"แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง" เข้าใจกันว่าอย่างไร ?

สวัสดีครับ

   มีพระสูตรหนึ่งชื่อ "อัสสุตวตาสูตรที่ ๑"  ฉบับหลวง(เท่านั้น-ฉบับอื่นถูกตัดข้อความบางส่วนออก) 

   
อัสสุตวตาสูตรที่ ๑
             [๒๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง
คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อ
นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตาย
ก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ
จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียก
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้
เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือ
ไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
ดังนี้ ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลาย
กำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ
             [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
             [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
บ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉัน
นั้นแล ฯ
             [๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคาย
ด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุ
ดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี
สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข-
*โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้
ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่าย
แม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑
    https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566

    คำที่ขีดเส้นใต้ ปัจจุบัน ฉบับ จุฬา ฯ  และฉบับอื่น ๆ  มีการตัดข้อความออกไปทั้ง3แห่ง
(230,231,232)   เท่าที่ดูเหตุผลที่แสดงไว้  ที่ตัดออกเพราะ  1.มหาภูต4(ดิน น้ำ ไฟ ลม)  จะเป็น
จิต ไปได้อย่างไร    2.เป็นการลอกซ้ำมา  ที่จริงไม่มีมาตั้งแต่แรก  3.ไม่ตัดออกเดี๋ยวจะมีการ
เข้าใจผิด . 4... 5.......(จำไม่ได้แล้ว)

      ตามความเข้าใจของผม คำที่หายไปนั้นสำคัญมาก  ถ้าหายไป ผู้ปฎิบัติธรรมแบบปัจจุบันธรรม จะแยกกาย/รูป "นอก" (มีกายต้องมีจิต/นามร่วมด้วยเสมอ)  กับ กาย/รูป "ใน" (มีกาย/รูปต้องมีจิต-นาม ร่วมด้วยเสมอ)พระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าพยายามอธิบายให้   เข้าใจคำว่า "กาย"  ว่ามี "2 กาย"   พิมพ์ถึงตรงนี้ก็จะมีผู้ว่า  "เลอะเทอะ"   หรือ "เชย ระเบิด ระเบ้อ"   "เจ้าลัทธิใหม่"   เพราะมันไม่เหมือนที่เขาเรียน/เขารู้มา    ก็ไม่เป็นไร ผู้อื่นก็เข้าใจและยืนยันของเขา   ผมก็เข้าใจและยืนยันของผม  พุทธศาสนิกชนก็อ่านแล้วทำความเข้าใจ  แล้วเอาไปปฎิบัติ   ของฝ่ายไดลด ละ กิเลสได้เป็น "ธรรมวาที" ก็สนับสนุน
ฟังธรรมกับฝ่ายนั้น  ฝ่ายไดเป็น "อธรรมวาที"  ก็ไม่สนับสนุน   ไม่ไปฟังธรรมอีก    

      เมื่อเข้าใจ พระสูตรนี้ถูกต้อง (เนื่องจากเป็นพระสูตรแรก)  จะทำให้การอธิบายพระสูตรต่อ ๆ ไป  จะ "ล้อ"  กับความเข้าใจพระสูตรนี้ไปอีกหลายพระสูตรเช่น  "สักกายทิฎฐิ"ในสังโยชน์10    "นามรูป" ในปฎิจสมุปปบาท     "กายในกาย" ในสติปฐาน4    "อุปาทายรูป24" ในรูป28   และ........ฯลฯ 

      ที่จริงผมเคยอธิบายไว้หลายครั้งแล้ว   ก็ตอบคำถามที่มีผู้สงสัยไว้ก็แล้วกัน คือ   
1.มหาภูต4(ดิน น้ำ ไฟ ลม)  จะเป็นจิต ไปได้อย่างไร    ตอบ กายที2(กายใน) นี้เป็น กาย/รูปของ
"อุปาทายรูป24"  ที่กล่าวไว้ว่ามันต้องเกิดใน/แห่ง/เนื่องด้วยมหาภูต4(กายที่1) เท่านั้น   ซึ่งเป็นปรมัตถ์ อภิธรรม(ดูอุปาทายรูป24)
2.เป็นการลอกซ้ำมา  ที่จริงไม่มีมาตั้งแต่แรก  ตอบ ถ้าลอกซ้ำคงไม่ซ้ำถึง3ที่ คือ 230,231,232   ควรลอกซ้ำมาที่เดียว
3.ไม่ตัดออกเดี๋ยวจะมีการเข้าใจผิด   ตอบ  เป็นความเห็นของผู้ที่แปล/อธิบาย ไม่ได้   แต่ถ้า คงไว้ในอนาคต เมื่อถึง 
กาละ เทศะ ฐานะ  ที่เหมาะสม  คงมี "ปราชญ์" ที่เขายอมรับกันในกาละนั้น  มาอธิบายได้อย่างถูกต้อง  และเป็นที่ยอมรับกัน
4....5....   จะได้กล่าวในโอกาสต่อไป

       ปล. ถ้า "กาย" หายไป   เหลือเพียงกายเดียว  ตามที่เข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน  จะไปถึง "นิพพาน"  ไม่ได้เลย ขอบอก
ว่าม้นสำคัญมาก    แต่มันไม่ใช่ กาละ เทศะ ฐานะ  ที่ผมจะทำให้เข้าใจได้  แต่ควรเอาข้อความที่หายไปคืนมาไว้ก่อนก็แล้วกัน
ก็ขอฝากไว้พิจารณาในวัน  "มาฆบูชา67" นี้

             ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่