โรงแรมผี

สวัสดีค่ะทุกๆคนวันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์หลอนหลอนที่เจอกับตัวเองครั้งแรกในชีวิตเราอยู่นราธิวาส เริ่มเรื่องก่อนนะคะเมื่อประมาณพฤศจิกายนปี 2564 เราได้เดินทางไปทำธุระกับแฟนและพี่พี่ญาติของแฟนที่อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา คือต้องบอกก่อนว่าการเดินทางจากนราธิวาสไปหาดใหญ่ใช้เวลาประมาณ2-3 ชั่วโมงเราก็เลยตัดสินใจว่าเสร็จธุระแล้วจะนอนที่หาดใหญ่หนึ่งคืนแล้วพอรุ่งเช้าเราจะเที่ยวก่อนถึงจะกลับนราธิวาส  ซึ่งตอนนั้นเราไปกันประมาณ 10 คน   แล้วพี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของแฟนเค้าก็ได้จัดแจงจองโรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองหาดใหญ่ซึ่งโรงแรมเนี่ยถ้ารูปลักษณ์ภายนอกดูสะอาดดูใหม่ดูหรูหราและแถมราคาไม่แพงเราก็เลยจองห้องกันประมาณ4ห้อง ซึ่งวันนั้นได้เช็คอินเข้าโรงแรมในช่วงเย็น ทั้งสี4ห้องเราได้ห้องอยู่ชั้น4ด้วยกันหมดเลย ด้วยความที่ไปถึงห้องเราก็สำรวจห้องก่อนว่าสะอาดตามประสา แล้วนึกขึ้นได้ว่าเราได้สมัครสอบท้องถิ่นไว้ซึ่งวันสอบตรงกับเดือนธันวาพอดี จะมีพี่ที่ทำงานไปสอบกับเราด้วยประมาณอีก3คน ซึ่งหนึ่งในสามคนเค้าจะแยกตัวออกไปนอนกับแฟนอีกโรงแรมหนึ่งแล้วทีนี้ก็จะมีเราและพี่อีกสองคนตกลงกันว่าจะหาโรงแรมนอนด้วยกัน1ห้อง แล้วโรงแรมที่เรามาพักมันก็โอเคก็เลยราคาก็ถูกเลยโทรไปถามพี่ที่ทำงานว่าเราจะจองโรงแรมเนี่ยโอเคไหม พี่เค้าตกลงก็เลยชวนพี่ที่มาด้วยกันพร้อมแฟนลงไปที่ล็อบบี้เพื่อสอบถามว่ามีห้องว่างเหลือไหมสรุปได้ความว่าห้องเต็มก็เลยกลับขึ้นมาบนห้องแต่ก่อนกลับมันมีลิฟท์อยู่สองตัวซึ่งลิฟท์แรกพี่กับแฟนขึ้นกันแล้วมันเต็มเราก็เลยเสียสละตัวเองขึ้นลิฟท์อีกตัวนึงคนเดียวก็เลยกดขึ้นชั้นสี่ห้องที่เรา พักแต่อยู่อยู่ลิฟท์ไปหยุดอยู่ที่ชั้นสามพอประตูลิฟท์เปิดกลับไม่มีใครอยู่ที่หน้าประตูลิฟนั้นเราก็เลยคิดว่าสงสัยเค้าคงขึ้นลิฟท์อีกตัวนึงไปแล้วมั้งก็เลยกดคาไว้ แต่ด้วยความที่เราไม่เชื่อโรงแรมว่าห้องมันจะเต็มก็เลยเซิร์ชหาใน Google เข้าแอพนึงว่าโรงแรมนี้มีห้องว่างหลงเหลืออีกไหม สรุปมีห้องว่างอีกหนึ่งห้องด้วยความที่เราอยากได้ห้องพักโรงแรมนี้อยู่แล้วก็เลยรีบจองพร้อมจ่ายตังค์เรียบร้อย คืนนั้นก็นอนพักผ่านไปได้ด้วยดี จบวันนั้นไป มาถึงวันที่เราต้องเดินทางไปสอบท้องถิ่นซึ่งสอบท้องถิ่น ต้องเดินทางไปล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนสอบเพราะว่านราธิวาสมันไกลกับหาดใหญ่แล้วสอบมีตอนเช้ากลัวไม่ทันก็เลยต้องไปนอนที่นั่นสองคืนเราก็นั่งรถไฟไปกับพี่ที่ทำงานไปถึงหาดใหญ่ ก็แวะทานข้าวกันเสร็จเลยเดินทางไปที่โรงแรมนั้นที่เราจองไว้ที่ล็อบบี้จะเช็คอินเข้าห้องสรุปว่าห้องยังทำความสะอาดไม่เสร็จเราก็เลยนั่งรออยู่บริเวณแถวล็อบบี้ตรงนั้น จนถึงเวลาที่เราได้ขึ้นไปห้องพัก ห้องพักนี้จะอยู่ชั้นสามของโรงแรมแห่งนั้นพอเราเข้าไปความรู้สึกมันไม่เหมือนวันก่อนที่เรามานอนพักเลยที่นอนดูไม่สะอาดเหมือนไม่ได้ผ่านการทำความสะอาด แล้วมันจะมีเสาปูนใหญ่อยู่กลางห้องติดกับเตียงนอนในห้องพักนั้น ก็สงสัยว่าทำไมเสาปูนถึงมาอยู่กลางห้องทั้งที่วันก่อนที่เรามานอนชั้น4ยังไม่มีเลย ด้วยความที่เดินทางมันเหนื่อยบวกกับความเหนื่อยเราก็เลยนอนเล่นอยู่บนที่นอนพร้อมกับเอาเท้าพาดไปที่เสาปูนต้นนั้นพี่ที่มาด้วยกันก็แซวว่าเสานั้นมีอะไรหรือเปล่าเอาเท้าไปพาดแบบนั้นจะเจออะไรไหม ตัวเราเองก็ไม่ได้เอะใจก็ยังพาดอยู่อย่างนั้นแล้วแถมกอดเสานั้นแกล้งพี่ๆเขาด้วย พอคืนนั้นก่อนนอนเราก็สวดมนต์ปกติพร้อมสวดบทของท้าวเวสสุวรรณขอให้เจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองให้นอนฝันดีไม่สิ่งไม่ดีเข้ามาวุ่นวายคืนนั้นก็หลับไปปกติจนถึงตอนเช้าเราก็อาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวไปสอบ วันนั้นเรามีสอบทั้งวันจึงทำให้เหนื่อยล้าและเพลียมากพอหลังจากสอบเสร็จก็ไปหาข้าวกินแล้วก็กลับที่พักกัน ด้วยความที่เหนื่อยก็เลยอาบน้ำแล้วนอนเลยไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน แค่ยกมือไหว้ขอให้นอนฝันดีไม่มีอะไรรบกวนแค่นั้นพอตกกลางดึกเราก็มีความรู้สึกไม่รู้ว่าฝันหรือกึ่งหลับกึ่งตื่นแต่รู้สึกตัวเองว่าขยับตัวไม่ได้พูดก็ไม่ได้ลืมตาก็ไม่ได้แล้วในหูได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชายคนนึงซึ่งเราไม่เห็นตัวว่าเป็นใครกำลังกระโดดอยู่บนเตียงที่เรานอนทั้งกระโดดทั้งหัวเราะ เราลืมบอกไปว่าตัวเราเองนอนริมเตียงกับเสาปูนต้นนั้น ทีนี้ก็รู้สึกกลัวไม่รู้จะทำยังไงทีนี้เลยนึกถึงบทสวดของปู่ท้าวเวสสุวรรณ “อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ”
พอถึงคำสุดท้าย คือคำว่า นะโมพุทธายะในตาเห็นเป็นหน้าปู่ท้าวเวสสุวรรณสีเขียวลอยมาแต่คำนั้นเหมือนตัวเราตะโกนออกไปเสียงดังลั่นห้อง นะโมพุทธายะเสียงหัวเราะนั้นกรีดร้องด้วยความกลัวแล้วหายไปพร้อมกับเราขยับตัวลืมตาได้แล้วหายใจเหนื่อยเหมือนต่อสู้กับอะไรบางอย่างเหมือนเฮือกออกมา เลยลืมตาหันไปไปดูข้างข้างพี่ที่นอนด้วยกันกลับไม่ได้ยินเสียงที่เราพูดและยังนอนปกติเลยทำให้รู้สึกกลัวๆว่ามันจะกลับมาอีกมั้ยแต่ด้วยความที่เราเพลียก็เลยนอนหลับต่อจนถึงเช้าก็มาเล่าให้พี่ที่นอนด้วยกันฟังเขาว่าเพราะเราเอาเท้าไปพาดเสาปูนมั้ยเลยทำให้เขาไม่พอใจรึเปล่าเลยมาหลอก เราก็ด้วยความที่โมโหที่มาหลอกก็ต่อว่าไปต่างๆนาๆตามประสาแล้วก็เช็คเอ้าท์ออกจากห้องก่อนออกก็บอกด้วยว่าไม่ต้องตามมานะไม่อยากเจอ พอทีนี้กลับไปถึงบ้านก็ไปเล่าให้แฟนฟัง แฟนก็พูดเหมือนพี่ที่ทำงานเราว่าเพราะเราเอาเท้าไปพาดเสาต้นนั้นรึเปล่าเขาเลยโกรธมาหลอก แฟนก็เลยทักหาพี่คนนึงที่รู้จักเขาเป็นคนสงขลาเล่าเรื่องให้ฟังแล้วถามว่าโรงแรมนี้ประวัติเป็นมายังไงก็ได้ความคร่าวๆว่าโรงแรมนี้ผีดุนะต่างชาติมาพักเยอะห้องที่เรานอนมีคนเคยฆ่าตัวตาย เท่านั้นเลยค่ะขนลุกไปทั้งตัวไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้เลยย้อนนึกไปครั้งแรกที่มาพักโรงแรมนี้ตอนที่เราขึ้นลิฟท์ไปชั้น4แต่ลิฟท์ดันไปหยุดชั้น3แถมเปิดมาไม่มีใครเลยทำให้เรากลับมาโรงแรมนี้อีกครั้งพร้อมกับได้ห้องพักชั้น3ทำให้สงสัยว่ามันแค่เรื่องบังเอิญหรืออะไรทำให้เรามาเจอเรื่องหลอนๆแบบนี้ ขนาดว่าพนักงานบอกแล้วว่าห้องเต็มเราก็ยังดึงดันหาจองห้องพักจนได้แล้วเหลือห้องสุดท้ายไว้รอเรารึเปล่า นี่ก็เป็นเรื่องราวหลอนครั้งแรกในชีวิตเลยที่พอนึกถึงหรือพูดถึงที่ไรเป็นต้องขนลึกทุกทีเลยค่ะ ยาวไปนิดต้องขออภัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่