จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง หลง

๗. มหาวรรค
หมวดว่าด้วยพระสูตรที่มีเนื้อหาสำคัญ
๑. อัสสุตวาสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่ได้สดับ
             [๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
เศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค ...
             “ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ๑- พึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง
หลุดพ้นบ้าง จากกายซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
             ข้อนั้นเพราะเหตุไร
             เพราะเหตุที่การประชุมก็ดี ความสิ้นไปก็ดี การยึดถือก็ดี การทอดทิ้งกาย
ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ก็ดี ย่อมปรากฏ เพราะฉะนั้น ปุถุชนผู้ไม่ได้
สดับพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง จากกายนั้น
             ตถาคตเรียกสิ่งนี้ว่า ‘จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง’ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่อาจ
เบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นไปจากจิตเป็นต้นนั้นได้
             ข้อนั้นเพราะเหตุไร
             เพราะจิตเป็นต้นนี้ ถูกรัดไว้ด้วยตัณหา ยึดถือว่าเป็นของเรา เป็นสิ่งที่ปุถุชน
ผู้ไม่ได้สดับยึดมั่นว่า ‘นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา’ ตลอดกาลนาน
เพราะฉะนั้น ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นไปจาก
จิตเป็นต้นนั้นได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
  จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างไม่ได้หมายถึงว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
  ไม่ได้หมายถึงว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เกิด ดับ
หมายถึง ตัณหา ที่จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้างไปยึดติดเป็นอัตตา
ตัณหาเกิด ดับ ตลอดทั้งวันทั้งคืน เหมือนลิงไปจับต้นไม้ จับแล้วปล่อย
ตัณหาที่จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้างไปจับ ก็จะเกิด ไปปล่อยก็จะดับ
จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง ถูกตัณหารัดตรีงก็ เกิดอัตตาความยึดติด
จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง ปล่อยวางตัณหาได้
จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง ก็จะคลายกำหนัด คลายความเบื่อหน่าย หลุดพ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่