ก้าวสู่ยุคสมัยใหม่! “อิทธิพลของดอลลาร์จะถึงจุดจบใน 10 ปี” คำทำนายของ เจฟฟรีย์ ดี. แซคส์
ศาสตราจารย์ เจฟฟรีย์ แซคส์ ผู้อำนวยการศูนย์ความยั่งยืน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
โดย สกุลชัย เก่งอนันตานนท์
ตลอดหนึ่งชั่วอายุคนที่ผ่านมา ‘เงินดอลลาร์สหรัฐ’ (USD) ก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก ภายหลังการถือกำเนิดขึ้นมาของระบบ Bretton Woods เมื่อปี 1944
แม้ระบบ Bretton Woods ซึ่งผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ จะล่มสลายลงไปแล้วตั้งแต่ปี 1971 แต่ดอลลาร์ก็ยังทรงอิทธิพลและเป็นสกุลเงินหลักของโลกต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลจาก Swift International Payment Service (SWIFT) บอกไว้ว่า ปัจจุบันเงินดอลลาร์ถูกมากถึง 47% และมากกว่าอันดับ 2 อย่างเงินยูโร (EUR) ประมาณเท่าตัว ส่วนเงินหยวน (RMB) ของจีนที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ก็ยังมีสัดส่วนเพียงแค่ 4.61% ยิ่งไปกว่านั้นเงินดอลลาร์ยังถูกใช้เป็น ‘ทุนสำรองระหว่างประเทศ’ มากถึง 60% ของโลก
แต่อิทธิพลของเงินดอลลาร์ที่ว่านี้ “กำลังจะเดินมาถึงจุดจบภายใน 10 ปีข้างหน้า” นี่คือคำทำนายของ ศ.เจฟฟรีย์ ดี. แซคส์ หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
เมื่อวันที่ 24-25 มกราคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปร่วมงาน Asian Financial Forum (AFF) ครั้งที่ 17 ที่ฮ่องกง ผ่านคำเชิญของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (HKETO) และรัฐบาลฮ่องกง
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานครั้งนี้คือ การบรรยายพิเศษของ ศ.เจฟฟรีย์ ดี. แซคส์ ที่ลุกขึ้นมาฉายภาพยุคสมัยทางเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
“เราอยู่ในยุคสมัยของเศรษฐกิจที่กำลังกลับตาลปัตร” ศ.เจฟฟรีย์ บอกว่า นี่คือ ‘ข่าวดี’ หากมองในมุมเศรษฐกิจ เพราะนั่นหมายความว่าประเทศที่ยากจนมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วและลดช่องว่างที่มีอยู่กับประเทศที่ร่ำรวย
เทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญที่จะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพของนานาประเทศ อย่างที่จีนเคยแสดงให้เราเห็นมาแล้วในระหว่างปี 1980-2020
“จีนเติบโตทันที 10% ต่อปี หรือก็คือขยายตัว 2 เท่าในทุกๆ 7 ปี เท่ากับว่าเศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นมามากถึง 30 เท่าในเวลา 35 ปี” ศ.เจฟฟรีย์ ยืนยันว่า “นี่คือสิ่งที่เป็นไปได้บนโลกของเรา ถ้าคุณวางแผนนโยบายให้ดี”
จากปี 1980 มาสู่ปี 2020 จีนก้าวจากประเทศยากจนมาสู่สถานะประเทศรายได้สูง และนั่นจะเกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศในแอฟริการะหว่างปี 2023-2063 ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีของสหภาพแอฟริกา (African Unity) พอดี
ในศตวรรษที่ 19-20 ชาติตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนไปสู่สังคมอุตสาหกรรม (Industrialization) และตามมาด้วยการล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำกัดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สาเหตุหลักเพราะประเทศปกครองไม่ต้องการให้เกิดการพัฒนา แต่หลังจากปี 1950 ที่สิ้นสุดยุคจักรวรรดินิยม เราก็ได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาค
อย่างเช่น เอเชีย ที่มีสัดส่วน GDP per Capita เพิ่มขึ้นจากราว 20% มาเป็น 40% ของชาติตะวันตกระหว่างปี 1992-2022 และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ภายในปี 2050 และไปถึง 80% ภายในปี 2100 ขณะที่แอฟริกาจะเติบโตได้เร็วเช่นกันในอีก 75 ปีข้างหน้า
“ทุกวันนี้ชาวนาทุกคนสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้าตัวเอง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว”
ศ.เจฟฟรีย์ บอกว่า ปัจจุบัน 60% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในเอเชีย แล้วทำไมเอเชียถึงควรจะมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจโลกเพียง 20% นี่คือผลลัพธ์จากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและการที่ชาติตะวันตกเข้ามาหาผลประโยชน์ แต่ประมาณปี 2010 เศรษฐกิจเอเชียพุ่งขึ้นมามีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของฝั่งตะวันตก ซึ่งนี่คือที่มาที่ไปของความตึงเครียด (Tension) ทั่วโลกที่ดำเนินมาถึงปัจจุบัน
ดอลลาร์จะสิ้นอิทธิพลภายใน 10 ปี
ศ.เจฟฟรีย์ บอกว่า เรากำลังจะเผชิญกับ ‘Sea Change’ หรือน่านน้ำที่เปลี่ยนไปในเชิงประชากรโลก
องค์การสหประชาชาติ (UN) ประเมินว่า ภายในปี 2100 ประชากรจีนจะลดลงมาต่ำกว่า 1 พันล้านคน กลับกัน ชาวแอฟริกันที่ปัจจุบันมีประชากรราว 1.4 พันล้านคน ใกล้เคียงกับจีนในเวลานี้ มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 พันล้านคนในปี 2050
จากโครงสร้างเศรษฐกิจและประชากรที่เปลี่ยนไปโดยภาพรวม ภายในปี 2050 โลกตะวันตกจะมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจโลก 30% เอเชียจะมีสัดส่วนราว 55% และแอฟริกา 15% ดังนั้นเรากำลังอยู่ในช่วงท้ายของยุคสมัยที่นำโดยเศรษฐกิจตะวันตก
สัดส่วนที่ลดลงของชาติตะวันตกไม่ได้หมายความว่าพวกเขายากจนลง แต่เป็นเพราะประเทศอื่นๆ ยกระดับตัวเองขึ้นมา พร้อมกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป
“ด้วยสัดส่วนประชากรโลก 4% (ของสหรัฐอเมริกา) คุณไม่สามารถที่จะครองโลกได้ และหากเราเข้าใจไอเดียเหล่านี้อย่างถ่องแท้ เราจะมีสงครามน้อยลง มีความร่วมมือกันมากขึ้น และมีสันติภาพ”
แต่ก่อนที่โลกจะเดินไปถึงจุดนั้น โลกการเงินกำลังเดินไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่ง ศ.เจฟฟรีย์ ทำนายว่า “อิทธิพลเงินดอลลาร์ที่มีอำนาจเหนือสกุลเงินอื่นๆ กำลังจะสิ้นสุดลงภายใน 10 ปี ที่ผ่านมาเราใช้เงินในสกุลที่หลากหลายมากขึ้น”
อย่างเช่น สกุลเงินของกลุ่มประเทศ BRICS หรือบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หากคุณอยากให้ผู้อื่นใช้เงินของคุณ คุณควรหยุดที่จะใช้อำนาจยึดเงินของพวกเขา คุณยึดเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์มาจากรัสเซีย และคาดหวังว่าเขาจะยังทำธุรกรรมผ่านเงินดอลลาร์อย่างนั้นหรือ”
ศ.เจฟฟรีย์ เชื่อว่า สหรัฐฯ กำลังสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า One Dollar Based System หรือระบบเศรษฐกิจที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินกลางหรือสกุลเงินหลักในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
ในขณะที่ดอลลาร์กำลังค่อยๆ สูญเสียอำนาจเหนือสกุลเงินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาตลอด 80 ปีที่ผ่านมา แต่ละประเทศในแต่ละภูมิภาคควรจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการพัฒนาประเทศ โดยหันมาจับมือกันมากขึ้น
และหากเราคาดหวังว่าจะไปถึงจุดที่โลกเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน การลงทุนที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะสำหรับเศรษฐกิจหรือสังคมแบบใดก็คือ การลงทุนในการศึกษา เพราะต่อให้รัฐบาลสร้างความยุ่งเหยิงขึ้นมา ท้ายที่สุดประชาชนที่ชาญฉลาดจะช่วยกันแก้ปัญหาได้เอง
REF.
https://thestandard.co/jeffrey-d-sachs-usd-prediction/
อิทธิพลของดอลลาร์จะถึงจุดจบใน 10 ปี
ศาสตราจารย์ เจฟฟรีย์ แซคส์ ผู้อำนวยการศูนย์ความยั่งยืน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
โดย สกุลชัย เก่งอนันตานนท์
ตลอดหนึ่งชั่วอายุคนที่ผ่านมา ‘เงินดอลลาร์สหรัฐ’ (USD) ก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก ภายหลังการถือกำเนิดขึ้นมาของระบบ Bretton Woods เมื่อปี 1944
แม้ระบบ Bretton Woods ซึ่งผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ จะล่มสลายลงไปแล้วตั้งแต่ปี 1971 แต่ดอลลาร์ก็ยังทรงอิทธิพลและเป็นสกุลเงินหลักของโลกต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลจาก Swift International Payment Service (SWIFT) บอกไว้ว่า ปัจจุบันเงินดอลลาร์ถูกมากถึง 47% และมากกว่าอันดับ 2 อย่างเงินยูโร (EUR) ประมาณเท่าตัว ส่วนเงินหยวน (RMB) ของจีนที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ก็ยังมีสัดส่วนเพียงแค่ 4.61% ยิ่งไปกว่านั้นเงินดอลลาร์ยังถูกใช้เป็น ‘ทุนสำรองระหว่างประเทศ’ มากถึง 60% ของโลก
แต่อิทธิพลของเงินดอลลาร์ที่ว่านี้ “กำลังจะเดินมาถึงจุดจบภายใน 10 ปีข้างหน้า” นี่คือคำทำนายของ ศ.เจฟฟรีย์ ดี. แซคส์ หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
เมื่อวันที่ 24-25 มกราคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปร่วมงาน Asian Financial Forum (AFF) ครั้งที่ 17 ที่ฮ่องกง ผ่านคำเชิญของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (HKETO) และรัฐบาลฮ่องกง
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานครั้งนี้คือ การบรรยายพิเศษของ ศ.เจฟฟรีย์ ดี. แซคส์ ที่ลุกขึ้นมาฉายภาพยุคสมัยทางเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
“เราอยู่ในยุคสมัยของเศรษฐกิจที่กำลังกลับตาลปัตร” ศ.เจฟฟรีย์ บอกว่า นี่คือ ‘ข่าวดี’ หากมองในมุมเศรษฐกิจ เพราะนั่นหมายความว่าประเทศที่ยากจนมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วและลดช่องว่างที่มีอยู่กับประเทศที่ร่ำรวย
เทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญที่จะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพของนานาประเทศ อย่างที่จีนเคยแสดงให้เราเห็นมาแล้วในระหว่างปี 1980-2020
“จีนเติบโตทันที 10% ต่อปี หรือก็คือขยายตัว 2 เท่าในทุกๆ 7 ปี เท่ากับว่าเศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นมามากถึง 30 เท่าในเวลา 35 ปี” ศ.เจฟฟรีย์ ยืนยันว่า “นี่คือสิ่งที่เป็นไปได้บนโลกของเรา ถ้าคุณวางแผนนโยบายให้ดี”
จากปี 1980 มาสู่ปี 2020 จีนก้าวจากประเทศยากจนมาสู่สถานะประเทศรายได้สูง และนั่นจะเกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศในแอฟริการะหว่างปี 2023-2063 ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีของสหภาพแอฟริกา (African Unity) พอดี
ในศตวรรษที่ 19-20 ชาติตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนไปสู่สังคมอุตสาหกรรม (Industrialization) และตามมาด้วยการล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำกัดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สาเหตุหลักเพราะประเทศปกครองไม่ต้องการให้เกิดการพัฒนา แต่หลังจากปี 1950 ที่สิ้นสุดยุคจักรวรรดินิยม เราก็ได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาค
อย่างเช่น เอเชีย ที่มีสัดส่วน GDP per Capita เพิ่มขึ้นจากราว 20% มาเป็น 40% ของชาติตะวันตกระหว่างปี 1992-2022 และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ภายในปี 2050 และไปถึง 80% ภายในปี 2100 ขณะที่แอฟริกาจะเติบโตได้เร็วเช่นกันในอีก 75 ปีข้างหน้า
“ทุกวันนี้ชาวนาทุกคนสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้าตัวเอง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว”
ศ.เจฟฟรีย์ บอกว่า ปัจจุบัน 60% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในเอเชีย แล้วทำไมเอเชียถึงควรจะมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจโลกเพียง 20% นี่คือผลลัพธ์จากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและการที่ชาติตะวันตกเข้ามาหาผลประโยชน์ แต่ประมาณปี 2010 เศรษฐกิจเอเชียพุ่งขึ้นมามีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของฝั่งตะวันตก ซึ่งนี่คือที่มาที่ไปของความตึงเครียด (Tension) ทั่วโลกที่ดำเนินมาถึงปัจจุบัน
ดอลลาร์จะสิ้นอิทธิพลภายใน 10 ปี
ศ.เจฟฟรีย์ บอกว่า เรากำลังจะเผชิญกับ ‘Sea Change’ หรือน่านน้ำที่เปลี่ยนไปในเชิงประชากรโลก
องค์การสหประชาชาติ (UN) ประเมินว่า ภายในปี 2100 ประชากรจีนจะลดลงมาต่ำกว่า 1 พันล้านคน กลับกัน ชาวแอฟริกันที่ปัจจุบันมีประชากรราว 1.4 พันล้านคน ใกล้เคียงกับจีนในเวลานี้ มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 พันล้านคนในปี 2050
จากโครงสร้างเศรษฐกิจและประชากรที่เปลี่ยนไปโดยภาพรวม ภายในปี 2050 โลกตะวันตกจะมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจโลก 30% เอเชียจะมีสัดส่วนราว 55% และแอฟริกา 15% ดังนั้นเรากำลังอยู่ในช่วงท้ายของยุคสมัยที่นำโดยเศรษฐกิจตะวันตก
สัดส่วนที่ลดลงของชาติตะวันตกไม่ได้หมายความว่าพวกเขายากจนลง แต่เป็นเพราะประเทศอื่นๆ ยกระดับตัวเองขึ้นมา พร้อมกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป
“ด้วยสัดส่วนประชากรโลก 4% (ของสหรัฐอเมริกา) คุณไม่สามารถที่จะครองโลกได้ และหากเราเข้าใจไอเดียเหล่านี้อย่างถ่องแท้ เราจะมีสงครามน้อยลง มีความร่วมมือกันมากขึ้น และมีสันติภาพ”
แต่ก่อนที่โลกจะเดินไปถึงจุดนั้น โลกการเงินกำลังเดินไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่ง ศ.เจฟฟรีย์ ทำนายว่า “อิทธิพลเงินดอลลาร์ที่มีอำนาจเหนือสกุลเงินอื่นๆ กำลังจะสิ้นสุดลงภายใน 10 ปี ที่ผ่านมาเราใช้เงินในสกุลที่หลากหลายมากขึ้น”
อย่างเช่น สกุลเงินของกลุ่มประเทศ BRICS หรือบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หากคุณอยากให้ผู้อื่นใช้เงินของคุณ คุณควรหยุดที่จะใช้อำนาจยึดเงินของพวกเขา คุณยึดเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์มาจากรัสเซีย และคาดหวังว่าเขาจะยังทำธุรกรรมผ่านเงินดอลลาร์อย่างนั้นหรือ”
ศ.เจฟฟรีย์ เชื่อว่า สหรัฐฯ กำลังสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า One Dollar Based System หรือระบบเศรษฐกิจที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินกลางหรือสกุลเงินหลักในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
ในขณะที่ดอลลาร์กำลังค่อยๆ สูญเสียอำนาจเหนือสกุลเงินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาตลอด 80 ปีที่ผ่านมา แต่ละประเทศในแต่ละภูมิภาคควรจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการพัฒนาประเทศ โดยหันมาจับมือกันมากขึ้น
และหากเราคาดหวังว่าจะไปถึงจุดที่โลกเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน การลงทุนที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะสำหรับเศรษฐกิจหรือสังคมแบบใดก็คือ การลงทุนในการศึกษา เพราะต่อให้รัฐบาลสร้างความยุ่งเหยิงขึ้นมา ท้ายที่สุดประชาชนที่ชาญฉลาดจะช่วยกันแก้ปัญหาได้เอง
REF.
https://thestandard.co/jeffrey-d-sachs-usd-prediction/