อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๒๒ พาหลาน (คูณสอง) ลุยแขมร์
หลังจากได้พาหลานย่ำแขมร์มาหนหนึ่งแล้ว อีกสามปีต่อมาผมก็มีโอกาสได้พาไอ้ก๊อบไปแขมร์ด้วยกันอีกครั้ง ครั้งนี้มันยังพาเพื่อนไปด้วยอีกหนึ่งฅน ไม่รู้มันคุยกันอย่างไรท่าไหนเหมือนกันไอ้ปั๊มจึงตามไปด้วย งานนี้เลยมีเด็กสองฅนด้วยกันตามผมไปแขมร์
เรานั่งรถโดยสารตั้งแต่ออกจากบ้านกันเลย (ทุกครั้งจะต้องมีคนมาส่งที่ชายแดน) และเราต้องไปลงที่จันทบุรีก่อนแล้วจึงต่อรถไปชายแดนอีกที
ถึงชายแดนก็เกิดปัญหาจนได้ เพราะเพื่อนที่มารับดันรออยู่ทางฝั่งขแมร์ไม่ได้ข้ามมาฝั่งไทย แถมยังปิดโทรศัพท์ติดต่อกันไม่ได้อีกต่างหาก เด็ก ๆ ไม่มีพาสปอร์ต ผมพาเข้าไม่ได้แน่นอกจากให้เพื่อนพาเป็นเด็กแขมร์เข้าไปเหมือนครั้งก่อน
ผมตัดสินใจทิ้งหลานไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งไทยก่อนส่วนผมไปประทับตราพาสปอร์ต คิดว่าเมื่อประทับตราได้เข้าไปเจอเพื่อนแล้วค่อยให้เพื่อนออกมารับมันกัน ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำไอ้สองฅนนั่นก็หน้าตื่นมาหา บอกว่ามีใครไม่รู้เข้ามาซักถามว่ามาจากไหนจะไปไหน มันไม่ไว้ใจเลยไม่กล้ารออยู่ที่นั่นกัน เอาไงดีล่ะที่นี้...
และตรงนี้คงต้องขอข้ามอีกนะครับว่า ในที่สุดแล้วหลานผมสองฅนเข้าไปได้อย่างไร เอาเป็นว่าผมใช้ความสามรถเฉพาะตัวพาพวกมันเข้าไปด้วยกันจนได้นั่นแหละครับ แฮ่…
.
เพื่อนผมนำรถจักรยานยนต์ติดพ่วงท้ายสำหรับขนของมาจอดรอบริเวณด่าน ต.ม. พร้อมกับเด็ก ๆ อีกหลายฅน ที่คงจะมารอรับไอ้ก๊อบมันนั่นแหละ และคงเป็นเพราะมีเด็กมาด้วยหลายฅนนั่นเอง เพื่อนผมจึงไม่อยากข้ามแดนไปรับเรากัน (ถึงได้วุ่นวายนิดหน่อย) และเมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันทันที
.
เมื่อถึงพนมยาตเราแวะหาอะไรกินที่นั่นกัน อิ่มหนำแล้วพวกเด็ก ๆ ก็พากันขึ้นเขาเดินดูอะไรบนนั้น ผมกับเพื่อนรออยู่ตรงบริเวณศาลายายยาตไม่ได้ขึ้นไปกับพวกมัน เพราะเป็นทางผ่านที่จะแวะบ่อยอยู่แล้วจึงขี้เกียจนั่นแหละ
เมื่อเด็ก ๆ ลงมากันแล้วก็เดินทางต่อ
“เมิงเอาอย่างกู ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็พยักหน้า แล้วก็ อือ อือ อือ”
ไอ้ก๊อบหันไปแนะนำไอ้ปั๊มอย่างผู้ชำนาญขณะนั่งรถมากัน เพิ่งเข้าใจเคล็ดลับการเล่นกับเพื่อนที่พูดฅนละภาษาของมันก็หนนี้แหละ ไม่ต้องอะไรมาก อือ อือ ไว้ก่อนก็พอสินะไอ้ก๊อบ
.
เมื่อถึงจ็อมการ์ละมุดเด็ก ๆ ก็พากันไปเล่นน้ำก่อนเลย ตรงชายนามีสระน้ำที่เพิ่งขุดใหม่ ซึ่งตอนไอ้ก๊อบมาครั้งก่อนยังไม่มี นั่นดูจะถูกใจมันสองฅนทีเดียว เพราะอย่างที่บอกว่าหลานผมมันจะชอบน้ำคลองน้ำทุ่งมากกว่าน้ำทะเล
.
การมาแขมร์หนนี้ของผมนอกจากมาเที่ยวแล้วยังตั้งใจมาหาข้อมูลเพื่องานเขียนจากการเริ่มได้หัดเขียนหนังสือของผม และที่ผมสนใจก็คือเรื่องของทหารเด็กในยุคแขมร์กรอฮอมหรือเขมรแดง คิดพล็อตไว้ดิบดีแต่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยจึงต้องมาหาถึงนี่
เด็กชายวัยสิบสามถูกต้อนออกจากพนมเปญ ถูกฝึกเป็นทหาร และกลายเป็นเพชฌฆาต ฅนแรกที่เขาฆ่าคือลูกฅนรวยที่เมื่อก่อนจะคอยรังแกเขาเสมอ เด็กชายจึงฆ่าเด็กฅนนั้นผสมความแค้นส่วนตัว หลังจากนั้นเขารู้สึกชอบใจที่สามารถฆ่าฅนได้ และรับหน้าที่เพชฌฆาตโดยไม่คิดอะไร ต่อมาวันหนึ่งแม่ของเขาทำผิด และต้องถูกสังหาร โดยเพื่อนของเขาเป็นฅนลงมือ นั่นทำให้เขาทะเลาะกับเพื่อนจนต้องถูกขังคุก วันหนึ่งเขาถูกปล่อยออกมา เพื่อให้สังหารนักโทษฅนหนึ่งเป็นการแก้ตัว และนักโทษฅนนั้นคือเพื่อนฅนที่ฆ่าแม่ของเขานั่นเอง เพียงแต่วันนี้ความคิดของเขากลับเปลี่ยนไปแล้ว...
ผมเล่าพล็อตที่อยากเขียนให้เพื่อนฟังคร่าว ๆ หลังจากนั่งนิ่งฟังผมเล่าจนจบเขาก็เอ่ยขึ้น...
“เด็กพวกนี้น่ะ มันฆ่าได้ทั้งนั้นแหละ แม่มันก็ฆ่าได้ เขมรแดงมันจะล้างสมองว่าไม่ใช่แม่ แต่เป็นกบฏ ต้องฆ่าทิ้ง”
ยอมรับว่าผมฟังคำพูดของเขาแล้วถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน เรื่องจริงบางครั้งก็โหดกว่านิยายจนเราคิดไม่ถึง
.
และเอาเข้าจริงผมกลับไม่ได้ข้อมูลเชิงลึกอะไรเลย น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ ผมดันมุ่งประเด็นไปที่ทหารเด็กอย่างเดียวนี่สิ ทั้งที่เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามยังมีอีกหลายแง่มุม และถ้าตัดเรื่องทหารออกไป ข้อมูลจากเพื่อนผมนั่นแหละเพียบเลย หลายเรื่องในต่างชายคาฟ้าเดียวกันที่เขียนขึ้นหลังจากนี้ ล้วนมาจากเพื่อนผมทั้งนั้น (ถือโอกาสโฆษณาเสียเลย แฮ่…)
ดูเหมือนจะพาไปไหนต่อไหนอีกแล้ว มาว่ากันเรื่องของหลาน ๆ ผมบ้างดีกว่าครับ
แน่นอนว่าการมาหนนี้ไม่ต้องมีการปรับตัวอะไรแล้วสำหรับไอ้ก๊อบ ไอ้ปั๊มที่ตามมาอีกฅนก็ดูจะสนุกลูกเดียวเช่นกัน และความสนุกที่ว่าไม่ได้มาจากการเล่นเท่านั้นนะครับ อยู่ที่นี่แม้แต่การทำงานก็ทำให้ไอ้สองฅนนั่นสนุกได้เหมือนกัน
เพื่อนผมนั้นนอกจากทำไร่ทำนาตามปกติแล้ว ยังมีการค้าขายเล็กน้อยอีกด้วย โดยภรรยาของเพื่อนผมจะไปขายผักผลไม้ที่ตลาดในตอนเช้า นอกจากนั้นครอบครัวของเขายังหาซื้อผลไม้ไปส่งตามร้านค้าต่าง ๆ ด้วย หนึ่งในผลไม้ขายดีของที่นี่ก็คือมะพร้าวอ่อน และการหาซื้อมะพร้าวอ่อนไปขายต่อนั้นผู้ซื้อต้องหาฅนไปขึ้นเอง
สำหรับเพื่อนผมนั้นไม่ต้องไปหาใครที่ไหนหรอก ลูกชายสามฅนของเขานั่นแหละ โดยเฉพาะไอ้ฅนที่ว่าปีเดียวกับหลานผมนี่ เมื่อปีที่แล้วตอนผมมา มันยังดูเป็นน้องเล็กที่พวกพี่ ๆ ยังต้องคอยดูแลอยู่เลย ปีนี้จึงอดตกใจไม่ได้ ที่เห็นมันช่วยพี่ขึ้นตัดมะพร้าวมาขายได้เฉยเลย
และเด็ก ๆ ไม่ได้รับหน้าที่แค่ขึ้นมะพร้าวเท่านั้นนะครับ แต่หมายถึงตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อเจ้าของสวน ทั้งขึ้นและส่งร้าน พวกเขาจัดการกันเองได้หมด
ก็เป็นปกติของเด็กที่นี่ซึ่งคงไม่ใช่แค่นี้ แต่หมายถึงงานทุกอย่าง ที่เด็กจะทำกันเองรับผิดชอบกันเองได้หากไม่มีฅนโต ทั้งงานบ้านงานไร่ขายของ ทุกอย่างจริง ๆ ครับ ความรับผิดชอบของเด็กที่นี่ต่างจากบ้านเรามาก
และการทำงานที่เด็กได้ทำกันเอง จัดการกันเอง ตัดสินใจเองแบบนี้นั่นแหละ ทำให้ไอ้หลานชายถึงกับบอกว่าอิจฉาเด็กแขมร์เลยทีเดียว มันบอกว่าสนุกดีกับการได้ตามเพื่อน ๆ ไปทำงานต่าง ๆ ที่ว่า (ทีอยู่บ้านใช้ให้ทำงานบ้างนี่ยากเหลือเกิน)
แต่ไอ้ฅนไม่สนุกดูจะเป็นผมต่างหาก เพราะตามปกติการมาที่นี่ของผมคือปั่นจักรยาน หรือไม่ก็เดินเที่ยวหาถ่ายภาพอะไรไป แต่งานนี้ต้องตามหลานซึ่งตามเพื่อนเข้าไร่เข้าสวนกันอีกที (ไม่กล้าให้ห่างตานั่นแหละ) และไอ้ที่ว่าจะมาหาข้อมูลไปเขียนอะไรก็เลยไม่มีเวลาเลย
แต่ไม่ว่าอย่างไรการมาครั้งนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งจุดหมาย นั่นคือ ประเพณีแข่งเรือที่ ‘สตึงซ็องแก’
สตึงซ็องแก หรือแม่น้ำซ็องแกแห่งบัตด็อมบองนี้ ถ้าใครเคยฟังเพลงแขมร์ก็ขะได้ยินชื่อในบทเพลงต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง สตึงแปลว่าแม่น้ำ ซ็องแกเป็นชื่อต้นไม้ที่ไทยเรียกว่า ‘สะแก’ สะตึงซองแกจึงแปลว่า ‘แม่น้ำสะแก’ นั่นเองครับ
ในวันออกพรรษาของทุกปีบัตด็อมบองจะมีประเพณีแข่งเรือในแม่น้ำที่ว่านี้ ซึ่งครั้งนี้ผมกะมาให้ตรงจังหวะเพื่อจะได้ไปเที่ยวกัน รถจักรยานยนต์ติดพ่วงท้ายคันเดิมคือพาหนะที่พาพวกเรา (หลายฅน) มุ่งหน้าสู่บัตด็อมบอง
เย็นมากแล้วเมื่อเราไปถึง บริเวณจัดงานจะมีการปิดเส้นทางไม่ให้รถเข้าเราจึงต้องเดินไป หลังจากถ่ายภาพคู่กับสิงโต (ซึ่งถูกพูดถึงบ่อย ๆ ในเพลงอีกเช่นกัน) ตรงหัวสะพานเสร็จเราก็ไปกันต่อ
ฅนเริ่มเยอะขึ้น เด็ก ๆ แวะซื้อน้ำจากร้านค้าข้างทาง ร้านนี้จะมีของขายหลายอย่าง ทั้งเกาลัด ผลไม้แห้ง และขนมต่าง ๆ เหมือนร้านค้าในงานเทศกาลบ้านเรานั่นแหละ ที่สำคัญร้านนี้แขวนป้ายภาษาไทยด้วย ผมลองถามดูจึงได้ทราบว่าเจ้าของเป็นฅนไทยที่มาเปิดร้านช่วงออกพรรษานี้
ระหว่างเดินกันอยู่นั้นเมื่อผ่านร้านไอติมไอ้ปั๊มเกิดอยากกินจึงให้มันไปซื้อ อยากดูว่ามันจะซื้อได้ไหมอย่างไรด้วย แต่เนื่องจากฅนเยอะมากและคณะของเราเลยไปกันแล้วจึงซื้อไม่ทัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกาะขบวนกันให้ดี เพราะฅนเยอะแบบนี้จะหลงเอาได้ง่าย ๆ นั่นแหละ

(จะซื้อไอติมแต่ไม่ทัน)
และตอนนี้ผมนอกจากต้องเดินเบียดหมู่ฅนไป ยังต้องคอยมองหน้ามองหลังไปตลอด นั่นเพราะไอ้ปั๊มมันเดินลิ่วนำหน้าขบวนโน่น ขณะที่ไอ้ก๊อบอ้อยอิ่งอยู่ท้ายขบวนเสียอย่างนั้น พลัดหลงกันขึ้นมาแล้วจะวุ่นนั่นสิ ยิ่งต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ด้วย บางครั้งก็ต้องบอกให้ไอ้ปั๊มช้าลงหน่อย หรือไม่ก็หันไปเร่งไอ้ก๊อบให้ไวหน่อย คิดผิดจริง ๆ ที่พามาสองฅนแบบนี้
ในที่สุดก็มาถึงจุดชมการแข่งเรือ เราลงไปนั่งริมตลิ่งกัน วันนี้ฅนเยอะมากจึงทำให้การแข่งเรือดูมีรสชาติขึ้นอีก นั่งดูกันได้สักพักไอ้ปั๊มก็ขอเงินไปหาซื้ออะไรกิน เมื่อได้เงินมันก็หายไปสักพักก็กลับมาพร้อมไข่ข้าว อาหารยอดนิยมของที่นี่ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเออ แล้วมันไปซื้อมาได้อย่างไรในเมื่อพูดภาษาไม่ได้สักแอะ จะใช้ อือ อือ แบบไอ้ก๊อบนี่คงไม่ได้แล้ว ซึ่งตรงนี้คงต้องยอมใจมัน
เรานั่งกันจนเย็นจึงออกเดินดูบรรยากาศของงานกัน ฟ้าเริ่มมืด ร้านรวงเริ่มมีสีสัน ขณะเดินไปก็มีฅนมากันให้เราออกข้างทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดบัตด็อมบองมาเดินชมงานนั่นเอง มาหนนี้ได้กระทบไหล่ผู้ว่าด้วย แฮ่ม
เราเดินออกจากงานพอดีกับมีการจุดพลุกัน และเมื่อกลับมาถึงรถที่จอดอยู่จึงได้เห็นว่ารอบนอกนี้จะมีเวทีเต้นรำ มีรถบั๊มให้บรรดาหนุ่มสาวได้สนุกกันด้วย รถบั๊มดูจะทำให้ไอ้สองฅนสนใจทีเดียว เนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะรถบั๊มแถวบ้านผมสมัยนี้จะหาไม่ค่อยได้แล้ว (จากการที่วัยรุ่นชอบตีกันนั่นแหละ) ก็ได้แต่บอกมันว่าเอ็งเกิดกันช้าไปหน่อย
และคงต้องขออนุญาตจบการท่องขแมร์หนนี้ลงแต่เพียงนี้ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๒๒ พาหลาน (คูณสอง) ลุยแขมร์
หลังจากได้พาหลานย่ำแขมร์มาหนหนึ่งแล้ว อีกสามปีต่อมาผมก็มีโอกาสได้พาไอ้ก๊อบไปแขมร์ด้วยกันอีกครั้ง ครั้งนี้มันยังพาเพื่อนไปด้วยอีกหนึ่งฅน ไม่รู้มันคุยกันอย่างไรท่าไหนเหมือนกันไอ้ปั๊มจึงตามไปด้วย งานนี้เลยมีเด็กสองฅนด้วยกันตามผมไปแขมร์
เรานั่งรถโดยสารตั้งแต่ออกจากบ้านกันเลย (ทุกครั้งจะต้องมีคนมาส่งที่ชายแดน) และเราต้องไปลงที่จันทบุรีก่อนแล้วจึงต่อรถไปชายแดนอีกที
ถึงชายแดนก็เกิดปัญหาจนได้ เพราะเพื่อนที่มารับดันรออยู่ทางฝั่งขแมร์ไม่ได้ข้ามมาฝั่งไทย แถมยังปิดโทรศัพท์ติดต่อกันไม่ได้อีกต่างหาก เด็ก ๆ ไม่มีพาสปอร์ต ผมพาเข้าไม่ได้แน่นอกจากให้เพื่อนพาเป็นเด็กแขมร์เข้าไปเหมือนครั้งก่อน
ผมตัดสินใจทิ้งหลานไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งไทยก่อนส่วนผมไปประทับตราพาสปอร์ต คิดว่าเมื่อประทับตราได้เข้าไปเจอเพื่อนแล้วค่อยให้เพื่อนออกมารับมันกัน ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำไอ้สองฅนนั่นก็หน้าตื่นมาหา บอกว่ามีใครไม่รู้เข้ามาซักถามว่ามาจากไหนจะไปไหน มันไม่ไว้ใจเลยไม่กล้ารออยู่ที่นั่นกัน เอาไงดีล่ะที่นี้...
และตรงนี้คงต้องขอข้ามอีกนะครับว่า ในที่สุดแล้วหลานผมสองฅนเข้าไปได้อย่างไร เอาเป็นว่าผมใช้ความสามรถเฉพาะตัวพาพวกมันเข้าไปด้วยกันจนได้นั่นแหละครับ แฮ่…
.
เพื่อนผมนำรถจักรยานยนต์ติดพ่วงท้ายสำหรับขนของมาจอดรอบริเวณด่าน ต.ม. พร้อมกับเด็ก ๆ อีกหลายฅน ที่คงจะมารอรับไอ้ก๊อบมันนั่นแหละ และคงเป็นเพราะมีเด็กมาด้วยหลายฅนนั่นเอง เพื่อนผมจึงไม่อยากข้ามแดนไปรับเรากัน (ถึงได้วุ่นวายนิดหน่อย) และเมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันทันที
.
เมื่อถึงพนมยาตเราแวะหาอะไรกินที่นั่นกัน อิ่มหนำแล้วพวกเด็ก ๆ ก็พากันขึ้นเขาเดินดูอะไรบนนั้น ผมกับเพื่อนรออยู่ตรงบริเวณศาลายายยาตไม่ได้ขึ้นไปกับพวกมัน เพราะเป็นทางผ่านที่จะแวะบ่อยอยู่แล้วจึงขี้เกียจนั่นแหละ
เมื่อเด็ก ๆ ลงมากันแล้วก็เดินทางต่อ
“เมิงเอาอย่างกู ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็พยักหน้า แล้วก็ อือ อือ อือ”
ไอ้ก๊อบหันไปแนะนำไอ้ปั๊มอย่างผู้ชำนาญขณะนั่งรถมากัน เพิ่งเข้าใจเคล็ดลับการเล่นกับเพื่อนที่พูดฅนละภาษาของมันก็หนนี้แหละ ไม่ต้องอะไรมาก อือ อือ ไว้ก่อนก็พอสินะไอ้ก๊อบ
.
เมื่อถึงจ็อมการ์ละมุดเด็ก ๆ ก็พากันไปเล่นน้ำก่อนเลย ตรงชายนามีสระน้ำที่เพิ่งขุดใหม่ ซึ่งตอนไอ้ก๊อบมาครั้งก่อนยังไม่มี นั่นดูจะถูกใจมันสองฅนทีเดียว เพราะอย่างที่บอกว่าหลานผมมันจะชอบน้ำคลองน้ำทุ่งมากกว่าน้ำทะเล
.
การมาแขมร์หนนี้ของผมนอกจากมาเที่ยวแล้วยังตั้งใจมาหาข้อมูลเพื่องานเขียนจากการเริ่มได้หัดเขียนหนังสือของผม และที่ผมสนใจก็คือเรื่องของทหารเด็กในยุคแขมร์กรอฮอมหรือเขมรแดง คิดพล็อตไว้ดิบดีแต่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยจึงต้องมาหาถึงนี่
เด็กชายวัยสิบสามถูกต้อนออกจากพนมเปญ ถูกฝึกเป็นทหาร และกลายเป็นเพชฌฆาต ฅนแรกที่เขาฆ่าคือลูกฅนรวยที่เมื่อก่อนจะคอยรังแกเขาเสมอ เด็กชายจึงฆ่าเด็กฅนนั้นผสมความแค้นส่วนตัว หลังจากนั้นเขารู้สึกชอบใจที่สามารถฆ่าฅนได้ และรับหน้าที่เพชฌฆาตโดยไม่คิดอะไร ต่อมาวันหนึ่งแม่ของเขาทำผิด และต้องถูกสังหาร โดยเพื่อนของเขาเป็นฅนลงมือ นั่นทำให้เขาทะเลาะกับเพื่อนจนต้องถูกขังคุก วันหนึ่งเขาถูกปล่อยออกมา เพื่อให้สังหารนักโทษฅนหนึ่งเป็นการแก้ตัว และนักโทษฅนนั้นคือเพื่อนฅนที่ฆ่าแม่ของเขานั่นเอง เพียงแต่วันนี้ความคิดของเขากลับเปลี่ยนไปแล้ว...
ผมเล่าพล็อตที่อยากเขียนให้เพื่อนฟังคร่าว ๆ หลังจากนั่งนิ่งฟังผมเล่าจนจบเขาก็เอ่ยขึ้น...
“เด็กพวกนี้น่ะ มันฆ่าได้ทั้งนั้นแหละ แม่มันก็ฆ่าได้ เขมรแดงมันจะล้างสมองว่าไม่ใช่แม่ แต่เป็นกบฏ ต้องฆ่าทิ้ง”
ยอมรับว่าผมฟังคำพูดของเขาแล้วถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน เรื่องจริงบางครั้งก็โหดกว่านิยายจนเราคิดไม่ถึง
.
และเอาเข้าจริงผมกลับไม่ได้ข้อมูลเชิงลึกอะไรเลย น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ ผมดันมุ่งประเด็นไปที่ทหารเด็กอย่างเดียวนี่สิ ทั้งที่เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามยังมีอีกหลายแง่มุม และถ้าตัดเรื่องทหารออกไป ข้อมูลจากเพื่อนผมนั่นแหละเพียบเลย หลายเรื่องในต่างชายคาฟ้าเดียวกันที่เขียนขึ้นหลังจากนี้ ล้วนมาจากเพื่อนผมทั้งนั้น (ถือโอกาสโฆษณาเสียเลย แฮ่…)
ดูเหมือนจะพาไปไหนต่อไหนอีกแล้ว มาว่ากันเรื่องของหลาน ๆ ผมบ้างดีกว่าครับ
แน่นอนว่าการมาหนนี้ไม่ต้องมีการปรับตัวอะไรแล้วสำหรับไอ้ก๊อบ ไอ้ปั๊มที่ตามมาอีกฅนก็ดูจะสนุกลูกเดียวเช่นกัน และความสนุกที่ว่าไม่ได้มาจากการเล่นเท่านั้นนะครับ อยู่ที่นี่แม้แต่การทำงานก็ทำให้ไอ้สองฅนนั่นสนุกได้เหมือนกัน
เพื่อนผมนั้นนอกจากทำไร่ทำนาตามปกติแล้ว ยังมีการค้าขายเล็กน้อยอีกด้วย โดยภรรยาของเพื่อนผมจะไปขายผักผลไม้ที่ตลาดในตอนเช้า นอกจากนั้นครอบครัวของเขายังหาซื้อผลไม้ไปส่งตามร้านค้าต่าง ๆ ด้วย หนึ่งในผลไม้ขายดีของที่นี่ก็คือมะพร้าวอ่อน และการหาซื้อมะพร้าวอ่อนไปขายต่อนั้นผู้ซื้อต้องหาฅนไปขึ้นเอง
สำหรับเพื่อนผมนั้นไม่ต้องไปหาใครที่ไหนหรอก ลูกชายสามฅนของเขานั่นแหละ โดยเฉพาะไอ้ฅนที่ว่าปีเดียวกับหลานผมนี่ เมื่อปีที่แล้วตอนผมมา มันยังดูเป็นน้องเล็กที่พวกพี่ ๆ ยังต้องคอยดูแลอยู่เลย ปีนี้จึงอดตกใจไม่ได้ ที่เห็นมันช่วยพี่ขึ้นตัดมะพร้าวมาขายได้เฉยเลย
และเด็ก ๆ ไม่ได้รับหน้าที่แค่ขึ้นมะพร้าวเท่านั้นนะครับ แต่หมายถึงตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อเจ้าของสวน ทั้งขึ้นและส่งร้าน พวกเขาจัดการกันเองได้หมด
ก็เป็นปกติของเด็กที่นี่ซึ่งคงไม่ใช่แค่นี้ แต่หมายถึงงานทุกอย่าง ที่เด็กจะทำกันเองรับผิดชอบกันเองได้หากไม่มีฅนโต ทั้งงานบ้านงานไร่ขายของ ทุกอย่างจริง ๆ ครับ ความรับผิดชอบของเด็กที่นี่ต่างจากบ้านเรามาก
และการทำงานที่เด็กได้ทำกันเอง จัดการกันเอง ตัดสินใจเองแบบนี้นั่นแหละ ทำให้ไอ้หลานชายถึงกับบอกว่าอิจฉาเด็กแขมร์เลยทีเดียว มันบอกว่าสนุกดีกับการได้ตามเพื่อน ๆ ไปทำงานต่าง ๆ ที่ว่า (ทีอยู่บ้านใช้ให้ทำงานบ้างนี่ยากเหลือเกิน)
แต่ไอ้ฅนไม่สนุกดูจะเป็นผมต่างหาก เพราะตามปกติการมาที่นี่ของผมคือปั่นจักรยาน หรือไม่ก็เดินเที่ยวหาถ่ายภาพอะไรไป แต่งานนี้ต้องตามหลานซึ่งตามเพื่อนเข้าไร่เข้าสวนกันอีกที (ไม่กล้าให้ห่างตานั่นแหละ) และไอ้ที่ว่าจะมาหาข้อมูลไปเขียนอะไรก็เลยไม่มีเวลาเลย
แต่ไม่ว่าอย่างไรการมาครั้งนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งจุดหมาย นั่นคือ ประเพณีแข่งเรือที่ ‘สตึงซ็องแก’
สตึงซ็องแก หรือแม่น้ำซ็องแกแห่งบัตด็อมบองนี้ ถ้าใครเคยฟังเพลงแขมร์ก็ขะได้ยินชื่อในบทเพลงต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง สตึงแปลว่าแม่น้ำ ซ็องแกเป็นชื่อต้นไม้ที่ไทยเรียกว่า ‘สะแก’ สะตึงซองแกจึงแปลว่า ‘แม่น้ำสะแก’ นั่นเองครับ
ในวันออกพรรษาของทุกปีบัตด็อมบองจะมีประเพณีแข่งเรือในแม่น้ำที่ว่านี้ ซึ่งครั้งนี้ผมกะมาให้ตรงจังหวะเพื่อจะได้ไปเที่ยวกัน รถจักรยานยนต์ติดพ่วงท้ายคันเดิมคือพาหนะที่พาพวกเรา (หลายฅน) มุ่งหน้าสู่บัตด็อมบอง
เย็นมากแล้วเมื่อเราไปถึง บริเวณจัดงานจะมีการปิดเส้นทางไม่ให้รถเข้าเราจึงต้องเดินไป หลังจากถ่ายภาพคู่กับสิงโต (ซึ่งถูกพูดถึงบ่อย ๆ ในเพลงอีกเช่นกัน) ตรงหัวสะพานเสร็จเราก็ไปกันต่อ
ฅนเริ่มเยอะขึ้น เด็ก ๆ แวะซื้อน้ำจากร้านค้าข้างทาง ร้านนี้จะมีของขายหลายอย่าง ทั้งเกาลัด ผลไม้แห้ง และขนมต่าง ๆ เหมือนร้านค้าในงานเทศกาลบ้านเรานั่นแหละ ที่สำคัญร้านนี้แขวนป้ายภาษาไทยด้วย ผมลองถามดูจึงได้ทราบว่าเจ้าของเป็นฅนไทยที่มาเปิดร้านช่วงออกพรรษานี้
ระหว่างเดินกันอยู่นั้นเมื่อผ่านร้านไอติมไอ้ปั๊มเกิดอยากกินจึงให้มันไปซื้อ อยากดูว่ามันจะซื้อได้ไหมอย่างไรด้วย แต่เนื่องจากฅนเยอะมากและคณะของเราเลยไปกันแล้วจึงซื้อไม่ทัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกาะขบวนกันให้ดี เพราะฅนเยอะแบบนี้จะหลงเอาได้ง่าย ๆ นั่นแหละ
(จะซื้อไอติมแต่ไม่ทัน)
และตอนนี้ผมนอกจากต้องเดินเบียดหมู่ฅนไป ยังต้องคอยมองหน้ามองหลังไปตลอด นั่นเพราะไอ้ปั๊มมันเดินลิ่วนำหน้าขบวนโน่น ขณะที่ไอ้ก๊อบอ้อยอิ่งอยู่ท้ายขบวนเสียอย่างนั้น พลัดหลงกันขึ้นมาแล้วจะวุ่นนั่นสิ ยิ่งต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ด้วย บางครั้งก็ต้องบอกให้ไอ้ปั๊มช้าลงหน่อย หรือไม่ก็หันไปเร่งไอ้ก๊อบให้ไวหน่อย คิดผิดจริง ๆ ที่พามาสองฅนแบบนี้
ในที่สุดก็มาถึงจุดชมการแข่งเรือ เราลงไปนั่งริมตลิ่งกัน วันนี้ฅนเยอะมากจึงทำให้การแข่งเรือดูมีรสชาติขึ้นอีก นั่งดูกันได้สักพักไอ้ปั๊มก็ขอเงินไปหาซื้ออะไรกิน เมื่อได้เงินมันก็หายไปสักพักก็กลับมาพร้อมไข่ข้าว อาหารยอดนิยมของที่นี่ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเออ แล้วมันไปซื้อมาได้อย่างไรในเมื่อพูดภาษาไม่ได้สักแอะ จะใช้ อือ อือ แบบไอ้ก๊อบนี่คงไม่ได้แล้ว ซึ่งตรงนี้คงต้องยอมใจมัน
เรานั่งกันจนเย็นจึงออกเดินดูบรรยากาศของงานกัน ฟ้าเริ่มมืด ร้านรวงเริ่มมีสีสัน ขณะเดินไปก็มีฅนมากันให้เราออกข้างทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดบัตด็อมบองมาเดินชมงานนั่นเอง มาหนนี้ได้กระทบไหล่ผู้ว่าด้วย แฮ่ม
เราเดินออกจากงานพอดีกับมีการจุดพลุกัน และเมื่อกลับมาถึงรถที่จอดอยู่จึงได้เห็นว่ารอบนอกนี้จะมีเวทีเต้นรำ มีรถบั๊มให้บรรดาหนุ่มสาวได้สนุกกันด้วย รถบั๊มดูจะทำให้ไอ้สองฅนสนใจทีเดียว เนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะรถบั๊มแถวบ้านผมสมัยนี้จะหาไม่ค่อยได้แล้ว (จากการที่วัยรุ่นชอบตีกันนั่นแหละ) ก็ได้แต่บอกมันว่าเอ็งเกิดกันช้าไปหน่อย
และคงต้องขออนุญาตจบการท่องขแมร์หนนี้ลงแต่เพียงนี้ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.