รับมืออย่างไร เมื่อผู้สูงอายุหูตึง

ปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุ คือ การสูญเสียการได้ยิน ซึ่งเกิดจากประสาทหูชั้นในค่อย ๆ เสื่อมไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น  แม้อาการหูตึงในผู้สูงวัยจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากเท่ากับโรคร้ายแรงอื่น ๆ แต่ก็กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก และอาจเกิดปัญหาการสื่อสารระหว่างผู้ดูแลและผู้สูงอายุ ส่งผลให้ผู้สูงอายุเข้าใจผิดเรื่องการรับประทานยาหรือการดูแลตัวเองจนส่งผลเสียต่อโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ หรือผู้สูงอายุอาจปลีกตัวออกจากสังคมเนื่องจากขาดความมั่นใจ  จนเกิดภาวะเครียดและซึมเศร้าในที่สุด
สาเหตุการหูตึงของผู้สูงอายุ


     เกิดจากความเสื่อมของประสาทหูตามวัย อันนี้ก็จะเป็นลักษณะหนึ่ง และมักจะเป็นทั้ง 2 ข้าง อาการพวกนี้จะเรียกว่า high pitch sound คือ จะไม่ได้ยินช่วงเสียงแหลมความถี่สูงก่อน จากนั้นความเสื่อมจะค่อย ๆ ลามไปถึงช่วงความถี่กลางซึ่งเป็นระดับของเสียงพูด จึงทำให้ผู้สูงอายุเริ่มฟังไม่ชัดเจน โดยเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความรุนแรงของความบกพร่องของการได้ยิน เช่น การรับประทานยาบางชนิดอาจเป็นปัจจัยให้ประสาทหูเสื่อมเร็วขึ้นได้ การเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือด โรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น
    แต่ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่จะต้องหาเพิ่มเติม เช่น การเกิดอาการหูตึงข้างเดียว อันนี้อาจจะไม่ใช่อาการตามวัย อาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทหูแต่ละข้าง เช่น การมีเนื้องอกไปกดเส้นประสาทหูข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งอันนี้ก็เป็นสาเหตุที่ต้องมาพบแพทย์
เมื่อไหร่ที่ผู้สูงอายุควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านการได้ยิน
1. เมื่อสนทนากับผู้อื่นแล้วต้องให้คู่สนทนาพูดซ้ำ ๆ หลายครั้ง
2. เวลาพูดจะใช้เสียงดังกว่าปกติ
3. ได้ยินไม่ชัด ได้ยินไม่ครบทั้งประโยค
4. ดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุเสียงดังกว่าปกติ
5. มีเสียงรบกวนในหู เช่น เสียงจิ้งหรีด เสียงดังกึกในหู
วิธีการรับมือกับผู้สูงอายุหูตึง
1. เห็นอกเห็นใจ
          การดูแลหรือพูดคุยกับผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินหรือหูตึง อาจทำให้ลูกหลานรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ เนื่องจากผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าใจได้ในครั้งเดียวที่พูดด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อพูดกับผู้สูงอายุแล้วท่านไม่เข้าใจ ลองเปลี่ยนวิธีการพูด พูดให้ช้าลง หรือเปลี่ยนประโยคพูดใหม่ที่สั้นและเข้าใจง่าย
       ตัวผู้สูงอายุเองก็ควรพูดหรือโต้ตอบไปตามที่ตนเองเข้าใจ การพูดโต้ตอบเพื่อกระตุ้นให้สมองได้ทำงานบ้าง ไม่ต้องเครียด คิดมาก หรือวิตกกังวล และใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำความเข้าใจและยอมรับว่าร่างกายของตนนั้นเสื่อมถอยลงตามอายุ
2. มีความอดทน
          ลูกหลานหรือคนในครอบครัวจำเป็นต้องสื่อสารกับท่านด้วยความอดทน พยายามพูดคุย และรับฟัง แลกเปลี่ยนวิธีแก้ไขปัญหาร่วมกัน ในขณะเดียวกันต้องพยายามให้ท่านได้รับทราบเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ท่านได้ยิน หรือการใส่เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้ท่านเปิดใจและยอมรับ
          การยอมรับว่าตนเองหูไม่ได้ยิน หรือสูญเสียการได้ยินไปเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นการเสื่อมของประสาทการได้ยินที่ค่อย ๆ เสื่อมลงโดยไม่รู้ตัว และคิดว่าตนเองไม่ได้มีปัญหาการได้ยิน
3. คำนึงถึงผู้สูงอายุเสมอ
          ผู้สูงอายุจะจำได้ไม่ดีเท่าคนที่อายุน้อย เพราะเกิดจากความเสื่อมและความช้าของสมองในการรับรู้และประมวลผล เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกหลานต้องพูดกับผู้สูงอายุที่หูไม่ค่อยได้ยิน ให้พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ พูดช้า ๆ และทำรูปปากให้ชัดเจน เพื่อที่อย่างน้อยท่านจะได้สามารถอ่านปาก ประกอบเสียงที่ได้ยินได้บ้าง
            อาการหูตึงในผู้สูงอายุ หรือการที่ประสาทหูเสื่อมตามวัยนั้น เป็นภาวะความเสื่อมของอวัยวะ การช่วยเหลือโดยการใช้เครื่องช่วยฟังถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขยายเสียงจากผู้พูด เพื่อให้ผู้สูงอายุได้ยินอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่