อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่ ๑๐ บัตด็อมบอง ขนมไทย และมาลาเรีย
ขออนุญาตเท้าความกันหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่หมู่บ้านจ็อมการ์ละมุดแห่งบัตด็อมบอง เรามาส่งยายมาขแมร์กัน ที่นี่ทำให้ผมเหมือนได้ย้อนยุคมายังสมัยก่อนสงคราม วิถีชีวิตของผู้ฅนและหลายสิ่งนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะผ่านวันเวลามาร่วมยี่สิบสามสิบปีก็ตาม มันคืออดีตที่ถูกเก็บไว้รอให้ผมได้มาเจอในวันนี้ก็ว่าได้
.
เมื่อเรามาถึงบรรดาชาวบ้านต่างมารุมล้อมกันทีเดียว ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นฅนไทยแล้วดูแปลกแตกต่างเป็นตัวประหลาดอะไรนะครับ แต่จะเหมือนการที่ญาติพี่น้องนานครั้งจะได้เจอกันทีเสียมากกว่า
อย่างที่บอกว่าวิถีชีวิตของผู้ฅนที่นี่นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ไม่ต่างจากสังคมชนบทของไทยในอดีต ที่ยังคงอบอุ่นแบบสังคมแคบ แคบในที่นี้หมายถึงทุกฅนในชุมชนต่างรู้จักกัน เป็นเพื่อนเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้องกันเสียทุกฅน และไม่ว่าใครมีอะไรที่ไหนทุกฅนรับรู้กันได้หมด แม่ของเพื่อนผมถึงจะไปอยู่ไทยนานมากแล้ว (ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ) และแม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านเกิดของแกก็ตาม แต่ญาติพี่น้องฅนรู้จักซึ่งอยู่ฝั่งนี้ทุกฅนยังจำกันได้ ยิ่งเป็นครั้งแรกที่แกได้กลับมาแผ่นดินเกิดแบบนี้ ต่างมาทักทายตอนรับกันอบอุ่นเลยทีเดีย
ที่นี่นอกจากที่ผมบอกว่าภูมิประเทศจะคล้ายกับทางอีสานแล้ว สภาพบ้านเรือนยังอยู่กันเป็นกลุ่มแบบทางอีสานเช่นกัน ผิดกับแถวบ้านผมที่จะอยู่ค่อนข้างกระจายกันไปตามเรือกสวนไร่นา
ฮ้ง หลานเขยที่ไปรับยายจากชายแดนไทยพาเรา (ผมกับเพื่อน) ไปเที่ยวบัตด็อมบองหลังจากมาถึงได้สองวัน รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อไม่มีหลังคาดูเหมาะกับสภาพเส้นทางซึ่งลาดยาง (ลอก) หมดแล้วแบบนี้มาก
ผู้โดยสารอัดกันไปแน่นจนเต็มคันรถ ยิ่งเข้าใกล้บัตด็อมบองเส้นทางดูจะยิ่งวิบากมากขึ้น มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่บางครั้งถึงขนาดต้องสร้างสะพานเล็ก ๆ ข้ามกันเลยก็มี ครับ สะพานข้ามแอ่งน้ำบนถนนนั่นแหละ คิดดูเองก็แล้วกันว่าจะขนาดไหน
ระหว่างทางผมสังเกตเห็นภูเขาหินปูนลูกหนึ่ง มันดูสะดุดตาทีเดียว มีสิ่งก่อสร้างทางศาสนาอยู่บนนั้นด้วย เขาบอกว่ามันชื่อเขาสำเภา หรือ พนมซ็อมโปว (ភ្នំសំពៅ) ที่นี่จึงเป็นจุดหมายหนึ่งซึ่งผมคิดว่าจะต้องได้ขึ้นไปสัมผัสในสักวัน
ฮ้งพาเราแวะหาพี่สาวหรือพาไปทำความรู้จักกันก่อนเข้าตลาด พี่สาวของฮ้งมีอาชีพเลี้ยงเป็ด โดยจะใช้ตาข่ายล้อมเล้าเป็นวงกว้าง กลางเล้าเป็ดนั้นจะมีเพิงพักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวเขา เราทักทายกันสักพักฮ้งก็พาเข้าสำรวจตัวจังหวัดกัน
.
จังหวัดบัตด็อมบองนั้นถือว่าเป็นกรุง (City) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากพนมเปญ ชื่อบัตด็อมบองนั้นจะแปลว่า ‘ตะบองหาย’ สมัยอดีตบัตด็อมบองเคยเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนไทยเช่นกัน
วัดช้างเผือก หรือ ‘วัดด็อมเร็ยซอ’ (វត្តដំរីស) เป็นสถานที่แรกซึ่งเราได้รู้จักในบัตด็อมบอง
เมื่อออกจากวัดมาเราก็เดินเข้าตลาดกันต่อ จากที่ได้เห็นผมว่าบัตด็อมบองนี้เป็นจังหวัดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เพียงแต่สภาพตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ในตอนนี้จะเป็นตึกร้างเสียมากกว่า บางแห่งมีฅนอยู่ แต่เป็นเพียงผู้ไม่มีที่อาศัยมาพักพิงกันชั่วคราวเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็มองออกนั่นแหละว่าบัตด็อมบองก่อนสงครามนั้นน่าจะใหญ่มาก ใหญ่กว่าจังหวัดตราดบ้านผมในตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ ผมเห็นมีโรงหนังใหญ่โตที่นี่ด้วย แน่นอนว่ามันร้างไปแล้ว หอนาฬิกาบริเวณตลาดเก่าดูจะเป็นที่หมายหรือแลนด์มาร์กได้เป็นอย่างดี แม้มันจะไม่ได้ใช้งานแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรมันก็ช่วยยืนยันภาพอดีตของบัตด็อมบองได้เป็นอย่างดีนั่นแหละครับ
.
หลังจากเดินดูอะไรสักพัก เราก็หาข้าวกินในตลาดเก่ากัน จากนั้นฮ้งพาเรากลับออกมาทางวัดด็อมเร็ยซออีกครั้งเพื่อเตรียมกลับบ้าน ผมหาซื้อหนังสือเล่มหนึ่งที่มีขายบริเวณนั้นเพื่อจะได้เอามาแกะอ่าน เพราะพออ่านแบบงูงูปลาปลาได้แล้วจากตำราเรียนด้วยตนเอง
หนนี้เราได้เที่ยวกันไม่มากนัก เรียกว่าเดินยังไม่ทันทั่วฮ้งก็พาเรากลับกันเสียก่อน
.
จะกลับไทยกันในอีกสองวันแล้ว แต่ผมกับเพื่อนยังไม่เคยได้ลองไปหาอะไรกินในตลาดตอนกลางคืนกันเลย คืนนี้หลังจากดูชาวบ้านร้องคาราโอเกะกันแล้วเราสองฅนจึงออกไปโต้รุ่งกัน ไม่รู้จะเรียกว่าโต้รุ่งได้หรือเปล่ากับร้านขายขนมหวานที่มีเพียงไม่กี่ร้านในตลาดตอนกลางคืนของที่นี่ มันดูมืดทีเดียว แต่ละร้านจะมีหลอดไฟเล็ก ๆ ซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์เพียงหลอดเดียว เราเดินเข้าไปโดยไม่รู้เลยว่าขนมที่มีขายนั้นมันคือขนมอะไร จะเรียกจะสั่งกันอย่างไรถูกไหมยังไม่รู้เลย
แต่เอาเข้าจริงเรากลับไม่ต้องพูดต้องสั่งเลยสักคำ แม่ค้าร้องทักทายชวนซื้อขนม เมื่อเราเดินเข้าไป และเมื่อเห็นเรามีทีท่าว่าอุดหนุนแน่เธอก็จัดแจงตักขนมใส่ถ้วยให้เลย เรารับถ้วยขนมแล้วมานั่งกินบนม้านั่งข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะที่แม่ค้าหันไปนั่งคุยกับลูกค้าของเธอ ซึ่งนอกจากเราแล้วก็มีแต่ไอ้หนุ่มนั่นเพียงฅนเดียวในร้านนี้ สองฅนนั่งคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันไปในความสลัวโดยไม่ได้สนใจอะไรเรา เราก็นั่งกินขนมที่ไม่รู้จักชื่อนั้นกันไป
ครับ ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักหรอกว่ามันชื่อขนมอะไร ตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันชื่อ บองแอมไทย หรือบองแอมเซียม
ได้ยินคำว่าเซียมว่าไทยนี่ก็ดูน่าสนใจแล้วใช่ไหมเล่าครับ ซึ่งคำว่าบองแอมไทยนี้แปลได้ว่าขนมไทยนั่นเอง แต่ทั้งนี้ฅนไทยคงไม่รู้จัก และคงหากินในเมืองไทยไม่ได้เช่นกัน ก็คงเหมือนเราที่มีลอดช่องสิงคโปร์ มีขนมจีน แต่ฅนจีนฅนสิงคโปร์ไม่รู้จักนั่นแหละ
แต่มันก็เป็นขนมไทยจริง ๆ นา เอ๊ะ อย่างไร คือมันเป็นการเอาขนมหวานของไทยทั้งหลายแหล่บรรดามี ไม่ว่าจะเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน วุ้น หรือแม้แต่ข้าวเหนียวถั่วดำ นำทุกอย่างมาใส่รวมกัน จากนั้นก็โปะน้ำแข็งไส ราดนมข้นหวานลงไปอีก รสชาติเป็นอย่างไรลองหามาทำกันดูนะครับ
หลังเสร็จสรรพจากการลองลิ้มชิมรสแล้วก็ได้เวลากลับบ้านนอน ก็สอบถามราคาเตรียมจ่ายเงิน
“อ้าวฅนไทยเหรอ คุยกันก่อนได้นะหนูพูดไทยได้” แม่ค้ารีบบอกทันทีที่รู้ว่าเรามาจากไทย แถมยังคะยั้นคะยอให้นั่งคุยกับเธออีก ทีเมื่อสักครู่ยังไม่สนใจกันเลยนะ แฮ่... ผมคิดพลางหันมองไอ้หนุ่มของเธอ และบอกว่าคงต้องขอตัวกลับไปนอนกันก่อน แต่ได้ตกลงกับเพื่อนไว้แล้วว่าคืนพรุ่งนี้เราจะมากินขนมกันอีก
เพียงแต่กลับมีมารผจญจนได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างมัน มาลาเรียนั่นแหละ มันเข้ามาจู่โจมผมอีกครั้งหลังจากถอยดูเชิงสักระยะ
เมื่อกลับถึงบ้านผมก็รู้สึกไม่สบาย ตื่นเช้ามาอาการก็ดูจะรุนแรงขึ้น ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายเลยทีเดียว ห้องส้วมที่นี่ในตอนนั้นจะเป็นแบบส้วมหลุม เรียกว่าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่อยากจะเข้าหรอก แต่ตอนนี้ผมนั่งแช่อยู่ในนั้นแหละ ใครจะปวดจะอะไรหาทางจัดการกันเองก็แล้วกัน
ที่สำคัญคือพรุ่งนี้เราจะกลับไทยกันแล้ว ผมดันมาป่วยเสียอีก จะข้ามเขากันได้อย่างไรนี่สิ
แต่เช้ารุ่งขึ้นผมกลับมีอาการดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น และสามารถกลับไทยได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย (นี่แหละมาลาเรีย)
เมื่อถึงเมืองไทยผมก็ทรุดหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
“เป็นอะไรรู้ไหม” นายแพทย์ที่คิดว่าคงเป็นหมอผู้ดูแลอาการป่วยของผมถามขึ้นขณะผมนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงฉุกเฉินตรงจุดคัดกรอง
“มาลาเรียครับ” ผมตอบเสียงแผ่วออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ทำไมรู้ล่ะ” นายแพทย์ฅนนั้นยังคงถามต่อ
“ผมเรื้อรังอยู่กับมันมาเป็นสิบปีแล้วครับ” ผมตอบไป หมอยิ้มก่อนตอบออกมา
“ดีเลย หมอจะได้เปลี่ยนยาให้ใหม่”
นั่นแหละครับ มาลาเรียในตัวผมมันคงได้เจอยาแรงเสียที เราจึงโบกมือบ๊ายบายกันได้อย่างเด็ดขาดนับจากวันนั้นมา แต่เรื่องราวของผมกับเมืองแขมร์ยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ...
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๐)
โดย : ละเว้
บทที่ ๑๐ บัตด็อมบอง ขนมไทย และมาลาเรีย
ขออนุญาตเท้าความกันหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่หมู่บ้านจ็อมการ์ละมุดแห่งบัตด็อมบอง เรามาส่งยายมาขแมร์กัน ที่นี่ทำให้ผมเหมือนได้ย้อนยุคมายังสมัยก่อนสงคราม วิถีชีวิตของผู้ฅนและหลายสิ่งนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะผ่านวันเวลามาร่วมยี่สิบสามสิบปีก็ตาม มันคืออดีตที่ถูกเก็บไว้รอให้ผมได้มาเจอในวันนี้ก็ว่าได้
.
เมื่อเรามาถึงบรรดาชาวบ้านต่างมารุมล้อมกันทีเดียว ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นฅนไทยแล้วดูแปลกแตกต่างเป็นตัวประหลาดอะไรนะครับ แต่จะเหมือนการที่ญาติพี่น้องนานครั้งจะได้เจอกันทีเสียมากกว่า
อย่างที่บอกว่าวิถีชีวิตของผู้ฅนที่นี่นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ไม่ต่างจากสังคมชนบทของไทยในอดีต ที่ยังคงอบอุ่นแบบสังคมแคบ แคบในที่นี้หมายถึงทุกฅนในชุมชนต่างรู้จักกัน เป็นเพื่อนเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้องกันเสียทุกฅน และไม่ว่าใครมีอะไรที่ไหนทุกฅนรับรู้กันได้หมด แม่ของเพื่อนผมถึงจะไปอยู่ไทยนานมากแล้ว (ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ) และแม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านเกิดของแกก็ตาม แต่ญาติพี่น้องฅนรู้จักซึ่งอยู่ฝั่งนี้ทุกฅนยังจำกันได้ ยิ่งเป็นครั้งแรกที่แกได้กลับมาแผ่นดินเกิดแบบนี้ ต่างมาทักทายตอนรับกันอบอุ่นเลยทีเดีย
ที่นี่นอกจากที่ผมบอกว่าภูมิประเทศจะคล้ายกับทางอีสานแล้ว สภาพบ้านเรือนยังอยู่กันเป็นกลุ่มแบบทางอีสานเช่นกัน ผิดกับแถวบ้านผมที่จะอยู่ค่อนข้างกระจายกันไปตามเรือกสวนไร่นา
ฮ้ง หลานเขยที่ไปรับยายจากชายแดนไทยพาเรา (ผมกับเพื่อน) ไปเที่ยวบัตด็อมบองหลังจากมาถึงได้สองวัน รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อไม่มีหลังคาดูเหมาะกับสภาพเส้นทางซึ่งลาดยาง (ลอก) หมดแล้วแบบนี้มาก
ผู้โดยสารอัดกันไปแน่นจนเต็มคันรถ ยิ่งเข้าใกล้บัตด็อมบองเส้นทางดูจะยิ่งวิบากมากขึ้น มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่บางครั้งถึงขนาดต้องสร้างสะพานเล็ก ๆ ข้ามกันเลยก็มี ครับ สะพานข้ามแอ่งน้ำบนถนนนั่นแหละ คิดดูเองก็แล้วกันว่าจะขนาดไหน
ระหว่างทางผมสังเกตเห็นภูเขาหินปูนลูกหนึ่ง มันดูสะดุดตาทีเดียว มีสิ่งก่อสร้างทางศาสนาอยู่บนนั้นด้วย เขาบอกว่ามันชื่อเขาสำเภา หรือ พนมซ็อมโปว (ភ្នំសំពៅ) ที่นี่จึงเป็นจุดหมายหนึ่งซึ่งผมคิดว่าจะต้องได้ขึ้นไปสัมผัสในสักวัน
ฮ้งพาเราแวะหาพี่สาวหรือพาไปทำความรู้จักกันก่อนเข้าตลาด พี่สาวของฮ้งมีอาชีพเลี้ยงเป็ด โดยจะใช้ตาข่ายล้อมเล้าเป็นวงกว้าง กลางเล้าเป็ดนั้นจะมีเพิงพักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวเขา เราทักทายกันสักพักฮ้งก็พาเข้าสำรวจตัวจังหวัดกัน
.
จังหวัดบัตด็อมบองนั้นถือว่าเป็นกรุง (City) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากพนมเปญ ชื่อบัตด็อมบองนั้นจะแปลว่า ‘ตะบองหาย’ สมัยอดีตบัตด็อมบองเคยเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนไทยเช่นกัน
วัดช้างเผือก หรือ ‘วัดด็อมเร็ยซอ’ (វត្តដំរីស) เป็นสถานที่แรกซึ่งเราได้รู้จักในบัตด็อมบอง
เมื่อออกจากวัดมาเราก็เดินเข้าตลาดกันต่อ จากที่ได้เห็นผมว่าบัตด็อมบองนี้เป็นจังหวัดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เพียงแต่สภาพตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ในตอนนี้จะเป็นตึกร้างเสียมากกว่า บางแห่งมีฅนอยู่ แต่เป็นเพียงผู้ไม่มีที่อาศัยมาพักพิงกันชั่วคราวเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็มองออกนั่นแหละว่าบัตด็อมบองก่อนสงครามนั้นน่าจะใหญ่มาก ใหญ่กว่าจังหวัดตราดบ้านผมในตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ ผมเห็นมีโรงหนังใหญ่โตที่นี่ด้วย แน่นอนว่ามันร้างไปแล้ว หอนาฬิกาบริเวณตลาดเก่าดูจะเป็นที่หมายหรือแลนด์มาร์กได้เป็นอย่างดี แม้มันจะไม่ได้ใช้งานแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรมันก็ช่วยยืนยันภาพอดีตของบัตด็อมบองได้เป็นอย่างดีนั่นแหละครับ
.
หลังจากเดินดูอะไรสักพัก เราก็หาข้าวกินในตลาดเก่ากัน จากนั้นฮ้งพาเรากลับออกมาทางวัดด็อมเร็ยซออีกครั้งเพื่อเตรียมกลับบ้าน ผมหาซื้อหนังสือเล่มหนึ่งที่มีขายบริเวณนั้นเพื่อจะได้เอามาแกะอ่าน เพราะพออ่านแบบงูงูปลาปลาได้แล้วจากตำราเรียนด้วยตนเอง
หนนี้เราได้เที่ยวกันไม่มากนัก เรียกว่าเดินยังไม่ทันทั่วฮ้งก็พาเรากลับกันเสียก่อน
.
จะกลับไทยกันในอีกสองวันแล้ว แต่ผมกับเพื่อนยังไม่เคยได้ลองไปหาอะไรกินในตลาดตอนกลางคืนกันเลย คืนนี้หลังจากดูชาวบ้านร้องคาราโอเกะกันแล้วเราสองฅนจึงออกไปโต้รุ่งกัน ไม่รู้จะเรียกว่าโต้รุ่งได้หรือเปล่ากับร้านขายขนมหวานที่มีเพียงไม่กี่ร้านในตลาดตอนกลางคืนของที่นี่ มันดูมืดทีเดียว แต่ละร้านจะมีหลอดไฟเล็ก ๆ ซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์เพียงหลอดเดียว เราเดินเข้าไปโดยไม่รู้เลยว่าขนมที่มีขายนั้นมันคือขนมอะไร จะเรียกจะสั่งกันอย่างไรถูกไหมยังไม่รู้เลย
แต่เอาเข้าจริงเรากลับไม่ต้องพูดต้องสั่งเลยสักคำ แม่ค้าร้องทักทายชวนซื้อขนม เมื่อเราเดินเข้าไป และเมื่อเห็นเรามีทีท่าว่าอุดหนุนแน่เธอก็จัดแจงตักขนมใส่ถ้วยให้เลย เรารับถ้วยขนมแล้วมานั่งกินบนม้านั่งข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะที่แม่ค้าหันไปนั่งคุยกับลูกค้าของเธอ ซึ่งนอกจากเราแล้วก็มีแต่ไอ้หนุ่มนั่นเพียงฅนเดียวในร้านนี้ สองฅนนั่งคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันไปในความสลัวโดยไม่ได้สนใจอะไรเรา เราก็นั่งกินขนมที่ไม่รู้จักชื่อนั้นกันไป
ครับ ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักหรอกว่ามันชื่อขนมอะไร ตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันชื่อ บองแอมไทย หรือบองแอมเซียม
ได้ยินคำว่าเซียมว่าไทยนี่ก็ดูน่าสนใจแล้วใช่ไหมเล่าครับ ซึ่งคำว่าบองแอมไทยนี้แปลได้ว่าขนมไทยนั่นเอง แต่ทั้งนี้ฅนไทยคงไม่รู้จัก และคงหากินในเมืองไทยไม่ได้เช่นกัน ก็คงเหมือนเราที่มีลอดช่องสิงคโปร์ มีขนมจีน แต่ฅนจีนฅนสิงคโปร์ไม่รู้จักนั่นแหละ
แต่มันก็เป็นขนมไทยจริง ๆ นา เอ๊ะ อย่างไร คือมันเป็นการเอาขนมหวานของไทยทั้งหลายแหล่บรรดามี ไม่ว่าจะเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน วุ้น หรือแม้แต่ข้าวเหนียวถั่วดำ นำทุกอย่างมาใส่รวมกัน จากนั้นก็โปะน้ำแข็งไส ราดนมข้นหวานลงไปอีก รสชาติเป็นอย่างไรลองหามาทำกันดูนะครับ
เพียงแต่กลับมีมารผจญจนได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างมัน มาลาเรียนั่นแหละ มันเข้ามาจู่โจมผมอีกครั้งหลังจากถอยดูเชิงสักระยะ
เมื่อกลับถึงบ้านผมก็รู้สึกไม่สบาย ตื่นเช้ามาอาการก็ดูจะรุนแรงขึ้น ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายเลยทีเดียว ห้องส้วมที่นี่ในตอนนั้นจะเป็นแบบส้วมหลุม เรียกว่าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่อยากจะเข้าหรอก แต่ตอนนี้ผมนั่งแช่อยู่ในนั้นแหละ ใครจะปวดจะอะไรหาทางจัดการกันเองก็แล้วกัน
ที่สำคัญคือพรุ่งนี้เราจะกลับไทยกันแล้ว ผมดันมาป่วยเสียอีก จะข้ามเขากันได้อย่างไรนี่สิ
แต่เช้ารุ่งขึ้นผมกลับมีอาการดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น และสามารถกลับไทยได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย (นี่แหละมาลาเรีย)
เมื่อถึงเมืองไทยผมก็ทรุดหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
“เป็นอะไรรู้ไหม” นายแพทย์ที่คิดว่าคงเป็นหมอผู้ดูแลอาการป่วยของผมถามขึ้นขณะผมนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงฉุกเฉินตรงจุดคัดกรอง
“มาลาเรียครับ” ผมตอบเสียงแผ่วออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ทำไมรู้ล่ะ” นายแพทย์ฅนนั้นยังคงถามต่อ
“ผมเรื้อรังอยู่กับมันมาเป็นสิบปีแล้วครับ” ผมตอบไป หมอยิ้มก่อนตอบออกมา
“ดีเลย หมอจะได้เปลี่ยนยาให้ใหม่”
นั่นแหละครับ มาลาเรียในตัวผมมันคงได้เจอยาแรงเสียที เราจึงโบกมือบ๊ายบายกันได้อย่างเด็ดขาดนับจากวันนั้นมา แต่เรื่องราวของผมกับเมืองแขมร์ยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ...