JJNY : มองจนท.รัฐทุจริตเพราะอยากรวย│“ชัยธวัช” ขอชาวก้าวไกลอย่าหวั่นไหว│ปี’66 บจ. กำไรสุทธิวูบ│ฝรั่งเศสยันไม่มีแผนส่งทหาร

“นิด้าโพล” ปชช.59.39% มองจนท.รัฐทุจริตเพราะอยากรวย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_687768/
  
 
“นิด้าโพล” ประชาชน 59.39% มองเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตเพราะอยากรวย 31.53 % นับถือคนรวย คนมีอำนาจ คนมีอิทธิพล 33.36%ค่อนข้างเชื่อมั่น ต่อ สำนักงานอัยการสูงสุด ว่าไม่ทุจริต

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คดีทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ” ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 4-6 มีนาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคดีทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 59.39 ระบุ สาเหตุที่ทำให้เกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะ คนในสังคมส่วนใหญ่ อยากรวย อยากมี อยากได้, ร้อยละ 31.53 ระบุ คนในสังคมส่วนใหญ่ นับถือคนรวย คนมีอำนาจ คนมีอิทธิพล, ร้อยละ 23.05 ระบุ ช่องโหว่ของกฎหมาย, ร้อยละ 20.23 ระบุ ค่าครองชีพสูง เงินเดือนน้อย, ร้อยละ 17.63 ระบุ การได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย, ร้อยละ 17.40 ระบุ ค่านิยมแบบนิยมพวกพ้องและเครือญาติ ความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์, และ ร้อยละ 17.25 ระบุ การบังคับใช้กฎหมายไม่จริงจัง ไม่เด็ดขาด และล่าช้า
 
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ในหน่วยงานต่าง ๆ พบว่า ร้อยละ 33.36 ค่อนข้างเชื่อมั่น ต่อ สำนักงานอัยการสูงสุด ขณะ ร้อยละ 28.17 ระบุ ไม่ค่อยเชื่อมั่น และ ร้อยละ 16.79 ระบุ ไม่เชื่อมั่นเลย โดยมีเพียง ร้อยละ 14.73 ระบุ เชื่อมั่นมาก ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ประชาชน ไม่ค่อยเชื่อมั่นมาเป็นอันดับ 1 ทั้งหมด ประกอบด้วย ร้อยละ 34.74 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม โดยที่ ร้อยละ 30.15 ระบุ ค่อนข้างเชื่อมั่น, ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้อยละ 34.05 ระบุ ไม่ค่อยเชื่อมั่น และเพียงร้อยละ 28.47 ระบุ ค่อนข้างเชื่อมั่น, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
 
ร้อยละ 34.50 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น และ ร้อยละ 24.43 ระบุ ค่อนข้างเชื่อมั่น, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 39.08 ระบุ ไม่ค่อยเชื่อมั่น และ ร้อยละ 22.14 ระบุ ค่อนข้างเชื่อมั่น ส่วนตำรวจหน่วยอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่ บก.ปปป.) ร้อยละ 41.98 ระบุ ไม่ค่อยเชื่อมั่น และ ร้อยละ 29.77 ระบุ ไม่เชื่อมั่นเลย เป็นต้น


 
“ชัยธวัช” ขอชาวก้าวไกลอย่าหวั่นไหวกระแสยุบพรรค
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_687781/

“ชัยธวัช”ขอชาวก้าวไกลอย่าหวั่นไหวกระแสยุบพรรค ชี้เพราะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มหาศาลเลยถูกไล่ตีหนัก มั่นใจไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น “พรรคแบบนี้” มีแต่โตไม่หยุด
 
พรรคก้าวไกล จัดประชุมสมาชิกสัมพันธ์และผู้สนับสนุนพรรค แลกเปลี่ยนพูดคุยนโยบายและการทำงานระดับท้องถิ่นใน จ.มุกดาหาร โดยมี นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.พรรคก้าวไกลและคณะทำงานด้านต่างๆ ร่วมวงแลกเปลี่ยนกับสมาชิกและผู้สนับสนุนที่เข้าร่วม
โดยช่วงหนึ่งของการพูดคุย มีผู้เข้าร่วมรายหนึ่งสอบถามกับหัวหน้าพรรคก้าวไกลถึงกระแสข่าวว่าจะมีการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งนายชัยธวัชได้ตอบคำถามนี้ โดยระบุว่า ตนไม่อยากให้ทุกคนเครียดและกังวล แน่นอนว่าเราต้องช่วยกันปกป้องพรรคอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
แม้หลายคนอาจมีความเครียดและกังวล แต่ตนอยากให้ทุกคนมองย้อนไปเพียง 5 ปีของอนาคตใหม่-ก้าวไกล เราสร้างความเปลี่ยนแปลงมาไกลมากแล้ว ทำลายความเชื่อที่ว่าการเมืองแบบบก้าวไกลไม่มีทางชนะได้ลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่ากังวล สิ่งที่เราเผชิญหน้าอยู่นั้นเป็นเพราะเราสำเร็จมากเกินไปและเร็วเกินไปสำหรับพวกเขา เราไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าไปถามอาจารย์นิติศาสตร์ทั่วประเทศให้อ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้วทุกคนเกาหัวหมด ไม่รู้จะสอนหนังสือนักศึกษาอย่างไรแล้ว เอาหลักกฏหมายมาจับอธิบายไม่ได้
 
และแม้ว่าวันนี้เราต้องเผชิญคมหอกคมดาบ แน่นอนว่าหลายคนเหนื่อย เครียด กดดัน แต่ขอให้ดีใจ เพราะมันหมายความว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญมากๆ มีนัยสำคัญจนกระทั่งเขาไม่อยากจะปล่อยเราไว้ ถ้าเราทำงานไปแล้ว 5 ปีไม่มีใครโจมตีเราเลย ตนคิดว่าล้มเหลว เพราะนั่นหมายความว่าเราไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรที่สะกิดผิวเขาเลย จนเขารู้สึกว่ามีเราอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
 
แต่เพราะเราทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม การเมืองไทยและสังคมไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างมากและรวดเร็ว จนไปกระทบกับโครงสร้างอำนาจแบบเดิมที่เขาอยากรักษาไว้ เขาถึงต้องจัดการเราทุกวิถีทาง ต้องใช้องค์กรอิสระและกฎหมายทุกรูปแบบเพื่อหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงและรักษาพื้นที่ทางการเมืองแบบเก่าของกลุ่มอำนาจแบบเก่าเอาไว้ให้มากที่สุด ไม่ให้ถูกรุกและทำลายหรือถูกคุกคามโดยพลังทางการเมืองแบบใหม่ ความคิดแบบใหม่ของประชาชนที่ตื่นตัวขึ้นแล้ว ความเชื่อทางการเมืองแบบใหม่ที่ก้าวกระโดดจนไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้
 
สำหรับการเมืองแบบเก่าทั้งหมดไม่ว่าจะขัดแย้งกันเองมานานแค่ไหน จึงมองพรรคก้าวไกลเป็นภัยคุกคามที่ต้องจัดการให้ได้ แต่เชื่อว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกล อีกฝ่ายก็กังวลใจอยู่ว่าจะหยุดเราได้จริงหรือเปล่า เพราะสิ่งที่มันเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ผู้บริหารพรรคแค่ 2-3 คน วันนี้การเติบโตของพรรคก้าวไกลไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนายพิธาหรือนายชัยธวัช แต่เกิดเพราะทุกคน และมันจะเติบโตขึ้นไปอีก วันนี้มีคนเลือกเรา 14 ล้านคน แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ชอบเราและอยากเลือกเราแต่ไม่เคยคิดเลือกเรามาก่อน แต่วันนี้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าครั้งหน้าจะเลือกเราไม่รู้อีกกี่ล้านคน
 
แน่นอนเราเจอหอกดาบขวากหนามเต็มไปหมด มันเกิดขึ้นเพราะเราสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญและมันไปคุกคามการเมืองแบบเก่าทั้งหมดที่ไม่อยากเปลี่ยนแปลง แต่มองไปข้างหน้าเรามีแต่ทิศทางความเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้อีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับพรรคก้าวไกล ขอให้เรามุ่งมั่นเดินหน้า ช่วยกันสร้างการเมืองแบบนี้ให้ลงหลักปักฐานมากยิ่งขึ้น ขอให้ช่วยกันทำพรรคการเมืองนั้นให้เป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากเห็นให้ได้และเติบโตไปด้วยกัน



ปี’66 บจ. กำไรสุทธิวูบ 10.7%
https://www.khaosod.co.th/economics/stock-monitor/news_8131561

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 817 บริษัท คิดเป็น 99.51% จากทั้งหมด 821 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 ธ.ค. 2566 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานปี 2566 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 626 บริษัท คิดเป็น 76.62% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
 
ผลการดำเนินงานปี 2566 เทียบกับปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 17,231,564 ล้านบาท ลดลง 2.6% ต้นทุนการผลิตปรับลดลง 2.2% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น 3.9% ซึ่งส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,649,990 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 961,042 ล้านบาท ลดลง 12.4% และ 10.7% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 ธ.ค. 2566 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.51 เท่า ลดลงจาก 1.54 เท่าของปี 2565
 
ภาพรวมผลประกอบการที่อ่อนตัวลงทั้งยอดขายและกำไรจากการดำเนินงาน เป็นผลกระทบจากการลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลายชนิด ทั้งในกลุ่มน้ำมัน สินค้าเกษตร และอาหาร อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจนและเติบโตต่อเนื่องจากนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ เช่น ธุรกิจการบิน โรงแรม พื้นที่เช่า ค้าปลีก และโทรคมนาคม” นายแมนพงศ์กล่าว
 
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวดปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มียอดขายรวม 200,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% ต้นทุนการผลิต 147,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 40,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 12,186 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,901 ล้านบาท ลดลง 10.2% และ 35.1% ตามลำดับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่