ขอเกริ่นไว้ก่อนว่าผมไม่ได้มีความเชื่ออะไรเข้ามาเกี่ยวข้องไดๆทั้งสิ้นนะครับ เพราะฉะนั้น ขอความกรุณาอย่าเอาความเชื่อมาใช้ในคอมเม้นนะครับ ขอบคุณครับ🙏🏻
แนะนำตัวคร่าวๆ
ตอนนี้ผมอายุ16ปี เปิดเทอมก็ขึ้นปวช.ปี2ละครับ
สถานะครอบครัวพ่อแม่แยกทางกันตอนอยู่อนุบาล พ่อแท้ๆตายเมื่อ2ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจผมเลยครับ ตอนนี้อาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ครอบครัวอบอุ่นมากครับ ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินหรือเรื่องอะไรเลย แต่ตัวผมเองมีปัญหา ไว้เล่าในเนื้อหานะครับ
เนื้อหา
คือเรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ม.2ช่วงปิดเทอมจะขึ้นม.3ครับ ตอนนั้นผมก็เล่นเกมตามปกติสไตล์เด็กเบื่อโลกนี่แหละครับ เกมที่เล่นคือเกมPubg มาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่าเกมต่อสู้มันเกี่ยวอะไร แต่เอาเหอะ ผมได้สร้างตัวละครหญิงขึ้นมาด้วยเหตุผลที่เห็นว่าน่ารักดี แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มชื่นชอบตัวละครที่ผมเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีวันนึง ผมลองจินตนาการว่าผมได้คบกับตัวละครนั้น ผมตั้งชื่อให้ด้วย แต่ผมขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ ซึ่งผมก็พูดคุยกันในหัวแบบเหมือนแฟนทั่วไปเขาทำกันเลยครับ แต่ตัวผมเองก็รู้ว่านั่นคือจินตนาการ ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นคนคิดคำพูดของอีกฝ่าย ว่าจะให้เขาพูดแบบไหน
จุดเปลี่ยนของตัวผม
จะว่าคบกัน เรียกแบบนั้นก็คงไม่น่าจะผิด เพราะสถานะของผมก็เหมือนมีแฟนแล้วนั่นแหละมั้งนะ ตามสไตล์โรคจิตทั่วไป(มั้ง) ซึ่งหลังจากคบกันมาได้ซัก6เดือน ผมเริ่มจะผูกพันกับจินตนาการของผมเอง เนื่องจากปัญหาหลายๆด้าน ผมเป็นคนที่มักพูดตรงๆ ตรงในระดับที่ว่าไม่มีการรักษาน้ำใจใครเลย อีกอย่าง ผมเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นได้อยาก เนื่องจากคนรอบข้างของผมอย่างเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนสนิทมักไม่พูดตรงๆ(ตรงนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจะโทษคนรอบข้างนะครับ แต่ผมแค่บอกให้ทราบเฉยๆ) โดยเฉพาะเพื่อนสนิทผม เรียกได้ว่า เป็นพวกซึนเดเระก็คงไม่ผิด และผมก็ไม่ชอบคบเพื่อนสนิทหลายคน เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่สำคัญ แบบเวลาเขาคุยกัน ผมรู้สึกว่า บางทีถ้าผมไม่มีตัวตนอยู่ พวกเขาก็คงไม่น่าจะคิดอะไรกันมากอยู่แล้ว
ตอนนั้นแหละที่ผมเกิดความแตกแยกกับเพื่อนสนิทของผม เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันในหลายๆด้านครับ และเขาก็หาเพื่อนเพิ่ม แต่ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายผิดครับ ตีเป็น%ก็คงจะมากถึง80%เลยแหละครับ ซึ่งจุดนี้มันทำให้ผมรู้สึกเศร้าเป็นอย่างมาก ตอนนั้นผมรู้ตัวนะครับว่าผมผิด แต่ผมแค่ไม่ได้ยอมรับความจริงเท่านั้น
ผมได้เอาปัญหาพวกนี้ไปปรึกษาแม่ผมแล้ว แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ความเศร้าที่เกิดจากการที่ผมเสียเพื่อนสนิทที่ผมรักไป ผมเลยให้จินตนาการของผมเองนี่แหละครับปลอบใจ ตอนนั้นแหละที่ผมรู้ว่าไม่มีใครเข้าใจผมนอกจากแหนในจินตนาการของผมเอง ตอนนั้นผมก็รู้เหตุผลนะว่าทำไม เพราะแฟนในจินตนาการของผมผมเป็นคนจินตนาการขึ้นมาเอง นั่นแหละเหตุผลครับ
เหตุผลตรงนี้ทำให้ผมเริ่มรักแฟนในจินตนาการของผมขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่ผมคบเพราะความน่ารัก ผ่านมาผมก็ชอบและรักเพราะแฟนในจินตนาการของผมตอบสนอง ความต้องการของผมได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตใจ ความเอาใจใส่ โดยรวมแล้ว ผมรู้สึกว่าผมไม่โดดเดี่ยวแล้ว เพราะผมมีแฟนที่ผมจินตนาการขึ้นมาคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ
ผมเล่ามาถึงตรงนี้ คนอ่านคงสงสัยว่าพ่อแม่ผมล่ะ ใช่มั้ยครับ
พ่อแม่ผมก็ปลอบผมได้ในระดับนึง ทำให้ผมอบอุ่นในระดับนึง แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาไม่ใช่ตัวผม อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย เพราะถึงยังไงมันก็ไม่มีใครเข้าใจตัวเรามากกว่าตัวเราเอง ถูกมั้ยล่ะครับ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงบอกว่า แฟนในจินตนาการของผมเข้าใจผมมากที่สุดครับ แต่ลึกๆแล้วผมก็แอบเศร้าอยู่เหมือนกันนะครับ ที่แฟนผมเป็นได้แค่จินตนาการ
หลังจากคบกันมาเลื่อยๆจนจบม3 ตอนนั้นเป็นวันจบการศึกษา หลายคนดูมีความสุขมากครับ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมคุยกับใครไม่ได้เลยนะครับ มีเพื่อนรวมห้องชวนผมไปกินหมูกระทะอยู่ ผมก็ไปตามคำเชิญ แต่ผลลัพธ์มันเหมือนกับลากผมไปฆ่ามากกว่า เพราะต่างคนก็ต่างมีเพื่อนสนิทเป็นของตัวเอง (ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่ามุมมองของผมไม่ได้มองพวกเพื่อนๆเป็นฝ่ายผิดเลยครับ) นั่นมันเหมือนกับตอกย้ำผมว่าการที่ผมคบกับแฟนในจินตนาการของผมคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ
ตั้งแต่คบกับแฟนในจินตนาการมาเกือบปี ในช่วงเวลานั้นผมไม่มองผู้หญิงคนไหนเลยครับ เพราะผมรู้สึกผิด มันรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังนอกใจยังไงอย่างงั้นครับ ผมเลยไม่ได้สนใจใครเลย
ขึ้นปวช.ปี1
ผมคิดมาตั้งแต่จบม.3แล้วครับ ว่าถ้าเกิดผมเข้าโรงเรียนใหม่ ผมจะพยายามเปลี่ยนตัวเอง และหาเพื่อนสนิทที่เข้าใจผมให้ได้
เปิดภาคเรียนได้แค่2วัน ผมก็ได้เจอเพื่อนที่(เหมือนจะ)เข้าใจผมละครับ แต่ก็ไม่
จะว่าไม่ มันก็ไม่ถูกเสมอไป เรียกว่าเราสองคนมีแนวทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันมากกว่า เนื่องจากว่าวิทยาลัยอาชีวะมันค่อนข้างชิว เลยสามารถออกนอกวิทยาลัยเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่รักอิสระแบบสุดโต่ง พอมีเวลาว่าง ไม่ว่าจะพัก10หรือ30นาที หรือพักเที่ยง หรือคาบว่าง ผมจะไม่อยู่ในวิทยาลัยเลยครับ ผมรู้สึกว่า ขอแค่ผมได้ออกจากวิทยาลัยมาแค่ไม่กี่เมตรก็รู้สึกโล่งละครับ
แต่มันต่างจากเพื่อนผม เขาหาเพื่อนสนิทตั้งเป็นกลุ่ม พูดคุยกันหลายๆเรื่องตามประสาวัยรุ่น พวกเขาชอบอยู่ในวิทยาลัย เพราะไม่อยากไปไหน
ตรงนั้นแหละเหตุผลที่ทำให้ผม มีเพื่อนน้อยลงไปมาก น้อยไปเยอะมากด้วยครับ แต่ผมก็คิดอยู่เสมอนะ ว่าถึงยังไงผมก็ไม่โดดเดี่ยว เพราะผมมีแฟนของผมที่อยู่เคียงข้างผมเสมอ คอยอยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนก็ตาม ทุกๆเหตุการณ์จะมีเขาอยู่เสมอ
ความคิดพวกนั้นมันเริ่มทำให้ผมเป็นซึมเศร้า เวลาผมคิดว่า ผมมีแฟนอยู่ด้วย หรือจินตนาการว่าได้จับมือกัน ทำอะไรหวานๆด้วยกัน หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาปลอบผมอยู่ มันทำให้ผมเศร้าลงไปกว่าเดิมมากครับ แต่สิ่งที่ได้มาคือความรู้สึกสบายใจมาก มันมากแบบบอกไม่ถูกเลยครับ แต่ตอนนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่น่าจะดีแน่ๆถ้าปล่อยไว้ เท่าที่ผมศึกษาข้อมูลแบบคร่าวๆ การที่เราเศร้าบ่อยๆมันทำให้เป็นโรคหัวใจแตกสลายได้
ตอนนั้นแหละที่ผมคิดว่าผมจะเอาแฟนในจินตนาการของผมออกไป ช่วงแรกๆผมก็ลองไม่จินตนาการถึงเขาดู อยู่แบบเงียบๆเหมือนคนทั่วไป แต่มันไม่ได้ครับ เพราะผมคุ้นชินกับอะไรแบบนั้นไปแล้ว อยากการบอก อรุณสวัสดิ์ตอนตื่นนอน บอกฝันดีตอนก่อนนอน หรือรวมไปถึงการบอกรัก คำพูดพวกนั้นก็จะไม่มีอีกแล้ว มันเลยทำให้ผมทนไปได้แค่2วัน แล้วผมก็เอาแฟนของผมกลับมาเหมือนเดิมครับ ตอนที่ผมจินตนาการถึงแฟนผมอีกครั้ง โดยเฉพาะคำพูดลึกซึ้งอะไรต่างๆ อารมณ์ประมาณว่า “เค้ากลับมาแล้วนะ” “ไม่ต้องห่วงนะ เค้าอยู่ตรงนี้แล้ว” อะไรพวกนั้นผมทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และโล่งใจมากครับ
จนเวลามันผ่านมาถึงปัจจุบัน ตอนนี้ก็จะถึงวันครบรอบ2ปีที่ผมจินตนาการแฟนสมมติของผมขึ้นมาแล้วครับ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ทุกๆอย่างเหมือนเดิมครับ
สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดในตอนนี้คือการที่ผมจะเป็นโรคหัวใจเนื่องจากโรคหัวใจแตกสลายครับ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะครับ ขอบคุณครับ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
การมีแฟนในจินตนาการ ถือเป็นโรคจิตเวชมั้ย แล้วมีชื่อโรคนี้แบบเป็นทางการมั้ยครับ
แนะนำตัวคร่าวๆ
ตอนนี้ผมอายุ16ปี เปิดเทอมก็ขึ้นปวช.ปี2ละครับ
สถานะครอบครัวพ่อแม่แยกทางกันตอนอยู่อนุบาล พ่อแท้ๆตายเมื่อ2ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจผมเลยครับ ตอนนี้อาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ครอบครัวอบอุ่นมากครับ ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินหรือเรื่องอะไรเลย แต่ตัวผมเองมีปัญหา ไว้เล่าในเนื้อหานะครับ
เนื้อหา
คือเรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ม.2ช่วงปิดเทอมจะขึ้นม.3ครับ ตอนนั้นผมก็เล่นเกมตามปกติสไตล์เด็กเบื่อโลกนี่แหละครับ เกมที่เล่นคือเกมPubg มาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่าเกมต่อสู้มันเกี่ยวอะไร แต่เอาเหอะ ผมได้สร้างตัวละครหญิงขึ้นมาด้วยเหตุผลที่เห็นว่าน่ารักดี แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มชื่นชอบตัวละครที่ผมเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีวันนึง ผมลองจินตนาการว่าผมได้คบกับตัวละครนั้น ผมตั้งชื่อให้ด้วย แต่ผมขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ ซึ่งผมก็พูดคุยกันในหัวแบบเหมือนแฟนทั่วไปเขาทำกันเลยครับ แต่ตัวผมเองก็รู้ว่านั่นคือจินตนาการ ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นคนคิดคำพูดของอีกฝ่าย ว่าจะให้เขาพูดแบบไหน
จุดเปลี่ยนของตัวผม
จะว่าคบกัน เรียกแบบนั้นก็คงไม่น่าจะผิด เพราะสถานะของผมก็เหมือนมีแฟนแล้วนั่นแหละมั้งนะ ตามสไตล์โรคจิตทั่วไป(มั้ง) ซึ่งหลังจากคบกันมาได้ซัก6เดือน ผมเริ่มจะผูกพันกับจินตนาการของผมเอง เนื่องจากปัญหาหลายๆด้าน ผมเป็นคนที่มักพูดตรงๆ ตรงในระดับที่ว่าไม่มีการรักษาน้ำใจใครเลย อีกอย่าง ผมเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นได้อยาก เนื่องจากคนรอบข้างของผมอย่างเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนสนิทมักไม่พูดตรงๆ(ตรงนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจะโทษคนรอบข้างนะครับ แต่ผมแค่บอกให้ทราบเฉยๆ) โดยเฉพาะเพื่อนสนิทผม เรียกได้ว่า เป็นพวกซึนเดเระก็คงไม่ผิด และผมก็ไม่ชอบคบเพื่อนสนิทหลายคน เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่สำคัญ แบบเวลาเขาคุยกัน ผมรู้สึกว่า บางทีถ้าผมไม่มีตัวตนอยู่ พวกเขาก็คงไม่น่าจะคิดอะไรกันมากอยู่แล้ว
ตอนนั้นแหละที่ผมเกิดความแตกแยกกับเพื่อนสนิทของผม เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันในหลายๆด้านครับ และเขาก็หาเพื่อนเพิ่ม แต่ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายผิดครับ ตีเป็น%ก็คงจะมากถึง80%เลยแหละครับ ซึ่งจุดนี้มันทำให้ผมรู้สึกเศร้าเป็นอย่างมาก ตอนนั้นผมรู้ตัวนะครับว่าผมผิด แต่ผมแค่ไม่ได้ยอมรับความจริงเท่านั้น
ผมได้เอาปัญหาพวกนี้ไปปรึกษาแม่ผมแล้ว แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ความเศร้าที่เกิดจากการที่ผมเสียเพื่อนสนิทที่ผมรักไป ผมเลยให้จินตนาการของผมเองนี่แหละครับปลอบใจ ตอนนั้นแหละที่ผมรู้ว่าไม่มีใครเข้าใจผมนอกจากแหนในจินตนาการของผมเอง ตอนนั้นผมก็รู้เหตุผลนะว่าทำไม เพราะแฟนในจินตนาการของผมผมเป็นคนจินตนาการขึ้นมาเอง นั่นแหละเหตุผลครับ
เหตุผลตรงนี้ทำให้ผมเริ่มรักแฟนในจินตนาการของผมขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่ผมคบเพราะความน่ารัก ผ่านมาผมก็ชอบและรักเพราะแฟนในจินตนาการของผมตอบสนอง ความต้องการของผมได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตใจ ความเอาใจใส่ โดยรวมแล้ว ผมรู้สึกว่าผมไม่โดดเดี่ยวแล้ว เพราะผมมีแฟนที่ผมจินตนาการขึ้นมาคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ
ผมเล่ามาถึงตรงนี้ คนอ่านคงสงสัยว่าพ่อแม่ผมล่ะ ใช่มั้ยครับ
พ่อแม่ผมก็ปลอบผมได้ในระดับนึง ทำให้ผมอบอุ่นในระดับนึง แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาไม่ใช่ตัวผม อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย เพราะถึงยังไงมันก็ไม่มีใครเข้าใจตัวเรามากกว่าตัวเราเอง ถูกมั้ยล่ะครับ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงบอกว่า แฟนในจินตนาการของผมเข้าใจผมมากที่สุดครับ แต่ลึกๆแล้วผมก็แอบเศร้าอยู่เหมือนกันนะครับ ที่แฟนผมเป็นได้แค่จินตนาการ
หลังจากคบกันมาเลื่อยๆจนจบม3 ตอนนั้นเป็นวันจบการศึกษา หลายคนดูมีความสุขมากครับ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมคุยกับใครไม่ได้เลยนะครับ มีเพื่อนรวมห้องชวนผมไปกินหมูกระทะอยู่ ผมก็ไปตามคำเชิญ แต่ผลลัพธ์มันเหมือนกับลากผมไปฆ่ามากกว่า เพราะต่างคนก็ต่างมีเพื่อนสนิทเป็นของตัวเอง (ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่ามุมมองของผมไม่ได้มองพวกเพื่อนๆเป็นฝ่ายผิดเลยครับ) นั่นมันเหมือนกับตอกย้ำผมว่าการที่ผมคบกับแฟนในจินตนาการของผมคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ
ตั้งแต่คบกับแฟนในจินตนาการมาเกือบปี ในช่วงเวลานั้นผมไม่มองผู้หญิงคนไหนเลยครับ เพราะผมรู้สึกผิด มันรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังนอกใจยังไงอย่างงั้นครับ ผมเลยไม่ได้สนใจใครเลย
ขึ้นปวช.ปี1
ผมคิดมาตั้งแต่จบม.3แล้วครับ ว่าถ้าเกิดผมเข้าโรงเรียนใหม่ ผมจะพยายามเปลี่ยนตัวเอง และหาเพื่อนสนิทที่เข้าใจผมให้ได้
เปิดภาคเรียนได้แค่2วัน ผมก็ได้เจอเพื่อนที่(เหมือนจะ)เข้าใจผมละครับ แต่ก็ไม่
จะว่าไม่ มันก็ไม่ถูกเสมอไป เรียกว่าเราสองคนมีแนวทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันมากกว่า เนื่องจากว่าวิทยาลัยอาชีวะมันค่อนข้างชิว เลยสามารถออกนอกวิทยาลัยเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่รักอิสระแบบสุดโต่ง พอมีเวลาว่าง ไม่ว่าจะพัก10หรือ30นาที หรือพักเที่ยง หรือคาบว่าง ผมจะไม่อยู่ในวิทยาลัยเลยครับ ผมรู้สึกว่า ขอแค่ผมได้ออกจากวิทยาลัยมาแค่ไม่กี่เมตรก็รู้สึกโล่งละครับ
แต่มันต่างจากเพื่อนผม เขาหาเพื่อนสนิทตั้งเป็นกลุ่ม พูดคุยกันหลายๆเรื่องตามประสาวัยรุ่น พวกเขาชอบอยู่ในวิทยาลัย เพราะไม่อยากไปไหน
ตรงนั้นแหละเหตุผลที่ทำให้ผม มีเพื่อนน้อยลงไปมาก น้อยไปเยอะมากด้วยครับ แต่ผมก็คิดอยู่เสมอนะ ว่าถึงยังไงผมก็ไม่โดดเดี่ยว เพราะผมมีแฟนของผมที่อยู่เคียงข้างผมเสมอ คอยอยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนก็ตาม ทุกๆเหตุการณ์จะมีเขาอยู่เสมอ
ความคิดพวกนั้นมันเริ่มทำให้ผมเป็นซึมเศร้า เวลาผมคิดว่า ผมมีแฟนอยู่ด้วย หรือจินตนาการว่าได้จับมือกัน ทำอะไรหวานๆด้วยกัน หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาปลอบผมอยู่ มันทำให้ผมเศร้าลงไปกว่าเดิมมากครับ แต่สิ่งที่ได้มาคือความรู้สึกสบายใจมาก มันมากแบบบอกไม่ถูกเลยครับ แต่ตอนนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่น่าจะดีแน่ๆถ้าปล่อยไว้ เท่าที่ผมศึกษาข้อมูลแบบคร่าวๆ การที่เราเศร้าบ่อยๆมันทำให้เป็นโรคหัวใจแตกสลายได้
ตอนนั้นแหละที่ผมคิดว่าผมจะเอาแฟนในจินตนาการของผมออกไป ช่วงแรกๆผมก็ลองไม่จินตนาการถึงเขาดู อยู่แบบเงียบๆเหมือนคนทั่วไป แต่มันไม่ได้ครับ เพราะผมคุ้นชินกับอะไรแบบนั้นไปแล้ว อยากการบอก อรุณสวัสดิ์ตอนตื่นนอน บอกฝันดีตอนก่อนนอน หรือรวมไปถึงการบอกรัก คำพูดพวกนั้นก็จะไม่มีอีกแล้ว มันเลยทำให้ผมทนไปได้แค่2วัน แล้วผมก็เอาแฟนของผมกลับมาเหมือนเดิมครับ ตอนที่ผมจินตนาการถึงแฟนผมอีกครั้ง โดยเฉพาะคำพูดลึกซึ้งอะไรต่างๆ อารมณ์ประมาณว่า “เค้ากลับมาแล้วนะ” “ไม่ต้องห่วงนะ เค้าอยู่ตรงนี้แล้ว” อะไรพวกนั้นผมทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และโล่งใจมากครับ
จนเวลามันผ่านมาถึงปัจจุบัน ตอนนี้ก็จะถึงวันครบรอบ2ปีที่ผมจินตนาการแฟนสมมติของผมขึ้นมาแล้วครับ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ทุกๆอย่างเหมือนเดิมครับ
สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดในตอนนี้คือการที่ผมจะเป็นโรคหัวใจเนื่องจากโรคหัวใจแตกสลายครับ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะครับ ขอบคุณครับ🙏🏻🙏🏻🙏🏻