Putin Doctrine,บทเรียนจาก "Appeasement Policy" ที่ซูเดเทินแลนด์สู่ "Non-appeasement Policy" ที่ยูเครน

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงการยอมแพ้ของชาวยูเครน การยอมแพ้จะเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับพวกเขา และจะนำมาซึ่งอันตรายต่อพวกเราทุกคน เพราะรัสเซียจะเรียนรู้จากการทำสงครามครั้งนี้ว่าการใช้กำลังทางทหารคร่าชีวิตผู้คนหลายพัน และรุกรานประเทศอื่นจะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ นี่จะทำให้การใช้กำลังทางทหารเป็นทางเลือกที่น่ากระทำอีกครั้งและการกระทำเช่นนี้ยังถูกจับตามองอย่างไกล้ชิดจากจีน เพราะฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงที่ผู้นำอำนาจนิยมอื่น ๆ จะทำตาม หากปูตินได้รับในสิ่งที่ต้องการจากการทำสงครามในยูเครน” -Jens Stoltenberg; เลขาธิการนาโต้-
 
ถ้อยคำการให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ของเลขาธิการนาโต้ต่อกรณีการประทานบทสัมภาษณ์ของสมเด็จพระสันตปาปาว่า “ยูเครนควรยกธงขาวแล้วเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อให้สันติภาพบังเกิด” ได้ย้อนภาพจำของผมต่อการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของชาติมหาอำนาจยุโรปในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงที่ชาติมหาอำนาจยุโรปจะไม่มีวันใช้มันอีก นั่นคือนโยบาย “Appeasement Policy” หรือ “โยบายยอมตามใจ” ที่ชาติมหาอำนาจยุโรปนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกับเยอรมนี จากการที่ Adolf Hitler ได้ผนวกดินแดนของรัฐต่าง ๆ ตั้งแต่ ออสเตรีย ซูเดเทินแลนด์ เชโกสโลวาเกีย เมเมล และดานซิก โดยชาติมหาอำนาจเชื่อว่าหากผู้นำเยอรมนีได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วเขาจะหยุด แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะ “Appeasement Policy” ได้ embolden ฮิตเลอร์ กล่าวคือแทนที่เขาจะรับรู้ถึงความประนีประนอมเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามใหญ่ของชาติมหาอำนาจและหยุดรุกรานรัฐอื่น กลับกลายเป็นว่านโยบายดังกล่าวทำให้ฮิตเลอร์เห็นว่าชาติมหาอำนาจนั้นอ่อนแอ และคงไม่มีวันที่จะกล้าเผชิญหน้ากับเยอรมนีในแบบ direct conflict ดังนั้น ฮิตเลอร์ที่กำลังฮึกเหิมจึงตัดสินใจบุกโปแลนด์ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาดลงและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ถามว่าบทเรียนดังกล่าวสอนอะไรให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกในปัจจุบัน ใช่หรือไม่ที่มันทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่า “การยอมตามใจ” ผู้นำอำนาจนิยมที่มีความต้องการ “รื้อฟื้น” ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเดิมให้กลับคืนมา เป็นเสมือนการเติมเชื้อเพลิงแห่งความฮึกเหิมให้ผู้นำประเภทนี้รุกรานรัฐอื่นไม่มีหยุด หนทางเดียวที่จะหยุดผู้นำอำนาจนิยมคือการมอบอาวุธให้รัฐที่ถูกกองทัพของเขารุกราน เพราะเหตุการณ์ในอดีตสอนว่าต่อให้ผู้นำอำนาจนิยมได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วเขาก็จะไม่หยุดอยู่แค่นั้น ดังนั้น (ผมเชื่อว่า) บทเรียนดังกล่าวได้นำมาสู่ทิศทางการกำหนดนโยบายของชาติมหาอำนาจตะวันตกในปัจจุบันต่อกรณีของสงครามรัสเซีย-ยูเครน นั่นคือนโยบาย “Non-appeasement Policy” หรือ “นโยบายไม่ยอมตามใจ” ดังจะเห็นได้จากการที่พวกเขาให้การสนับสนุนทางการทหารแก่ยูเคนอย่างต่อเนื่อง และพูดอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ยอมให้ “รัสเซียชนะในสงครามนี้”
 
ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้รู้ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญใด ๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ผมเป็นเพียงคนที่สนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และชอบอ่านหนังสือประเภทนี้ เพราะมันทำให้ผมเห็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติและการแข่งขันกันของรัฐมหาอำนาจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่บ่อยครั้งมักจะจบลงที่ “สงคราม” ซึ่งรัฐมหาอำนาจแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อให้ตนเป็นผู้ถือธงนำในการ “จัดระเบียบโลก” โดยชุดข้อมูลในที่นี้เป็นการนำความคิดเห็นส่วนตัวมาประกบเข้ากับถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ข้างต้นของเลขาธิการนาโต้ที่ผมมองว่ามันเข้ากันได้พอดิบพอดี สำทับด้วยข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือชื่อ “สงครามยูเครน สงครามร้อนแรกในสงครามเย็นใหม่” ที่ผมได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นหากมีท่านใดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เชิญแลกเปลี่ยนด้วยความสุภาพ ให้เกียรติ ไม่ยกความเห็นตนข่มคนอื่นว่าของข้าถูกของคนอื่นผิด เพราะ "รัฐศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่คำตอบที่ถูกต้องจะมีเพียงหนึ่งเดียว"
--------------------
“การขยายอิทธิพลของรัสเซียต่อยูเครนมิใช่เพียงการรุกเพื่อผนวกดินแดนเช่นในกรณีของไครเมีย หรือการแทรกแซงในดอนบาสในปี ค.ศ. 2014 หากแต่สงครามครั้งนี้เป็นการรุกทางทหารที่พุ่งเป้าไปสู่ยูเครนโดยตรง อันมีนัยถึงการท้าทายต่อ "การจัดระเบียบยุโรป" ในยุคหลังสงครามเย็น ทั้งยังเป็นสัญญาณถึงการกลับมาของรัสเซียในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งรัสเซียเชื่อว่าการเปิดสงครามครั้งนี้เป็นเสมือนกับ “การทวงสิทธิ์” ของรัสเซียในเวทียุโรป”  -ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. สุรชาติ บำรุงสุข-
 
ต้นเหตุความขัดแย้ง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อันส่งผลให้อำนาจรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตสิ้นสุดลงไปพร้อมกับการยุติของสงครามเย็น การล่มสลายของสหภาพโซเวียตครั้งนั้นทำให้พื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองแต่เดิมมีโอกาสแยกตัวออกเป็น "รัฐเอกราชใหม่" และหนึ่งในนั้นคือ "ยูเครน"
 
ดังนั้นหากถอยกลับไปพิจารณาถึงสถานการณ์การสิ้นสุดของสงครามเย็น สิ่งที่เป็นผลตามมาอย่างชัดเจนคือ การสิ้นสภาวะของการเป็น "รัฐมหาอำนาจใหญ่" อันมีนัยโดยตรงว่ารัสเซียซึ่งเกิดตามมาจากการล่มสลายดังกล่าว ไม่ได้รับการยอมรับถึงความเป็น "รัฐมหาอำนาจ" เช่นในอดีต
 
ผลจากการสิ้นสุดของสงครามเย็นที่ตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตจึงกลายเป็นโอกาสทางการเมืองครั้งใหญ่ให้แก่ "องค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ" (นาโต้) ขยายพื้นที่ของรัฐสมาชิกออกไปทางตะวันออก ด้วยการไปดึงเอารัฐเอกราชใหม่ที่เคยตกอยู่ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของโซเวียตในยุคสงครามเย็นเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ การขยายสมาชิกของนาโต้ในครั้งนี้ถูกมองจากฝ่ายรัสเซียว่าเป็น "ภัยคุกคามสำคัญ" ต่อสถานะด้านความมั่นคงของรัสเซียในยุคหลังสงครามเย็น เพราะเป็นเสมือนการ "รุกประชิดของฝ่ายตะวันตก" ต่อรัสเซียโดยตรง ซึ่งแต่เดิมในยุคสงครามเย็นนั้นพื้นที่ด้านยุโรปตะวันออกทำหน้าที่เป็นดัง "พื้นที่กันชน" ในทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อขวางกั้นภัยคุกคามของตะวันตก
 
นอกจากนี้ในมุมมองของฝ่ายรัสเซีย “สถาปัตยกรรมด้านความมั่นคง” ของยุโรปในยุคหลังสงครามเย็นวางอยู่บนมิติ “ความมั่นคงยุโรป – แอตแลนติก” และการออกแบบระเบียบเช่นนี้มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือธงนำ จนรัสเซียมีความรู้สึกว่าตนไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายตะวันตกให้เข้ามาร่วมในการออกแบบ อันทำให้เกิดทัศนะว่าระเบียบการเมืองและความมั่นคงของยุโรปยุคหลังสงครามเย็นเป็นผลผลิตโดยตรงของฝ่ายตะวันตก ในขณะเดียวกันผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดีปูตินก็ถือว่ารัสเซียไม่มีพันธะใด ๆ ที่จะต้องยอมรับต่อระเบียบใหม่เช่นนี้ ดังนั้นเมื่อรัสเซียสามารถที่จะฟื้นสถานะทางการเมืองของตนเองในเวทีการเมืองโลกได้แล้ว รัสเซียจึงแสดงตนในการเป็น “ผู้ท้าทาย” ต่อการจัดระเบียบดังกล่าว อีกทั้งประธานาธิบดีปูตินเองมักจะกล่าวในเวทีสาธารณะเสมอว่า การจัดระเบียบที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนรัสเซียถูกละเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การละเลยต่อความกังวลด้านความมั่นคงของรัสเซีย อีกทั้งผู้นำรัสเซียยังเรียกร้องให้ฝ่ายตะวันตกยอมรับถึง "สิทธิพิเศษของรัสเซีย" ในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะมีอิทธิพลเหนือพื้นที่ที่สหภาพโซเวียตเคยครอบครองไว้แต่เดิม
 
ในอีกด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า การการแสดงออกครั้งนี้คือภาพสะท้อนของปัญหาที่คาใจผู้นำรัสเซียถึงสามทศวรรษแล้ว และยังเป็นการยืนยันการกลับสู่ความเป็น "รัฐมหาอำนาจของรัสเซีย" ในเวทีการเมืองโลกปัจจุบัน อันส่งผลให้ "การทวงสิทธิ์" ด้วยการท้าทายต่อระเบียบที่ฝ่ายตะวันตกเป็นผู้ออกแบบนั้น เป็นความชอบธรรมที่ต้องดำเนินการ เพื่อหยุดยั้งการขยายสมาชิกภาพของนาโต้ไปสู่รัฐที่เคยอยู่ภายใต้ร่มธงของสหภาพโซเวียต และจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การแสวงหาหนทางที่จะจัดทำ “สถาปัตยกรรมด้านความมั่นคง” ของยุโรปที่มิใช่สิ่งที่เป็นผลผลิตเดิมจากโลกตะวันตก
 
Putin Doctrine
การแสดงออกในเชิงนโยบายของรัสเซียเช่นนี้ เราอาจเรียกว่าเป็น “หลักการปูติน” (Putin Doctrine) ที่รัสเซียต้องการเห็นฝ่ายตะวันตกยอมรับสถานะของตนเช่นในยุคสงครามเย็น กล่าวคือรัสเซียต้องการได้รับการยอมรับในฐานะของการเป็น "รัฐมหาอำนาจใหญ่" ที่ควรได้รับการยอมรับและเป็นที่เกรงขาม อีกทั้งโลกตะวันตกควรจะต้องยอมรับต่อ "สิทธิพิเศษ" ในทางภูมิรัฐศาสตร์เหนือพื้นที่ที่เป็นรัฐเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้ร่มธงของสหภาพโซเวียต ขณะเดียวกันรัฐเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็ควรยอมรับถึงสถานะของการเป็นรัฐที่อยู่ใน “เขตอิทธิพล” ของรัสเซียด้วย และหากมีความจำเป็นรัสเซียอาจใช้ "มาตรการทางทหาร" ในการแก้ปัญหา
 
"หลักการปูติน" (Putin Doctrine) จึงเป็นความพยายามของการ "พลิกฟื้น" สถานะของรัสเซียในยุคหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และสร้างการยอมรับใหม่ต่อความเป็น "รัฐมหาอำนาจใหญ่" ในปัจจุบัน โดยหวังว่าการออกแบบระเบียบใหม่ของยุโรปในอนาคตจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัสเซีย อักทั้งยังเป็นความหวังอย่างมากว่าบทบาทของรัสเซียจะต้องเป็นปัจจัยที่รัฐอื่น ๆ ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศต้องให้ "ความยำเกรง"
 
ดังนั้นสิ่งที่เป็นภาพสะท้อนสำคัญของวิกฤตยูเครนครั้งนี้คือ ความต้องการของรัสเซียที่ต้องการจัดทำ “แผนที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ยุโรปใหม่” และจะต้องมีรัสเซียเป็นผู้มีส่วนร่วมที่สำคัญ หรือความพยายามของประธานาธิบดีปูตินที่จะสร้างความเป็น "รัฐมหาอำนาจใหญ่" เทียบเท่า อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส กระทั่งสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้สงครามยูเครนจากเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 จึงเป็นภาพสะท้อนสำคัญของนโยบายความมั่นคงของรัสเซียในยุคปัจจุบัน ที่มี “หลักการปูติน” เป็นรากฐานสำคัญ หรืออาจเรียกได้ในอีกแบบว่าสงครามครั้งนี้คือความพยายามในการขยาย “จักรวรรดิรัสเซีย” ในยุคประธานาธิบดีปูตินเพื่อสร้างรัสเซียที่โลกต้อง "เกรงใจ"
 
จากซูเดเทินแลนด์ และเบอร์ลิน สู่ยูเครน
หนึ่งในบทเรียนใหญ่ในประวัติศาสตร์การทูตสมัยใหม่ของโลกคือ ปัญหาการขยายพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ของเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คำถามที่สำคัญได้แก่ อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ฮิตเลอร์มั่นใจในพลังอำนาจของเยอรมนี และตัดสินใจที่จะไม่ยอมหยุดที่จะขยายการครอบครองดินแดนของรัฐอื่น อันนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
 
บทเรียนจากการขยายการครอบครองดินแดนของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจนำมาสู่คำตอบของนโยบายชาติมหาอำนาจตะวันตกในยุคสงครามเย็น กระทั่งสงครามในยูเครนอีกด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่