JJNY : ก้าวไกลพร้อมสู้เต็มที่│หมิวไม่ทน ลุกจี้สภาดูแลความสะอาด│CIMB หั่นจีดีพีปี 67│“ปูติน”เผยพร้อมทำสงครามนิวเคลียร์

ก้าวไกล ยังไม่คิดหาพรรคสำรอง พร้อมสู้เต็มที่ ขอศาลรธน.เปิดแจงข้อเท็จจริง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4469302
 
 
ชัยธวัช ยัน ก้าวไกล ต่อสู้เต็มที่ให้ศาล รธน.เปิดการไต่สวนคดี ชี้ ควรให้มีการแจงข้อเท็จจริง เผยยัง ไม่คิดหาพรรคสำรอง
 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการรองรับ ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ส่งสำนวนคดีล้มล้างการปกครองให้ศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ตอนนี้ก็เตรียมเรื่องการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และทำงานทุกวันให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร และอาจเป็นสารตั้งต้นในการยุบพรรค จะเตรียมข้อต่อสู้อย่างไร นายชัยธวัชกล่าวว่า คงต้องต่อสู้เต็มที่ แม้ว่าต้องยอมรับว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะทำให้เราต่อสู้ได้ยากมากกว่าในคดีอื่น ๆ แต่เราคงต้องต่อสู้เต็มที่ว่ามันไม่มีเหตุผลเพียงพออย่างไร ที่จะต้องมีการวินิจฉัยถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งโดยปกติศาลต้องไต่สวนอยู่แล้ว
 
เมื่อถามว่ากรณีนี้มีการวิเคราะห์กันว่าสามารถนำคำวินิจฉัยจากกรณีหาเสียงมาตัดสินได้เลย นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุด ศาลต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องอย่างพรรคก้าวไกลได้แก้ข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ได้เสนอข้อเท็จจริง พยานผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ส่วนหากไม่เปิดให้มีการไต่สวน นายชัยธวัช ระบุว่า เรื่องนี้คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ว่าเมื่อไหร่ที่ศาลเห็นว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอแล้ว ศาลมีสิทธิ์ที่จะยุติการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลคงต้องต่อสู้ให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงให้มากที่สุด
 
นายชัยธวัช ยังกล่าวว่า ยังไม่ได้มีการคุยกันเรื่องนี้ในพรรค ตนคิดว่าบทเรียนที่สำคัญน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทยและผู้มีอำนาจมากกว่า ว่าการยุบพรรคการเมืองไม่นำนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมืองแต่อย่างใด ซ้ำร้ายอาจจะนำไปสู่การขยายความขัดแย้งทางการเมืองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสวนทางกับการคาดหวังของพี่น้องประชาชนหลังจากที่เรามีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการรัฐประหารแล้ว
 
ซ้ำร้าย การยุบพรรคการเมืองด้วยอ้างเหตุผลเรื่องการล้มล้างการปกครอง การเซาะบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ในทางด้านกลับ เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน อาจจะเป็นเรื่องที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในด้านกลับก็ได้ เพราะยิ่งดึงประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองมากขึ้น เรื่องนี้ต้องระมัดระวัง” นายชัยธวัชกล่าว
 
ส่วนกระแสการตั้งพรรคสำรอง นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ก่อน ส่วนที่วิเคราะห์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่กลับคำวินิจฉัยตัวเองนั้น แม้ว่าจะมีโอกาสน้อย แต่ก็ต้องสู้อย่างเต็มที่
 
เรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการกลับคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยครั้งที่แล้ว เป็นกรณีที่วินิจฉัยสั่งการให้พรรคก้าวไกลยุติการกระทำที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง แต่การวินิจฉัยให้ยุบพรรคก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” นายชัยธวัชกล่าว
 
ส่วนกระแสการดูด ส.ส.ในพรรค นายชัยธวัชกล่าวว่า ตนเป็นห่วงสังคมไทยมากกว่า ตนคิดว่าเราลองจินตนาการถึงสังคมไทยหลังจากนี้ เรากำลังเข้าสู่วังวนแบบเดิม ๆ ที่หาทางออกไม่เจอ และอาจจะยิ่งถลำลึกต่อไปมากขึ้นก็ได้ การยุบพรรคการเมืองจากเหตุที่กล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง และเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ประการใด ตนยืนยันในเรื่องนี้
 
เมื่อถามว่าเริ่มมี ส.ส. ภายในพรรคก้าวไกลรวมถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค (ก.ก.) โพสต์เชิงตัดพ้อทำใจกับเรื่องนี้ไว้แล้วใช่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า “เรื่องยุบพรรคไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำใจ แต่ต้องเป็นเรื่องที่ยืนยันว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางการเมือง”
 
เมื่อถามถึงกระแสข่าวการที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล เริ่มไปคุยกับพรรครัฐบาล จะต้องมีการตรวจสอบหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่ของพรรค เรามั่นใจว่าผู้แทนราษฎรที่ดี คือผู้แทนราษฎรที่ดี เรื่องนี้ไม่สามารถมีใครไปบังคับใจกันได้ พรรคมีหน้าที่ต้องเตรียมทุกทางออกให้กับสมาชิก ส่วนกระแสข่าวเรื่อง ส.ส.ไปพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยธวัช กล่าวว่า “ตนว่าต้องตรวจสอบรัฐบาล ไม่ว่าพรรคไหน
 
ถ้าเรายังยอมรับวิธีการทำงานการเมืองแบบนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นปัญหาของพรรคก้าวไกล เป็นปัญหาของวิธีการการเมืองแบบเดิม ๆ ซึ่งควรจะหมดไปได้แล้ว รวมถึงการคิดว่าจะเอาชนะกันทางการเมือง ด้วยการยุบพรรคการเมือง ผมเป็นบทเรียนสังคมแล้วว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมีแต่แย่ลงนะครับ” นายชัยธวัชกล่าว
 
เมื่อถามว่าการสกัดกั้นพรรคก้าวไกลมีพรรครัฐบาลเข้าไปร่วมด้วย มองแบบนั้นหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า “ไม่ทราบ อาจจะเป็นเรื่องกระแสข่าว ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ



หมิว สิริลภัส ไม่ทน ลุกจี้สภาดูแลความสะอาด หนู-ยุง-แมลงสาบเกลื่อน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4469476

“ส.ส.หมิว”กรี๊ด “ยุง-แมงสาบ-หนู”เกลื่อนสภาฯ จี้ตรวจเช็กความสะอาดด้วย ด้าน”พิเชษฐ์” รับดำเนินการ บอกอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ต้องปราบเป็นระยะทั้งหนู-ยุง
 
เมื่อวันที่ 13 มี.ค.เวลา 11.40 น.ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)มาตราการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่…)พ.ศ…ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ในระหว่างรอการลงมติรายมาตรานั้น น.ส.สิริลภัส กองตระการ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ลุกขึ้นหารือ ว่า มีเสียงสะท้อนมาจากเจ้าหน้าที่สภาฯ เรื่องของสุขอนามัยในสภาฯตอนนี้เริ่มมียุง แมลงสาบ และหนู ในห้องทำงานจำนวนมาก จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้านนี้ตรวจสอบดูในห้องทำงานในแต่ละส่วน
 
“อย่างเมื่อวันก่อนลงไปที่ห้องจองตั๋วเครื่องบินก็ได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่ามียุงเยอะ และห้องทำงานต่าง ๆ ที่เขาต้องแยกไปรับประทานอาหารกัน ก็มีพวกแมลงสาบและหนู ดังนั้น ขอฝากประธานฯกำชับหน่วยงานที่ดูแลเรื่องความสะอาด ตรวจเช็กด้วย” น.ส.สิริลภัส กล่าว
 
ด้านนายพิเชษฐ์ ​ชี้แจงว่า “จะไปเรียน ผอ.ฝ่ายสถานที่ให้ดำเนินการ ทั้งยุงและหนู เราอยู่ริมน้ำ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งหนู ทั้งยุงต้องปราบเป็นระยะ



บริโภคลด-ลงทุนภาครัฐทรุด-ส่งออกฟื้นช้า CIMB Thai หั่นจีดีพีปี 67 เหลือ 2.3% จากเดิม 3.1%  
https://siamrath.co.th/n/521022

บริโภคลด-ลงทุนภาครัฐทรุดตัว-ส่งออกฟื้นช้า CIMB Thai หั่นจีดีพีปี 67 เหลือ 2.3% จากเดิม 3.1%  
 
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯ ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 ลงเหลือ 2.3% จากเดิมมองไว้ที่ 3.1% ซึ่ง GDP 2.3% เป็นระดับที่ต่ำมากอีกปีหนึ่ง เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก การบริโภคคนไทยซบเซา การลงทุนภาครัฐทรุดตัว และ การส่งออกฟื้นตัวช้า สำหรับการบริโภคของคนไทยเผชิญความเสี่ยงมากกว่าที่คาด โดยครึ่งแรกของปี 2567 เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนตัวของการใช้จ่ายของครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายโดยทั่วไปในการชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้า แม้ว่าการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาจะสนับสนุนการใช้จ่ายได้บ้าง แต่ยังกระจุกตัวแค่บางทำเล บางธุรกิจ ขณะที่ภาคการเกษตรอ่อนแอจากการชะลอตัวของการจ้างงานในภาคการผลิต แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในบริการและสินค้าไม่คงทนเป็นการชั่วคราว แต่ก็น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่อ่อนแอ

ขณะที่ด้านการลงทุนภาครัฐ แม้ทราบกันดีอยู่แล้วว่าภาครัฐยังไม่ผ่านเรื่องงบประมาณจนถึงเดือนเมษายน แต่จากการพิจารณาตัวเลขเดือนต่อเดือนเห็นชัดว่า การลงทุนภาครัฐทรุดตัวหนักกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า การใช้จ่ายงบต่างๆ ล่าช้า กระทบความเชื่อมั่นของเอกชน อาจทำให้เอกชนชะลอการลงทุน โดยเฉพาะภาคก่อสร้างที่มีการกระจายเม็ดเงินสูง หากชะลอตัวต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายนจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวหนักกว่าที่คาด การขาดการลงทุนสาธารณะคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในทางลบเพิ่มเติม
 
ส่วนการส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด จากการที่ประเทศไทยไม่ได้รับประโยชน์มากจากการฟื้นตัวของตลาดโลก เพราะปัจจัยต่างประเทศมีความผันผวน ทั้งตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก กระทบการส่งออก และกระทบไปสู่การผลิตในประเทศ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวเฟดอาจเลื่อนปรับดอกเบี้ยนโยบายจากพฤษภาคมเป็นมิถุนายน ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ส่งผลให้บาทอ่อนค่า ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะปรับลดเร็วสุดน่าจะเป็นเดือนเมษายน จาก 2.50% เป็น 2.25% และจะลดอีกครั้ง เหลือ 2.00% อย่างไรก็ดี การปรับลดดอกเบี้ยคงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เป็นเพียงการพยุงชั่วคราว เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยยังมีอยู่ เช่น ขาดการลงทุนจากต่างชาติ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวน้อย การขาดทักษะแรงงานสัมคงสูงอายุของไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ 3% ในระยะยาว และไม่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ จึงอยากเห็นมาตรการภาครัฐในการเร่งปรับปรุงปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ และเน้นศักยภาพของไทยโตขึ้นได้ในอนาคต
 
ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2567 : ลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด อาจไม่ช่วยเร่งการเติบโตท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างรุมเร้า

1. ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2567
 
สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ทบทวนตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจไทยล่าสุด การเปลี่ยนแปลงนโยบาย และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เพื่อปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 2567 จากการชะลอตัวที่เห็นได้ชัดเจนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 การจ่ายเงินงบประมาณล่าช้า การลงทุนภาครัฐที่ไม่เพียงพอ การบริโภคอ่อนแอ จึงปรับประมาณการการเติบโตจาก 3.1% เป็น 2.3%
 
2. ปัญหาการกระจายตัวของเศรษฐกิจ
 
เศรษฐกิจไทยนอกจากจะขยายตัวต่ำแล้ว ยังมีปัญหาด้านการกระจายตัว โดยภาคการผลิตยังคงหดตัว จากการฟื้นตัวของความต้องการภายนอกที่ช้า และการลดลงของสินค้าคงคลังที่สูง แต่ก็มีสัญญาณบวก เช่น การส่งออกที่ปรับขึ้นและการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าเครื่องจักร ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการฟื้นตัวของภาคการผลิต การก่อสร้างคาดว่าจะส่งผลให้การเติบโตในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ชะลอ โดยมากเนื่องจากการจ่ายเงินงบประมาณที่ล่าช้าและการขาดการลงทุนใหม่ในโครงสร้างพื้นฐาน ในทางตรงกันข้าม ภาคบริการ โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คาดว่าจะเห็นการขยายตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาคขายส่ง ขายปลีก การขนส่ง และอุตสาหกรรมการบริการด้านโรงแรมและร้านอาหารได้รับการสนับสนุน
 
3.ลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ไม่ได้แก้ปัญหาที่ฝังลึก

ยังคงการคาดการณ์สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งๆ ละ 0.25% โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงจาก 2.50% เป็น 2.00% ภายในสิ้นปี จากศักยภาพทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกน่าจะเกิดขึ้นในรอบการประชุมในเดือนเมษายน ซึ่งเลื่อนเข้ามาจากเดือนสิงหาคม การลดอัตราดอกเบี้ยมีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบของกำลังซื้อที่ต่ำเนื่องจากการจ่ายเงินงบประมาณที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม เราไม่คาดหวังว่าการปรับตัวเหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่าเกณฑ์การเติบโต 3.0% เนื่องจากไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายทางโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เช่น สังคมสูงวัย ขาดการลงทุนด้านเทคโนโลยีจากต่างชาติ FDI เติบโตช้า ขาดแรงงานมีทักษะ แ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่