อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๗)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๗ ข้ามเขาบรรทัด

แล้วก็ถึงวันที่ผมได้ไปเยือน ‘บัตด็อมบอง’ (ขอใช้ชื่อนี้แทน พระตะบอง นะครับ) เป็นครั้งแรก ท่ามกลางความลำบากลำบนบากบั่น กับเส้นทางที่ต้องข้ามเขาบรรทัด ภูเขาที่ถือได้ว่าเป็นกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมปุเจียช่วงจังหวัดตราด

เขาบรรทัดมีความยาวประมาณ 156 กิโลเมตร และแม่น้ำตราดก็มีที่มาจากแหล่งน้ำซับบนเขาลูกนี้เช่นกัน

.
“ไปเขมรไหม”
อยู่ ๆ เพื่อนผมที่มีแม่เป็นฅนแขมร์ก็เอ่ยชวนขึ้นมาในวันนั้น เพียงแต่จะเป็นเชิงบอกให้ทราบมากกว่า เพราะรู้ดีว่าฅนอย่างผมไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ก็ใช่อยู่หรอก เพราะหลังจากครั้งสุดท้ายที่เกาะกงก็นานแล้วที่ผมไม่ได้เหยียบแผ่นดินแขมร์เลย เรียกว่าเอาจนสงครามยุติไปแล้วนั่นแหละ

“ไปทำไม” แม้จะไม่ปฏิเสธแต่ก็คงต้องถามที่มาที่ไปกันก่อนอยู่ดี

“ไปส่งยาย แกอยากกลับเขมร” ผมอดยิ้มไม่ได้กับคำตอบนั้น นึกถึงอาการน้อยใจของฅนเฒ่าฅนแก่ ที่ส่วนใหญ่พอน้อยใจลูกฅนนั้นก็จะไปอยู่กับลูกฅนนี้ แต่ยายของเพื่อนผมนี่ต้องเรียกว่างอนข้ามประเทศกันเลยทีเดียว ลูกหลานก็ต้องตามใจไปส่งกัน

“ไปทางไหน” ผมยังคงถามต่อ

“ทางคลองโสน ออกแปดเบ็ย ใกล้คลองรถถังนั่นแหละ” เพื่อนตอบโดยเอาคลองรถถังมาอ้างเพราะรู้ว่าผมเคยไปที่นั่น ส่วนแปดเบ็ยอะไรนี่ผมไม่รู้จักหรอก และแม้เพื่อนจะบอกว่าต้องเดิน แต่ผมก็ดันวาดภาพคลองรถถังในหัวเสียแล้ว เลยคิดว่าที่เดินนี่เป็นเพราะไม่มีรถ และคงเดินกันไปตามเส้นทางปกตินั่นแหละ อีกอย่างจุดที่เราไปส่งยายนั้นผมดันวาดภาพคลองรถถังอีกเหมือนกัน เลยคิดแต่ว่าเราจะไปกันแถวหมู่บ้านชายแดนไทยนี่เอง ไม่ได้คิดหรอกว่างานนี้ผมจะได้ไปถึงบัตด็อมบอง และยังต้องเจอการเดินทางโหดสุดในชีวิตอึก เรียกว่าที่เคยเดินป่าทำไม้มานั้นเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้

.
รถมาส่งเรายังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้ชายแดน เราได้เจอน้าพรซึ่งเป็นฅนฝั่งนั้นแต่มาอยู่ไทยนานมากแล้ว น้าพรจะเป็นฅนนำทางเราในคราวนี้ การข้ามเขาบรรทัดไปมาระหว่างสองประเทศเป็นเรื่องปกติของน้าพรอยู่แล้ว เรียกว่าชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี และโดยส่วนตัวผมว่านิสัยของแกใช้ได้เลยทีเดียว

คณะของเรามีกันหลายฅนทั้งเด็กและฅนแก่ จากหมู่บ้านเราเดินลัดเลาะไปตามสวนสับปะรดที่ปลูกแซมยางของชาวบ้านเพื่อไปยังตีนเขาบรรทัด เราไม่ได้เดินกันตัวเปล่าเช่นเคย แต่จะมีกระสอบปุ๋ยที่เย็บเชือกมัดผ้าขาวม้าเป็นสายสะพาย แบบที่พวกขึ้นเขาเพชรในยุคตื่นพลอยแขมร์ชอบใช้กัน และของที่เรานำไปนั้นก็เต็มกระสอบของแต่ละฅน ทั้งข้าวสาร พริกแห้ง กะปิเกลือที่เตรียมไปเป็นเสบียงระหว่างทาง และนอกจากเสื้อผ้าแล้วยังมีผลไม้อย่างสับปะรดที่ผมใส่ไว้ก้นกระสอบอีก เรารู้ว่าสงครามเพิ่งจบแบบนี้ผลไม้และของกินต่าง ๆ ที่นั่นจะยังคงขาดแคลนจึงนำไปด้วย

เราเดินกันนานทีเดียว สองข้างทางเริ่มมีแต่ป่าอ้อและทุ่งหญ้าคาสลับสวนยูคาลิปตัส ในที่สุดก็มีแต่ป่า แล้วก็มาถึงสวนยางที่อยู่กลางป่าดงติดเชิงเขาบรรทัดกันเลย ผมไม่ทราบว่าเป็นสวนของใคร แต่คืนนี้เราต้องพักแรมที่นี่กัน เพื่อจะได้ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

‘ฮ้ง’ หลานเขยของยายข้ามเขามารอรับแกที่นี่ด้วยเช่นกัน นั่นแสดงให้เห็นถึงการข่าวระหว่างชาวบ้านสองประเทศได้เป็นอย่างดี อย่าลืมว่าสมัยก่อนโทรศัพท์มือถือยังไม่มีกลาดเกลื่อนอย่างปัจจุบันนี้นะครับ

รุ่งขึ้นเราออกเดินทางแต่เช้าตรู่โดยไม่ได้กินข้าวเช้าแต่อย่างใด เข้าป่าได้หน่อยเดียวก็เจอเพื่อนเก่าเลย ไม่ใช่ใครที่ไหน ทากนั่นเองที่เริ่มมีมาทักทาย ก็ปลดทิ้งไปแบบไม่สนใจอะไร แต่ยิ่งเดินมันยิ่งมากขึ้น ในที่สุดก็ยั้วเยี้ยไปหมด แต่ละฅนเลยต้องเดินไปปลดทากกันไปตลอด ผมนั้นด้วยความที่รีบเดินแบบไม่สนใจมันเท่าไร ช่วงพักจึงจะได้ดูกันสักที บางครั้งจึงได้เจอพวกมันสามตัวรุมดูดจากแผลเดียวกันจนตัวเป่งเลยก็มี บางตัวขึ้นถึงหัวกันทีเดียว ก็ได้แต่ปลิดมันแล้วดีดทิ้งไป เมื่อไม่มียากันยุงก็ไม่มีอะไรที่จะจัดการกับมันได้

เส้นทางเดินของเรานั้นยึดติดคลองโสน (ต้นแม่น้ำตราด) ไปตลอด นั่นทำให้เราต้องข้ามน้ำไปมาระหว่างสองฝั่งตลอดเช่นกัน เพราะเมื่อฝั่งไหนสะดวกต่อการเดินของเรามากกว่า เราก็จะข้ามไปเดินฝั่งนั้น เมื่อดูท่าว่าจะเดินได้ลำบากขึ้นเราก็ข้ามกลับหาอีกฝั่ง เรียกว่าบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยกันโดยแท้

และทางเดินของเรานั้นบางครั้งก็เห็นแนวทางได้ชัดเจน บางครั้งก็ต้องลุยสุ่มกันไป 
สายน้ำค่อย ๆ ตื้นขึ้นและเล็กลงตามระยะทาง ทากก็ดูจะน้อยลงและหายไปในที่สุด เราเลิกเดินตามสายน้ำที่ดูจะเป็นเพียงลำรางเล็ก ๆ นั่นแล้ว เส้นทางช่วงนี้ค่อยเดินได้สบายหน่อย เราจึงได้ยินกลุ่มผู้หญิงคุยกันโขมงโฉงเฉงทีเดียว

“อย่าเสียงดังกันนักนะ เดี๋ยวพวกทหารก็มาเจอหรอก” น้าพรบอกกับเมียของแกโดยเอาทหารมาอ้างเพื่อหวังให้เงียบเสียงกันบ้างเท่านั้น ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด นอกจากกลุ่มนั้นจะเงียบเสียงแล้ว ตอนนี้เรายังคุยอะไรกันไม่ได้เลย แม้จะใช้เสียงเบาแค่ไหนก็ตาม ภรรยาน้าพรจะคอยดุคอยห้ามไปหมด เรียกว่าพอนึกกลัวก็กลัวกันเสียจริง ๆ

ขณะคิดว่าเส้นทางช่วงนี้สบายขึ้นแล้ว แต่ดูท่าว่าฟ้าฝนจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น มันเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เสื้อผ้าในกระสอบของเราจึงหนักขึ้นอีกกว่าเท่าตัว แถมเส้นทางก็ลื่นเฉอะแฉะมากกว่าเดิมอีกต่างหาก

มื้อเช้ามื้อกลางวันผ่านไป นอกจากกระท้อนที่เจอหล่นข้างทางแล้วก็ไม่มีอะไรตกถึงท้อง เรียกว่าทั้งหิวทั้งเหนื่อยกันทีเดียว

“เดี๋ยวหุงข้าวกินกันข้างหน้า” แม่ของเพื่อนบอกกับเรา อะไรนะ หุงข้าวกลางสายฝนแบบนี้นี่นะ ผมตั้งคำถามในใจ แม้ว่าเราจะมีผ้าพลาสติกมาสร้างที่พักกันฝนก็ตาม แต่ฟืนที่จะใช้ก่อไฟนั้น เราจะไปหาไม้แห้งที่ไหนท่ามกลางสายฝนแบบนี้...

ครับ นั่นเป็นเพราะประสบการณ์เดินป่าของผมไม่มากพอจึงคิดแบบนั้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าในสภาพแบบนี้ ไม้ซี้  (ไม้ไผ้ต้นเล็กยาว) ต้นที่แห้งตายคากอนั้นจะไม่เปียก เพราะการที่มันยืนต้นตรงกอปรกับผิวค่อนข้างแข็ง จึงอยากที่น้ำฝนจะซึมสู่เนื้อไม้ได้ เราจึงเอามันมาทำเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดีในสภาพแบบนี้ ถือเป็นอีกเรื่องที่ผมได้เรียนรู้

กับข้าวมื้อเดียวในป่าของพวกเรามีเพียงน้ำพริกกะปิ กับยอดผักกูดยอดจิกที่เก็บกันมาระหว่างทาง อาจดูเหมือนอาหารกันตายมากกว่า แต่เชื่อไหมว่า มันเป็นอาหารวิเศษสุดมื้อหนึ่งเลย น่าจะมาจากการที่ทั้งเหนื่อยและหิวตลอดวันนั่นเอง

หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วเราก็พักผ่อน ฝนยังคงพรำไม่ขาดสาย ค่ำลงก็ได้เวลานอน ท่ามกลางความอับชื้นใต้หลังคาพลาสติก แม้จะมีกองไฟที่ยังสุมไว้ก็ดูจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

.
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจสงสัยว่าลำบากลำบนกันขนาดนี้แล้วยายของเพื่อนผมล่ะ แกมาได้อย่างไร และคงต้องบอกกันก่อนว่าอายุของยายนั้นร่วมเก้าสิบแล้วนะครับ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป นั่นเป็นเพราะว่ายายแกเป็นฅนแก่ที่มีสุขภาพดีมากทีเดียว เรียกว่าดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แถมไม่เคยมีอาการหลงลืมแบบฅนแก่ทั่วไป นอกจากอาการขี้น้อยใจตามประสาแกอย่างที่บอก และนอกจากฅนแก่ขนาดยายแล้ว คณะของเรายังมีเด็กอายุไม่ถึงสองขวบอีกด้วยนะครับ แม้จะอยู่บนเอวแม่มาตลอดทางก็เถอะ ถึงอย่างไรก็เรียกได้ว่าทรหดสุด ๆ เช่นกัน

.
รุ่งเช้าหลังกินข้าวกินปลาเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อ วันนี้ไม่มีทากไม่มีฝน แต่ก็ไม่ได้เดินแบบสบายใจกันหรอก ช่วงแรกอาจจะใช่ แต่พอสักระยะเส้นทางของเราก็มีความลาดชันมากขึ้นเนื่องจากใกล้ถึงยอดเขาแล้วนั่นเอง บางครั้งถึงขนาดต้องเหนี่ยวกอไม้ขึ้นไปกันอย่างทุลักทุเล 

และในที่สุดเราก็ถึงยอดเขาจนได้ เส้นทางบนสันเขาจะไม่ต่างจากเดินบนพื้นราบมากนัก แต่เส้นทางสบาย ๆ แบบนี้มีไม่เท่าไรหรอก ได้เวลาลงจากสันเขาเข้าสู่เมืองแขมร์กันแล้ว ไม่ใช่การเดินลงโดยสบายใจอย่างแน่นอน เพราะทางลงฝั่งนี้เป็นผาชันเลยทีเดียว ห้อยโหนลื่นไถลเป็นวิธีซึ่งเราต้องนำมาใช้ ที่สำคัญคือยายที่ว่าทรหดนั้นก็ดูจะล้าแล้วเช่นกัน ดีที่ว่าเพื่อนผมจะค่อนข้างแข็งแรง (น่าจะได้รับกรรมพันธุ์จากยายมาไม่น้อย) จึงให้แกเกาะหลังพาลงมาด้วยกันได้

เราทุกฅนลงมาเบื้องล่างได้อย่างปลอดภัยในที่สุด หลังจากเดินลุยป่ามาสักพักเราก็ได้เจอเส้นทางรถรก ๆ น่าจะเป็นทางของพวกที่เข้ามาตัดไม้หรือไม่ก็หาหวาย

ช่วงนี้สองข้างทางเริ่มเห็นร่องรอยสะกิดใจ ผืนป่าที่ถูกแผ้วถางจุดเผาเป็นหย่อม ๆ นั่นแสดงว่าเราเข้าใกล้หมู่บ้านหรือชุมชนกันแล้ว ผมคิดแบบนั้น แต่เราก็ยังอยู่กันแต่ในป่าแม้จะเดินมาครึ่งค่อนวันแล้วก็ตาม ที่สำคัญ ผมมีความรู้สึกว่าได้เจอเพื่อนเก่าอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่ทาก หากเป็นมัน มาลาเรีย 

อย่างที่บอกว่ามันจะคอยฉวยโอกาสตอนร่างกายอ่อนแอ หรือยามที่ผมเผลอใช้แรงเกินกำลังที่มี การข้ามเขาครั้งนี้ผมต้องใช้พละกำลังอย่างสุด ๆ นั่นเอง จึงเป็นโอกาสของมันอีกครั้ง

หลังจากลงเขามายายก็หมดแรง ไม่สามารถเดินต่อได้ เพื่อนของผมกับหลานเขยของแกจึงต้องผลัดกันให้แกขึ้นหลังมา ขณะที่ผมเองก็รู้สึกได้ถึงการรุกรานของมาลาเรียที่ดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ยังต้องทนฝืนก้าวขาไปกับข้าวของหนักอึ้งบนหลังไหล่ ที่หนักมากขึ้นทุกทีเช่นกัน

ทางรถรก ๆ เริ่มดูเป็นทางมากขึ้น ร่องรอยป่าที่ถูกแผ้วถางจุดเผาซึ่งสะกิดใจผมมาตลอดก็ดูมีขนาดใหญ่ขึ้น และมากขึ้น ในที่สุดเมื่อตะวันต่ำลงสองข้างทางก็มีแต่ไร่ข้าวซึ่งปลูกแซมด้วยข้าวโพดแตงกวาฟักทอง มันเป็นภาพอดีตที่สะกิดใจผมมาตลอด นึกถึงตอนเด็กหมู่บ้านของผมจะมีสภาพแบบนี้เช่นกัน ไร่ข้าวซึ่งแซมด้วยข้าวโพดแตงกวาฟักทองนี้ คืออีกหนึ่งสถานที่วิ่งเล่น นับเป็นสิ่งคุ้นเคยที่หายไปนานมาก ไม่คิดว่าวันนี้จะได้มาเจอมันอีกครั้ง

เสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ดังแว่วมา แม้จะเป็นฅนละภาษา แต่ก็ไม่ต่างจากเพลงลูกทุ่งไทยในอดีตสักเท่าไร อย่างน้อยการได้ยินท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ ต้องเรียกว่าบรรยากาศมันใช่เลยทีเดียว 

ภาพชาวบ้านถือมีดแบกจอบพากันเดินกลับบ้านท่ามกลางแสงโพล้เพล้และเสียงเพลงนั่นอีก โดยเฉพาะไอ้เด็กตัวเล็กที่หิ้ววิทยุตามหลังนั่น นั่นมันตัวผมเองชัด ๆ เลยนี่นา แทบลืมมาลาเรียไปเลยกับภาพอดีตตรงหน้า

.
ในที่สุดผมก็หอบสังขารมาถึงแปดเบ็ยจนได้ แต่เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล โดยเฉพาะการร่วมเดินทางกับเพื่อนเก่าอย่างมาลาเรียจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ…

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่