ชัยธวัช ชวนจับตา 18 ก.พ. ‘ทักษิณ’ ออกรพ.ตร.ทันทีหรือไม่ ชี้อาจกระทบสถานะนายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4425939
‘ชัยธวัช’ ชวนจับตา 18 ก.พ. หลังเที่ยงคืน ‘ทักษิณ’ ออกจาก รพ.ได้เลยหรือไม่ ชี้ อ้างป่วยอาจไม่เป็นความจริง เตือน ‘เพื่อไทย’ ระวังสภาวะนายก 2 คน ลั่น อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้าบริหารจัดการไม่ดี เก้าอี้ ‘เศรษฐา’ มีปัญหาแน่
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกลในฐานะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกล่าวกรณีที่ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะได้รับการพักโทษในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ว่า สภาพดังกล่าวจะเหมือนกับการมีนายกรัฐมนตรี 2 คน ถ้าไม่ระมัดระวัง และจะมีปัญหาในการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับการเสมอภาค ของกระบวนการยุติธรรม แน่นอนว่ายังมีคำถามอีกมาก เช่น สิทธิที่นาย
ทักษิณได้รับในการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่ต้องอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ซึ่งโดยหลักการพรรคก้าวไกลสนับสนุนสิทธิการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังอย่างเหมาะสม แต่กรณีนี้ก็เกิดคำถามว่าได้รับอภิสิทธิ์เหนือนักโทษคนอื่นหรือไม่ ซึ่งมีผู้ต้องขังน้อยมากที่ได้สิทธิแบบนาย
ทักษิณ กว่าจะได้รักษานอกเรือนจำก็ลำบาก และต้องรีบกลับมาอยู่ในเรือนจำ จากข้อมูลของกรรมาธิการฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ก็พบว่าผู้ต้องขังที่ป่วยเกิน 120 วัน มี 3 คน คือสองคนป่วยจิตเวช และอีกหนึ่งคนคือนาย
ทักษิณ ขณะเดียวกันก็มีการอ้างว่าจำเป็นจะต้องอยู่โรงพยาบาลด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ซึ่งทันทีที่ได้รับการพักโทษ ก็ไม่แน่ใจว่าสามารถมีสุขภาพดีเพียงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่ อย่างนี้ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องข้อสังเกต
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายค้านจะตรวจสอบอย่างไร นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ตอนนี้มีคนตรวจสอบเยอะ ว่าข้ออ้าง เหตุผลของกรมราชทัณฑ์ ที่อ้างรายงานทางการแพทย์มีความถูกต้อง โปร่งใส ชัดเจนหรือไม่ ซึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญ ความเสมอภาคเท่าเทียมในการอำนวยความยุติธรรม ในกรณีนี้หลายคนพูดว่านายทักษิณควรได้รับการอำนวยความยุติธรรม เพราะถูกกระทำด้วยคดีความต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมจากการรัฐประหาร พรรคก้าวไกลก็อยากจะบอกว่า คนที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรมยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ทุกคนควรได้รับการอำนวยความยุติธรรม ไม่ใช่แค่นาย
ทักษิณคนเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็จะมีความเชื่อมโยงกับการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีทางการเมืองด้วย
นายชั
ยธวัชยังกล่าวว่า หากปล่อยไว้จะเป็นการเพิ่มความรู้สึกที่ไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม โดยอาจจะไม่ได้ส่งผลฉับพลัน แต่จะสะสมในความรู้สึกข้องใจของประชาชน และถ้านาย
ทักษิณได้รับการพักโทษออกมาแล้วรัฐบาลบริหารจัดการไม่ดี ก็อาจจะยุ่งได้ ส่วนจะเป็นข้อมูลพอในการนำมาซักฟอกรัฐบาลหรือไม่นั้น ตนยังบอกไม่ได้
เมื่อถามว่าวันที่ 18 ก.พ.นี้ พรรคก้าวไกลจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ก็คงต้องดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้
“
ถ้าคืนนั้นเลยเที่ยงคืน จะกี่นาทีไม่ทราบ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที ก็หมายความว่าเหตุผลที่เป็นข้ออ้างว่า มีความจำเป็นจะต้องอยู่โรงพยาบาลก็ไม่เป็นความจริง นี่ยังไม่ต้องนับว่าอีกสักพักจะมีกำลังวังชาขึ้นมา พร้อมที่จะเดินสายไปพบประชาชนทั่วประเทศ อันนี้ก็ไปกันใหญ่” นาย
ชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่านายทักษิณได้รับการพักโทษจะเป็นผลบวกหรือลบต่อรัฐบาล นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า ก็คงเป็นคำเตือนไปยังฝ่ายบริหาร ว่าอย่าทำให้เกิดสภาวะนายกรัฐมนตรี 2 คน ส่วนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนาย
เศรษฐา ทวีสิน จะสั่นคลอนหรือไม่นั้น ถ้าบริหารจัดการไม่ดีก็จะมีปัญหา ส่วนกรณีที่นายทักษิณอาจจะมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้น ส่วนตัวเห็นว่าทุกคนมีสิทธิที่จะทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหาร ตกลงนายกรัฐมนตรีเป็นใครกันแน่ ต้องฟังใคร ซึ่งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะต้องระมัดระวังเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยเน้นย้ำตลอดเวลา เวลาที่ถูกผลักดันให้ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการก็มักจะอ้างว่า ไม่ควรที่จะทำเพื่อไม่เพิ่มความขัดแย้งทางการเมือง พยายามประนีประนอม ไม่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่พยายามผลักดันนิรโทษกรรมโดยอ้างว่าไม่ไปเพิ่มความขัดแย้งใหม่ แต่กลับกันกรณีของนายทักษิณ ไม่มีความลังเลใดๆ เลยที่จะกังวลว่าจะไปสร้างความขัดแย้งใหม่
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลจะมีการจับมือกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตนั้น นาย
ชัยธวัชได้ร้องออกมาว่า “
โอ๊ย” พร้อมกล่าวว่า ยัง พรรคก้าวไกลยังคงเป็นฝ่ายค้าน อยู่ที่ผลของการเลือกตั้งครั้งหน้า ยืนยันว่าแต่ขณะที่ยังเป็นฝ่ายค้านตนยืนยันว่าจะไม่จับมือในลักษณะที่เป็นแบบนั้น แต่หากเห็นว่าข้อเสนอของรัฐบาลเรื่องไหนที่เป็นประโยชน์ ก็ยินดีสนับสนุน
เมื่อถามว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่หากนายทักษิณกลับมา นาย
ชัยธวัชอมยิ้ม พร้อมกล่าวว่า อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น กรณีของ น.ส.
ทานตะวัน ตัวตุลานนท์
พิเชษฐ์ โต้ชาดา ข่มขู่ปธ. ยันโรมขึ้นรูปคู่ศปปส. เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ระบุถ้ามีปัญหา เจอกันข้างนอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4425938
ยังไม่จบ ! “พิเชษฐ์” โต้ ”ชาดา” ถ้ามีปัญหาไปคุยข้างนอก ยันทำหน้าที่เป็นกลางให้เกียรติทุกคน
เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง เป็นประธานการประชุม โดยหลังเปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่แล้ว และก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายพิเชษฐ์ขอชี้แจงกรณีถูก นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตำหนิถึงการทำหน้าที่ไม่เป็นกลางในการเป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ระหว่างการพิจารณาญัตติด่วนเรื่องการถวายอารักขาขบวนเสด็จ ที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตให้ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำภาพนายชาดาถ่ายภาพคู่กับกลุ่ม ศปปส.มาประกอบการอภิปราย โดยไม่มีการเบลอหน้า ทำให้ถูกมองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่ม ศปปส.ทำร้ายร่างกายกลุ่มทะลุวัง
โดยนายพิเชษฐ์ชี้แจงว่า สิ่งที่นายชาดาพูดในที่ประชุม วันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ มีลักษณะใส่ร้ายเสียดสี ข่มขู่ประธานในที่ประชุมอย่างรุนแรงว่า ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง และขอให้ประธานขอโทษ ตนก็เรียนนายชาดาไปแล้วว่า ตนขอกลับไปตรวจสอบคลิปต่างๆ ที่นำเสนอก่อน เพราะสภามีคณะกรรมการตรวจสอบและวินิจฉัยการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ประกอบการอภิปราย มีหลักเกณฑ์ว่า ข้อมูลที่ไม่ต้องปกปิดหรือเบลอภาพคือ ภาพ ครม. คณะกรรมาธิการ บุคคลในวงงานรัฐสภา หนังสือเวียนต่างๆ ประกาศหรือระเบียบหน่วยงานราชการที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว
“
การที่มีภาพรัฐมนตรี ไม่ได้เบลอหน้าเป็นเงื่อนไขที่ใช้มาตลอด จึงขอทำความเข้าใจ ในที่ประชุมแห่งนี้ผมให้เกียรติสมาชิกทุกคน ไม่ว่าอายุ 20 กว่าปี หรือ 80 กว่าปี เมื่อเราอยู่ในห้องนี้แล้วประชาชนให้ความไว้วางใจ ทุกคนมีสิทธิและเอกสิทธิเท่ากัน ผมพยายามทำหน้าที่ดำเนินการประชุม พยายามที่จะรักษาความยุติธรรม ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปเข้าข้างใคร ลำเอียงเข้าข้างใคร ขอชี้แจงกับรัฐมนตรี ถ้ามีปัญหาก็คุยกันข้างนอกได้” นายพิเชษฐ์กล่าว
ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย ดันเยอรมันผงาด เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 โลก
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4426246
ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย ดันเยอรมันผงาด เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 โลก
สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีรายงานว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างไม่คาดคิดในปลายปีที่แล้ว หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของญี่ปุ่นหดตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ส่งผลให้ญี่ปุ่นสูญเสียตำแหน่งประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกให้กับเยอรมนีไปด้วย
โดยข้อมูลที่รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ระบุว่า จีดีพีของญี่ปุ่นในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมปีที่ผ่านมา หดตัวลง 0.4% หลังจากไตรมาสก่อนหน้าลดลง 3.3% ซึ่งสร้างความสับสนให้กับตลาดที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตเพิ่มขึ้น 1.4%
ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกันถูกนิยามว่าถือเป็นภาวะถดถอยทางเทคนิค
นักวิเคราะห์บางรายยังเตือนว่า ญี่ปุ่นอาจจะเผชิญเศรษฐกิจหดตัวลงได้อีกในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในประเทศจีน การบริโภคที่ซบเซาลง และการหยุดการผลิตที่หน่วยผลิตหนึ่งของค่ายรถยักษ์ โตโยต้า มอเตอร์ ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยท้าท้ายต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดนี้ ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียสถานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกไปให้กับเยอรมนี โดยนีล นิวแมน นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวกับบีบีซีว่า ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2023 มีมูลค่าประมาณ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของเยอรมนีในช่วงปีเดียวกัน ที่มีมูลค่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลเนื่องมาจากการอ่อนค่าของเงินเยนต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเงินเยนฟื้นตัว ญี่ปุ่นก็อาจจะกลับคืนสู่อันดับ 3 ดังเดิมได้
บีบีซีระบุว่า ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เยอรมนีจะไล่แซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เมื่อวัดเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ โดยไอเอ็มเอฟจะประกาศการเปลี่ยนแปลงอันดับดังกล่าวก็ต่อเมื่อทั้งสองประเทศได้เผยแพร่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจล่าสุดของตนเองแล้วเท่านั้น
ด้านรอยเตอร์ระบุว่า การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาลญี่ปุ่น ยังทำให้เกิดการตั้งคำถามเพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) จะเริ่มออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษที่ดำเนินมานานนับสิบดีเมื่อใดด้วย โดยขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) จะยุติมาตรการกระตุ้นทางการเงินครั้งใหญ่ลงในปีนี้ แต่ข้อมูลอ่อนแอนี้อาจทำให้เกิดความสงสัยในการคาดการณ์ของบีโอเจว่าการขึ้นค่าแรงจะสนับสนุนการบริโภคและรักษาอัตราเงินเฟ้อให้คงอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 2% จะเป็นเป็นได้จริงหรือไม่
JJNY : ชัยธวัช ชวนจับตา ‘ทักษิณ’│พิเชษฐ์โต้ชาดา ยันโรมเป็นไปตามหลักเกณฑ์│ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย│ปูตินอยากให้ไบเดนอยู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4425939
‘ชัยธวัช’ ชวนจับตา 18 ก.พ. หลังเที่ยงคืน ‘ทักษิณ’ ออกจาก รพ.ได้เลยหรือไม่ ชี้ อ้างป่วยอาจไม่เป็นความจริง เตือน ‘เพื่อไทย’ ระวังสภาวะนายก 2 คน ลั่น อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้าบริหารจัดการไม่ดี เก้าอี้ ‘เศรษฐา’ มีปัญหาแน่
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกลในฐานะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกล่าวกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะได้รับการพักโทษในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ว่า สภาพดังกล่าวจะเหมือนกับการมีนายกรัฐมนตรี 2 คน ถ้าไม่ระมัดระวัง และจะมีปัญหาในการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับการเสมอภาค ของกระบวนการยุติธรรม แน่นอนว่ายังมีคำถามอีกมาก เช่น สิทธิที่นายทักษิณได้รับในการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่ต้องอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ซึ่งโดยหลักการพรรคก้าวไกลสนับสนุนสิทธิการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังอย่างเหมาะสม แต่กรณีนี้ก็เกิดคำถามว่าได้รับอภิสิทธิ์เหนือนักโทษคนอื่นหรือไม่ ซึ่งมีผู้ต้องขังน้อยมากที่ได้สิทธิแบบนายทักษิณ กว่าจะได้รักษานอกเรือนจำก็ลำบาก และต้องรีบกลับมาอยู่ในเรือนจำ จากข้อมูลของกรรมาธิการฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ก็พบว่าผู้ต้องขังที่ป่วยเกิน 120 วัน มี 3 คน คือสองคนป่วยจิตเวช และอีกหนึ่งคนคือนายทักษิณ ขณะเดียวกันก็มีการอ้างว่าจำเป็นจะต้องอยู่โรงพยาบาลด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ซึ่งทันทีที่ได้รับการพักโทษ ก็ไม่แน่ใจว่าสามารถมีสุขภาพดีเพียงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่ อย่างนี้ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องข้อสังเกต
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายค้านจะตรวจสอบอย่างไร นายชัยธวัชกล่าวว่า ตอนนี้มีคนตรวจสอบเยอะ ว่าข้ออ้าง เหตุผลของกรมราชทัณฑ์ ที่อ้างรายงานทางการแพทย์มีความถูกต้อง โปร่งใส ชัดเจนหรือไม่ ซึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญ ความเสมอภาคเท่าเทียมในการอำนวยความยุติธรรม ในกรณีนี้หลายคนพูดว่านายทักษิณควรได้รับการอำนวยความยุติธรรม เพราะถูกกระทำด้วยคดีความต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมจากการรัฐประหาร พรรคก้าวไกลก็อยากจะบอกว่า คนที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรมยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ทุกคนควรได้รับการอำนวยความยุติธรรม ไม่ใช่แค่นายทักษิณคนเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็จะมีความเชื่อมโยงกับการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีทางการเมืองด้วย
นายชัยธวัชยังกล่าวว่า หากปล่อยไว้จะเป็นการเพิ่มความรู้สึกที่ไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม โดยอาจจะไม่ได้ส่งผลฉับพลัน แต่จะสะสมในความรู้สึกข้องใจของประชาชน และถ้านายทักษิณได้รับการพักโทษออกมาแล้วรัฐบาลบริหารจัดการไม่ดี ก็อาจจะยุ่งได้ ส่วนจะเป็นข้อมูลพอในการนำมาซักฟอกรัฐบาลหรือไม่นั้น ตนยังบอกไม่ได้
เมื่อถามว่าวันที่ 18 ก.พ.นี้ พรรคก้าวไกลจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร นายชัยธวัชกล่าวว่า ก็คงต้องดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้
“ถ้าคืนนั้นเลยเที่ยงคืน จะกี่นาทีไม่ทราบ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที ก็หมายความว่าเหตุผลที่เป็นข้ออ้างว่า มีความจำเป็นจะต้องอยู่โรงพยาบาลก็ไม่เป็นความจริง นี่ยังไม่ต้องนับว่าอีกสักพักจะมีกำลังวังชาขึ้นมา พร้อมที่จะเดินสายไปพบประชาชนทั่วประเทศ อันนี้ก็ไปกันใหญ่” นายชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่านายทักษิณได้รับการพักโทษจะเป็นผลบวกหรือลบต่อรัฐบาล นายชัยธวัชกล่าวว่า ก็คงเป็นคำเตือนไปยังฝ่ายบริหาร ว่าอย่าทำให้เกิดสภาวะนายกรัฐมนตรี 2 คน ส่วนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน จะสั่นคลอนหรือไม่นั้น ถ้าบริหารจัดการไม่ดีก็จะมีปัญหา ส่วนกรณีที่นายทักษิณอาจจะมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้น ส่วนตัวเห็นว่าทุกคนมีสิทธิที่จะทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหาร ตกลงนายกรัฐมนตรีเป็นใครกันแน่ ต้องฟังใคร ซึ่งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะต้องระมัดระวังเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยเน้นย้ำตลอดเวลา เวลาที่ถูกผลักดันให้ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการก็มักจะอ้างว่า ไม่ควรที่จะทำเพื่อไม่เพิ่มความขัดแย้งทางการเมือง พยายามประนีประนอม ไม่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่พยายามผลักดันนิรโทษกรรมโดยอ้างว่าไม่ไปเพิ่มความขัดแย้งใหม่ แต่กลับกันกรณีของนายทักษิณ ไม่มีความลังเลใดๆ เลยที่จะกังวลว่าจะไปสร้างความขัดแย้งใหม่
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลจะมีการจับมือกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตนั้น นายชัยธวัชได้ร้องออกมาว่า “โอ๊ย” พร้อมกล่าวว่า ยัง พรรคก้าวไกลยังคงเป็นฝ่ายค้าน อยู่ที่ผลของการเลือกตั้งครั้งหน้า ยืนยันว่าแต่ขณะที่ยังเป็นฝ่ายค้านตนยืนยันว่าจะไม่จับมือในลักษณะที่เป็นแบบนั้น แต่หากเห็นว่าข้อเสนอของรัฐบาลเรื่องไหนที่เป็นประโยชน์ ก็ยินดีสนับสนุน
เมื่อถามว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่หากนายทักษิณกลับมา นายชัยธวัชอมยิ้ม พร้อมกล่าวว่า อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น กรณีของ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์
พิเชษฐ์ โต้ชาดา ข่มขู่ปธ. ยันโรมขึ้นรูปคู่ศปปส. เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ระบุถ้ามีปัญหา เจอกันข้างนอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4425938
ยังไม่จบ ! “พิเชษฐ์” โต้ ”ชาดา” ถ้ามีปัญหาไปคุยข้างนอก ยันทำหน้าที่เป็นกลางให้เกียรติทุกคน
เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง เป็นประธานการประชุม โดยหลังเปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่แล้ว และก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายพิเชษฐ์ขอชี้แจงกรณีถูก นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตำหนิถึงการทำหน้าที่ไม่เป็นกลางในการเป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ระหว่างการพิจารณาญัตติด่วนเรื่องการถวายอารักขาขบวนเสด็จ ที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตให้ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำภาพนายชาดาถ่ายภาพคู่กับกลุ่ม ศปปส.มาประกอบการอภิปราย โดยไม่มีการเบลอหน้า ทำให้ถูกมองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่ม ศปปส.ทำร้ายร่างกายกลุ่มทะลุวัง
โดยนายพิเชษฐ์ชี้แจงว่า สิ่งที่นายชาดาพูดในที่ประชุม วันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ มีลักษณะใส่ร้ายเสียดสี ข่มขู่ประธานในที่ประชุมอย่างรุนแรงว่า ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง และขอให้ประธานขอโทษ ตนก็เรียนนายชาดาไปแล้วว่า ตนขอกลับไปตรวจสอบคลิปต่างๆ ที่นำเสนอก่อน เพราะสภามีคณะกรรมการตรวจสอบและวินิจฉัยการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ประกอบการอภิปราย มีหลักเกณฑ์ว่า ข้อมูลที่ไม่ต้องปกปิดหรือเบลอภาพคือ ภาพ ครม. คณะกรรมาธิการ บุคคลในวงงานรัฐสภา หนังสือเวียนต่างๆ ประกาศหรือระเบียบหน่วยงานราชการที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว
“การที่มีภาพรัฐมนตรี ไม่ได้เบลอหน้าเป็นเงื่อนไขที่ใช้มาตลอด จึงขอทำความเข้าใจ ในที่ประชุมแห่งนี้ผมให้เกียรติสมาชิกทุกคน ไม่ว่าอายุ 20 กว่าปี หรือ 80 กว่าปี เมื่อเราอยู่ในห้องนี้แล้วประชาชนให้ความไว้วางใจ ทุกคนมีสิทธิและเอกสิทธิเท่ากัน ผมพยายามทำหน้าที่ดำเนินการประชุม พยายามที่จะรักษาความยุติธรรม ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปเข้าข้างใคร ลำเอียงเข้าข้างใคร ขอชี้แจงกับรัฐมนตรี ถ้ามีปัญหาก็คุยกันข้างนอกได้” นายพิเชษฐ์กล่าว
ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย ดันเยอรมันผงาด เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 โลก
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4426246
ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย ดันเยอรมันผงาด เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 โลก
สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีรายงานว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างไม่คาดคิดในปลายปีที่แล้ว หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของญี่ปุ่นหดตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ส่งผลให้ญี่ปุ่นสูญเสียตำแหน่งประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกให้กับเยอรมนีไปด้วย
โดยข้อมูลที่รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ระบุว่า จีดีพีของญี่ปุ่นในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมปีที่ผ่านมา หดตัวลง 0.4% หลังจากไตรมาสก่อนหน้าลดลง 3.3% ซึ่งสร้างความสับสนให้กับตลาดที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตเพิ่มขึ้น 1.4%
ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกันถูกนิยามว่าถือเป็นภาวะถดถอยทางเทคนิค
นักวิเคราะห์บางรายยังเตือนว่า ญี่ปุ่นอาจจะเผชิญเศรษฐกิจหดตัวลงได้อีกในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในประเทศจีน การบริโภคที่ซบเซาลง และการหยุดการผลิตที่หน่วยผลิตหนึ่งของค่ายรถยักษ์ โตโยต้า มอเตอร์ ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยท้าท้ายต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดนี้ ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียสถานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกไปให้กับเยอรมนี โดยนีล นิวแมน นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวกับบีบีซีว่า ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2023 มีมูลค่าประมาณ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของเยอรมนีในช่วงปีเดียวกัน ที่มีมูลค่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลเนื่องมาจากการอ่อนค่าของเงินเยนต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเงินเยนฟื้นตัว ญี่ปุ่นก็อาจจะกลับคืนสู่อันดับ 3 ดังเดิมได้
บีบีซีระบุว่า ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เยอรมนีจะไล่แซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เมื่อวัดเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ โดยไอเอ็มเอฟจะประกาศการเปลี่ยนแปลงอันดับดังกล่าวก็ต่อเมื่อทั้งสองประเทศได้เผยแพร่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจล่าสุดของตนเองแล้วเท่านั้น
ด้านรอยเตอร์ระบุว่า การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาลญี่ปุ่น ยังทำให้เกิดการตั้งคำถามเพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) จะเริ่มออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษที่ดำเนินมานานนับสิบดีเมื่อใดด้วย โดยขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) จะยุติมาตรการกระตุ้นทางการเงินครั้งใหญ่ลงในปีนี้ แต่ข้อมูลอ่อนแอนี้อาจทำให้เกิดความสงสัยในการคาดการณ์ของบีโอเจว่าการขึ้นค่าแรงจะสนับสนุนการบริโภคและรักษาอัตราเงินเฟ้อให้คงอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 2% จะเป็นเป็นได้จริงหรือไม่