนัด และเรารักมันค่ะ แต่สิ่งนั้นมันไม่ใช่คณะที่เป็นที่ยอมรับจากที่บ้านสักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังไม่ยอมนะคะ เราพิสูจน์ให้เค้าเห็น เก็บเกียรติบัตร แข่งนั่นแข่งนี่ โชว์สิ่งที่เราทำได้ให้เค้าดู จนมาถึงม.5ในที่สุดเค้าก็ยอมรับค่ะ เราเก็บผลงานหนัก แล้วศึกษารวมถึงอ่านหนังสือในส่วนนั้นหนักมากๆ เราเป็นแบบนั้นจนกระทั่งปลายเดือนกุมภาค่ะ
ช่วงนั้นคือช่วงปิดเทอมแรกๆ เรายังคงเก็บผลงานและอ่านหนังสือศึกษาข้อมูลการสอบ หอพัก การเดินทาง ค่าใช้จ่าย สังคม หลักสูตร วิชาที่ต้องใช้สอบ เราศึกษาทุกอย่างหนักมากๆจนเรามองว่ามันเป็นสิ่งที่เรารักไปเลย
ไม่ใช่ว่าเราไม่เหนื่อยนะคะ แต่ต่อให้ลำบากแค่ไหน เราก็ยังคงทำมันต่อไปถึงแม้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่เราจะติยังไงค่ะ ตอนนั้นเราจำได้เลยว่าเราเข้มแข็งและพร้อมสู้มาก เรามักจะเล่าอะไรใหม่ๆที่เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเข้ามหาวิทยาลัยให้พ่อแม่เราฟังเสมอค่ะ
จนกระทั่งต้นเดือนมีนาที่ผ่านมา จู่ๆเค้าก็เสียงแข็งเด็ดขาดกับเราว่า ห้ามเราเข้าคณะ สาขานี้ ไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยอะไร ไม่ว่าจะมีทุนจะกู้จะดีเลิศแค่ไหน เค้าไม่อนุญาตให้เราเรียนเลยค่ะ ในตอนนั้นที่บ้านของเราก็อยู่ในช่วงที่ค่อนข้างยากลำบากด้วยในส่วนนี้ขอไม่เล่าละเอียดนะคะ
นั่นแหละค่ะ พอเค้าพูดแบบนั้นเราก็ตกใจมากๆ เพราะเหมือนที่เราทำมาทั้งหมดมันพังลงในไม่กี่นาที เราสับสนและร้องไห้จมดิ่งอยู่แบบนั้นสี่วัน ระหว่างนั้นเราโน้มน้าวมาตลอดนะคะ แต่มันไม่เป็นผลเลย เค้าจะให้เราเข้ามหาวิทยาลัย คณะ สาขา แค่ที่เค้าเลือกให้เท่านั้น
อ่านมาจนถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะผิดหวังในตัวเรานะคะ เราไม่สามารถเถียงเค้าได้เลยค่ะ เราขอคำปรึกษาจากหลายคนมากว่าควรทำยังไงดี นั่นก็เป็นเพราะเราเป็นลูกคนเดียวและพวกเค้าอายุมากกันมากแล้วค่ะ นั่นแสดงว่าการเลือกของเราสามารถเปลี่ยนชีวิตของครอบครัวเราได้เลย สิ่งที่เค้าขอคือสิ่งที่เราเลี่ยงมาตลอดค่ะ เราไม่รู้จะโกรธพวกท่านได้หรือเปล่า แต่ก็สับสนว่าความเป็นจริงแล้วเรากำลังใช้ชีวิตแบบนี้เพื่อใครกันแน่
เราเสียใจค่ะ เราเหนื่อยมากๆ เราพยายามลองทำตามที่พวกท่านขอด้วยการศึกษาหลักสูตร การปรึกษารุ่นพี่คณะนั้น การศึกษาคะแนนสอบที่ต้องใช้ยื่น มันเหมือนกันทุกอย่างต้องเริ่มใหม่เลยค่ะ และการเริ่มต้นใหม่นั้นเราไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ชอบ แต่เรารู้สึกทรมานและฝืนตัวเองมากๆเลย
แล้วช่วงนี้เราไม่สามารถโฟกัสกับการอ่านหนังสือและเก็บผลงานได้เลยค่ะ มันเหมือนกับว่าเราไม่สามารถตั้งสมาธิกับอะไรได้อีก ทรมานมากเลยค่ะ เจ็บปวดมากจริงๆ เรารักครอบครัวของเรามาก แต่เราก็รักอนาคตของเรามากเช่นกัน เราควรทำยังไงดีค่ะ